การเมืองเรื่องพุทธะ - จากพุทธทาส
จะสรุปให้ฟัง
จากปัญญาพระอรหันต์ของแท้ ๆ เลย
ท่านเป็นผู้พี่ผู้เกิดก่อนของอรหันต์ที่เกิดตามมาทั้งโลกนี้และโลกอื่น
http://www.bia.or.th/html_th/site-content/65-archives/951-45.html
___________________
.... ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดก็มีหน้าที่เหมือนนักการเมือง คือสร้างสันติสุข สันติภาพให้แก่สังคมโดยไม่ต้องใช้อาชญา ก็เลยพูดไปเสียว่า ยอดนักการเมืองคือพระพุทธเจ้า บางคนคิดในใจว่าบ้าแล้ว บ้าแล้ว!! ท่านทั้งหลายลองสอดส่อง พิจารณาดูเถอะว่า ใครบ้างที่หวังสันติภาพ สันติสุขของมนุษย์โดยไม่ต้องใช้อาชญา และทำมาอย่างยิ่ง อย่างสูงสุดมีใครบ้างนอกที่ทำได้ดีกว่าพระพุทธเจ้า....
...พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
“การเกิดขึ้นของตถาคตในโลกนี้ เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ศาสนาทั้งธรรมวินัยของตถาคตมีอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ ขอให้พวกเธอทั้งหลายช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยแห่งศาสนานี้ไว้ให้คงอยู่ เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์”
ในคำตรัสของท่านถ้ามองคำว่าเทวดาและมนุษย์ ในความหมายตรง ๆ ตามตัวหนังสือแล้วจะเห็นว่าการเมืองของท่านยิ่งกว่าการเมืองของปัจจุบันนี้ ซึ่งหมายถึงแต่มนุษย์ ส่วนท่านกวาดหมดทั้งเทวดาและมนุษย์ มันต้องอยู่กันอย่างเป็นสุข
...เทวดา ตีความหมายตามภาษาธรรมในคัมภีร์เขียนไว้ว่า คือบุคคลที่ไม่รู้จักเหงื่อ ไม่เคยพบเหงื่อ ถ้าเทวดาตนไหนมีเหงื่อจะต้องจุติ (ตาย) ทันที หมดจากความเป็นเทวดาทันที เทวดาเขาวัดกันด้วยเหงื่อ
...มีเรื่องที่ต้องดูลึกกันไป คือทั้งเทวดาและมนุษย์ล้วนแต่ยังมีปัญหาเทวดาก็ยังมีกิเลสเท่ากับมนุษย์แหละ มีความโลภ โกรธ หลง เท่ากับมนุษย์ ไม่ใช่ว่ารวยแล้ว เป็นเทวดาแล้วจะหมดกิเลส ไม่มีหลักเกณฑ์อย่างนั้น แล้วมีปัญหาที่ตรงกันอย่างยิ่งคือความเห็นแก่ตัวทั้งเทวดาและมนุษย์เช่นสมัยนี้นายทุนก็เห็นแก่ตัว กรรมการก็เห็นแก่ตัว กิเลสมันเหมือนกันก็รบกันได้ไม่สิ้นสุด เพราะต่างฝ่ายต่างมีความเห็นแก่ตัวมันเป็นข้าศึกร่วมกันที่นั่น เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เพราะเกิดมีนายทุนที่เห็นแก่ตัว มันจึงเกิดคอมมิวนิสต์หรือกรรมการผู้ยื้อแย่ง การต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยเหตุที่ขาดธรรมะคือความไม่เห็นแก่ผู้อื่นด้วยกันทั้งสองฝ่าย
...พระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นข้าศึกของสันติสุข ของโลก เหมือนกับที่ลัทธิสังคมนิยมบางแขนงเขากล่าวหาว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เขาหลับตาพูด เพราะเขาไม่รู้จักพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดยาเสพติดไม่ใช่ตัวยาเสพติด ศาสนาอื่นใดที่ทำให้คนงมงายนั้นแหละคือยาเสพติด
...ที่พูดว่าพระพุทธเจ้าเป็นยอดนักการเมือง เพราะท่านมุ่งหมาย อุทิศ เสียสละทุกอย่างทุกประการ เพื่อให้โลกนี้มีสันติสุข สันติภาพของโลก
...ถ้าเราสามารถทำให้คนเข้าใจลึกซึ้งว่า ธรรมะคือหน้าที่ ให้ทุกคนบูชาหน้าที่ เห็นเป็นสิ่งประเสริฐ ทำหน้าที่อย่างยิ่ง เป็นเกียรติยศของมนุษย์ ปัญหาจะไม่เกิด
...ยอมรับสภาพเราจะเหมือนกันไม่ได้ ก็ต้องมีความสามารถลดหลั่นกันไปตามธรรมชาติที่จัดมาให้ จะต้องบูชาหน้าที่ว่าเป็นสิ่งสูงสุด จึงยินดีทำ ยินดีทำ
...เดี๋ยวนี้คนพูดกันผิด ๆ ว่าจะต้องมีกิน มีใช้ก่อนถึงจะไปปฏิบัติธรรมะ เขาพูดโดยไม่รู้สึกตัว เขาหลับตาพูด
...พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของนักการเมือง เพราะท่านมีวิธีที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หมด คือ ธรรมะ (ผมจะอธิบายเพิ่มให้ คือ ผู้คนไม่ค่อยยอมทำตามกัน หลงในหลง โลภะ โทสะ โมหะ กำลังใจน้อย ความอดทนต่ำ จึงไม่ค่อยได้เอา "พระธรรม" มาแก้ปัญหาโลกของตนและโลกภายนอกของผู้อื่น รวมถึงสัตว์โลก ป่าไม้ อะไรก็ได้ ทำนองนี้)
...ธรรมะ คือ ไม่เห็นแก่ตัว ที่สูงสุดจนเห็นว่าไม่มีตัว เรื่องอนัตตา เรื่องไม่มีตัว มันอาจจะดีเกินไป ยังนำมาพูดไม่ได้ แต่นั่นคือหัวใจของเรื่อง!! เพราะเมื่อไม่มีตัว ก็ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่อิจฉา อาฆาตมาดร้ายผู้อื่น
... [[[ ปัญหาของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว ]]]
... พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายจะตัดต้นเหตุอันนี้ คือทำลายความเห็นแก่ตัว เป็นวิญญาณของการเมืองอันบริสุทธิ์ ที่ว่าคนจำนวนมากจะอยู่กันผาสุกได้โดยไม่ต้องใช้อาชญา อาวุธของท่านก็คือปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความรู้ ความเข้าใจอันถูกต้องแก้ปัญหา ไม่เคยใช้อาวุธ ของมีคมที่ใช้ฆ่ากัน กองทัพของท่านก็คือผู้ประกอบไปด้วยสัมมาทิฏฐิ ถือปัญญาวุธเป็นอาวุธมันก็แก้ปัญหาเหล่านี้ได้
__________________
...ถ้าจิตใจมันต่ำ เห็นแก่ตัว ตามหลักธรรมะไม่เรียกว่ามนุษย์ ถ้ามีจิตใจสูง ไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่ามนุษย์
มนุษย์ แปลว่า มีจิตใจสูง
มน แปลว่า ใจ
อุษย แปลว่า สูง
หรือจะแปลว่าผู้เป็นลูกหลาน เป็นเหล่ากอของมนู หมายถึงผู้มีจิตใจสูง
(ผมจะอธิบายเพิ่ม ปัจจุบันนี้ สมัยนี้ ใช้คำว่า "มนุษย์" กันเกร่อ จนความหมายไปปะปนกันกับคำว่า "คน" ซะแล้ว จึงเกิดความคิดเป็นแบบนี้ว่า
"คนเราไม่ต่างกัน
มนุษย์เราไม่ต่างกัน"
นี่คือความเข้าใจผิด ที่หมดปัญญาแก้ไขแล้ว
เพราะเป็นมนุษย์ จึง บรรลุความรู้สูงสุด จึงพ้นมนุษย์ มิใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็น "อนุพุทธะ"
เพราะเป็นคน จึงต้องวนอยู่ต่อไป ไม่พ้นการเกิด ไม่พ้น "สังสารวัฏ"
ความหมายแตกต่างกันโดยเสิ้นเชิง)
___________________
...อันธพาลเหล่านั้น โง่ต่อผัสสะ หลงต่อผัสสะ เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหาความอร่อยทางผัสสะ
... [[[ เรามามีธรรมะกันเถิด เรามาเป็นมนุษย์กันเถิด อย่าเป็นแต่เพียงคนเลย ]]]
... ถ้าเป็นแต่เพียงคนเราก็ยังต้องเป็นทาสของกิเลส รับใช้กิเลส ฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเราเป็นมนุษย์ และมีธรรมะเป็นเครื่องยึดถือ เรารับใช้ธรรมะ ถือธรรมะ เราก็ไม่ต้องฆ่าฟันกัน เราจะอยู่ร่วมกันได้แม้ว่าต่างกันลิบลับ เศรษฐีอาจจะอยู่ร่วมกับคนขอทานก็ได้ (ผมจะเพิ่มเติมให้ นี่คือการใช้ชีวิตอีกรูปแบบนึง คือ รับใช้ธรรมและส่งต่อธรรม เพื่อให้ผู้คนได้ประโยชน์สูงสุดของตน คือ "สิ้นกรรม" พาตนเอง เดินไปให้สุดทาง สุดท้าย ก็ "เข้านิพพานแล้ว)
... บางทีคนขอทานอาจจะเห็นแก่ตัวน้อยกว่า ถ้าเขายินดีในการขอทานไม่ไปประกอบอาชญากรรม เขาก็เป็นผู้มีธรรมะคนมีอันจะกินแล้วแต่ยังทำอาชญากรรมมาหล่อเลี้ยงกิเลสให้มากขึ้น นี่..เขาไม่มีธรรมะ ฉะนั้น คนขอทานมีโอกาสที่จะมีธรรมะมากกว่าคนธรรมดา เศรษฐี หรือนายทุน
(ผมจะอธิบายเพิ่ม คนจนมีมากกว่า เศรษฐี หรือ มหาเศรษฐี หรือ อภิพญามหาเศรษฐี โลกใบนี้จึงเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ภพภูมิมนุษย์
เห็นทุกข์ เห็นสุข ละอุเบกขาได้ ละขาดซึ่งธรรมทุกสิ่ง จึง "สิ้นกรรม" นี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม พุทธะ จึงต้องมาเกิด และปรากฏตนที่นี้ เพราะที่นี่คือ ภพภูมิที่ประเสริฐที่สุดแล้ว
"ภพภูมิมนุษย์")
___________________
... ปัญหาการนองเลือดระหว่างนายทุนกับกรรมกร ต้นตอที่แท้จริงอยู่ที่การมีธรรมะ หรือไม่มีธรรมะ (ผมจะอธิบายเพิ่มให้ เพราะโลกนี้ ขาด "ศีล" เป็นใหญ่ จึงมีปัญหาไม่รู้จบในชีวิตแห่งตนซะที เมื่อ "กิเลส" เป็นใหญ่ สังคมประเทส สังคมโลก สังคมหมู่ บ้าน ตำบล แม้แต่ สังคมในบ้าน จึง ไม่บังเกิด สุขชนิดนึงขึ้น คือ "สุขจากความสงบ ปกคลุมโลก" )
... ถ้าเป็นคน ปุถุชน มีกิเลสเป็นใหญ่
ถ้าเป็นมนุษย์มีธรรมะเป็นใหญ่
... การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่อวดอ้างกันนักหนาทุกประเทศ แต่ที่จริงเป็นการแลกเปลี่ยนเหยื่อของกิเลส ส่งเสริมกิเลสกันทั้งนั้น เช่น ระบำบัลเลย์ มันบ้าบอที่สุด ลองคิดดู ถ้ามันแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันจริงๆ มนุษย์จะไม่เป็นอย่างนี้ จะรู้จักข่มกิเลส บังคับกิเลส แล้วมันจะรักกันได้ จะแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
... การคืนสู่เหย้า เหย้า คือ ต้นตอที่แรกที่เราออกไป แล้วเราจะกลับคืนสู่เหย้า กลับคืนสู่เหย้า คือ กลับคืนสู่ธรรมะ แต่นี่มนุษย์คืนไปสู่ไหนไม่รู้ ไปเป็นทาสของกิเลส แล้วก็ไปๆๆ แล้วก็รบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด
... ธรรมะ คือ บ้านเรือน หรือแผ่นดิน เป็นเหย้าที่แท้จริง กลับมาบ้านคือธรรมะ กลับสู่เหย้าคือธรรมะ สิ่งที่ถูกต้อง เปรียบเป็นแผ่นดินที่ตั้ง ที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เปรียบเป็นบ้านเรือนเพราะเป็นที่พักพิงอาศัยแห่งจิตใจ เดี๋ยวนี้คนเรามีแต่บ้านข้างนอก ไม่มีบ้านสำหรับจิตใจ
... เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกมันผิดหมด มันไม่การสอนที่ทำให้คนรู้จักธรรมะ รู้จักผิดชอบชั่วดี มันส่งเสริมสนับสนุนให้คนเห็นแก่ตัว ยิ่งเรียนสูงมากก็หมายความว่า ยิ่งมีความสามารถมากที่จะกอบโกยเอาผลประโยชน์เข้าหาตัวเพราะมีโอกาส ในการเรียนการสอนไม่ได้มีการสอนว่า ยิ่งมีความสามารถมาก เราจะต้องรักผู้อื่นมากเท่านั้น มีการสอนแต่ให้เก่งในเรื่องเทคโนโลยีหรืออะไรก็ตาม และเมื่อรู้เรื่องนั้นมากๆ มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง และอาตมาเรียกการศึกษาชนิดนี้ว่า การศึกษาหมาหางด้วน
การศึกษาของชาติเรายังเป็นหมาหางด้วน เพราะสอนกันแต่หนังสือ วิชาชีพ ไม่มีการสอนธรรมะ
___________________
... พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมะในพระพุทธศาสนา ไม่บังคับให้เชื่อ แม้แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสเองก็ไม่ต้องเชื่อทันที ให้นำไปพิจารณาดูๆ ปฏิบัติดู จะมีประโยชน์ จะแก้ปัญหาได้ ก็จะเชื่อแล้วก็ทำมากขึ้น แต่ถ้าเป็นธรรมะแล้วขอให้ทำจริงๆ เหมือนเผด็จการ (ผมจะเพิ่มเติมให้ว่า ให้ทำตัวเป็นเผด็จการ เผด็จการต่อกิเลสทั้งมวล เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น)
___________________
-= ส่วนที่เพิ่มเติมให้ =-
ผู้ที่ไม่รู้จัก "เทวดา" ก็จักว่าไม่มี
ผู้ที่ไม่รู้จัก "เทวดา" ที่ว่ามี
ผู้ที่รู้จักเทวดาบ้างไม่ใช่เทวดาบ้าง ก็จะว่า เทวดาน่าจะมีบ้าง ไม่มีบ้าง
แต่ผู้ที่รู้จัก ผู้ที่สัมผัสได้ ผู้ที่เคยไปมาแล้ว เห็นแล้วซึ่ง ในภพภูมิเทวดา ก็จะกล่าวกันว่า "มี"
การเห็นเทวดา สัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ มิใช่เรื่อง ง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็จะเจอได้
ส่วนใหญ่และส่วนมากที่จะพอได้เจอกันคือ เทวดาผู้มีมิจฉาทิฏฐิฝั่ง ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ตามสภาพความเป็นจริง
อย่างแรก ฝั่ง เป็นกลาง แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ เช่น
- The God (ที่แปล่า พระผู้เป็นเจ้ามีหลายท่านบนสวรรค์ ที่) คำว่าเยซู อยู่ระดับล่างกว่า Gods แต่ที่ผมเคยเจอ มนุษย์ยกย่องกันเอง Gods ที่มาหาผมในวันหนึ่ง หลังการบรรลุ บุรุษที่ ๘ อรหัตตผล ท่านไม่ได้คิดว่าตนเองเป็น God แต่ท่านคิดว่าตนนั้น เป็นผู้ทรงศีล เท่านั้นเอง แต่เป็นผู้มีฤทธิ์และอนุภาพ มากจิง ๆ ผมรู้ได้จากประสบการณ์ตน ที่พวกท่านเหล่า ก๊อด ได้แสดงให้ดู
จริง ๆ แล้ว คำว่า God ต้องเติม s เพื่อในสภาพความเป็นจริงแล้ว พวกท่านไม่ได้มีกันแค่เพียงหนึ่ง แต่มีถึง 12 องค์ (เพราะเป็นเทวดา จึงต้องใช้คำว่า "องค์" ใช้คำว่า "คน" เหมือนมนุษย์ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะนับถือให้สูงกว่า "พุทธะ" เป็นเพียงแต่เป็นการเรียกให้ถูก เท่านั้นเอง
- ส่วนอีกตัวอย่าง คือ อัลลอฮ์ ก็นับได้ว่าเป็นเทวดาผู้เป็นเทพแลอยู่ฝั่งเป็นกลาง ท่านเคยมาบอกผมว่า ดลใจให้ผมถามว่า "ศาสนาของท่านสอนกันแบบนี้ แบบนี้คือคำสอนจริง ๆ จากท่านแล้วหรือ"
คำตอบที่ได้คือ "ไม่" และ "ไม่ใช่"
คำสอนของท่านที่เคยสอน ก็ถูกการเวลากัดกร่อนและทำร้าย โดยศาสนิก ผู้เป็นมนุษย์ ในศาสนาของท่าน ก็ไม่ได้ต่างจากพวกเราที่ว่า คำสอนของพุทธะ ก็โดนทำร้ายด้วย พุทธศาสนิก เช่นกัน ต่างกันที่ว่า พุทธะ ไม่ใช่พระเจ้า แต่ท่านอยู่ "สูงกว่านั้น"
___________________
เทวดามิจฉาทิฏฐิฝั่งที่สองคือ ฝั่งมาร
เป็นเทวดาผู้มีมิจฉาทิฏฐิและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นสัมมาทิฏฐิ จึงเป็นฝั่งมาร คือ
เป็นผู้ขวางกรรมดีทั้งปวง มีทั้งติด อิจฉาและมัจฉริยะ
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=233
มีการกระทำอันเลวร้าย บางครั้งก็ทำกรรมชั่วเพราะไม่มีอะไรทำก็มี กลั่นแกล้งเพื่อความสนุก หรือให้ถึงกับพรากชีวิตให้ตกไปก็มี
เป็นผู้มีใจหยาบช้า เป็นเทวดาผู้มีใจอยาบช้า
เป็นผู้เห็นกรรมดี เป็นกรรมชั่ว
เป็นผู้เห็นกรรมชั่ว เป็นกรรมดี
พุทธะ ได้จำแนกเรียกเทวดาพวกนี้ว่า "เทวปุตตมาร"
ฝั่งมารใช้คำนี้ แต่ เทวดาผู้มีมิจฉาทิฏฐิ แต่ไม่ เบียดเบียน เช่น ก๊อด ใช้คำว่ามารไม่ได้ เพราะพวกท่าน ใช้ความ "รัก" เอาชนะ "ความเกลียด" เป็นต้น
อ่านต่อที่ความคิดเห็นถัดไป
การเมืองเรื่องพุทธะ - จากพุทธทาส
จะสรุปให้ฟัง
จากปัญญาพระอรหันต์ของแท้ ๆ เลย
ท่านเป็นผู้พี่ผู้เกิดก่อนของอรหันต์ที่เกิดตามมาทั้งโลกนี้และโลกอื่น
http://www.bia.or.th/html_th/site-content/65-archives/951-45.html
___________________
.... ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดก็มีหน้าที่เหมือนนักการเมือง คือสร้างสันติสุข สันติภาพให้แก่สังคมโดยไม่ต้องใช้อาชญา ก็เลยพูดไปเสียว่า ยอดนักการเมืองคือพระพุทธเจ้า บางคนคิดในใจว่าบ้าแล้ว บ้าแล้ว!! ท่านทั้งหลายลองสอดส่อง พิจารณาดูเถอะว่า ใครบ้างที่หวังสันติภาพ สันติสุขของมนุษย์โดยไม่ต้องใช้อาชญา และทำมาอย่างยิ่ง อย่างสูงสุดมีใครบ้างนอกที่ทำได้ดีกว่าพระพุทธเจ้า....
...พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
“การเกิดขึ้นของตถาคตในโลกนี้ เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ศาสนาทั้งธรรมวินัยของตถาคตมีอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ ขอให้พวกเธอทั้งหลายช่วยกันรักษาพระธรรมวินัยแห่งศาสนานี้ไว้ให้คงอยู่ เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์”
ในคำตรัสของท่านถ้ามองคำว่าเทวดาและมนุษย์ ในความหมายตรง ๆ ตามตัวหนังสือแล้วจะเห็นว่าการเมืองของท่านยิ่งกว่าการเมืองของปัจจุบันนี้ ซึ่งหมายถึงแต่มนุษย์ ส่วนท่านกวาดหมดทั้งเทวดาและมนุษย์ มันต้องอยู่กันอย่างเป็นสุข
...เทวดา ตีความหมายตามภาษาธรรมในคัมภีร์เขียนไว้ว่า คือบุคคลที่ไม่รู้จักเหงื่อ ไม่เคยพบเหงื่อ ถ้าเทวดาตนไหนมีเหงื่อจะต้องจุติ (ตาย) ทันที หมดจากความเป็นเทวดาทันที เทวดาเขาวัดกันด้วยเหงื่อ
...มีเรื่องที่ต้องดูลึกกันไป คือทั้งเทวดาและมนุษย์ล้วนแต่ยังมีปัญหาเทวดาก็ยังมีกิเลสเท่ากับมนุษย์แหละ มีความโลภ โกรธ หลง เท่ากับมนุษย์ ไม่ใช่ว่ารวยแล้ว เป็นเทวดาแล้วจะหมดกิเลส ไม่มีหลักเกณฑ์อย่างนั้น แล้วมีปัญหาที่ตรงกันอย่างยิ่งคือความเห็นแก่ตัวทั้งเทวดาและมนุษย์เช่นสมัยนี้นายทุนก็เห็นแก่ตัว กรรมการก็เห็นแก่ตัว กิเลสมันเหมือนกันก็รบกันได้ไม่สิ้นสุด เพราะต่างฝ่ายต่างมีความเห็นแก่ตัวมันเป็นข้าศึกร่วมกันที่นั่น เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เพราะเกิดมีนายทุนที่เห็นแก่ตัว มันจึงเกิดคอมมิวนิสต์หรือกรรมการผู้ยื้อแย่ง การต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยเหตุที่ขาดธรรมะคือความไม่เห็นแก่ผู้อื่นด้วยกันทั้งสองฝ่าย
...พระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นข้าศึกของสันติสุข ของโลก เหมือนกับที่ลัทธิสังคมนิยมบางแขนงเขากล่าวหาว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เขาหลับตาพูด เพราะเขาไม่รู้จักพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดยาเสพติดไม่ใช่ตัวยาเสพติด ศาสนาอื่นใดที่ทำให้คนงมงายนั้นแหละคือยาเสพติด
...ที่พูดว่าพระพุทธเจ้าเป็นยอดนักการเมือง เพราะท่านมุ่งหมาย อุทิศ เสียสละทุกอย่างทุกประการ เพื่อให้โลกนี้มีสันติสุข สันติภาพของโลก
...ถ้าเราสามารถทำให้คนเข้าใจลึกซึ้งว่า ธรรมะคือหน้าที่ ให้ทุกคนบูชาหน้าที่ เห็นเป็นสิ่งประเสริฐ ทำหน้าที่อย่างยิ่ง เป็นเกียรติยศของมนุษย์ ปัญหาจะไม่เกิด
...ยอมรับสภาพเราจะเหมือนกันไม่ได้ ก็ต้องมีความสามารถลดหลั่นกันไปตามธรรมชาติที่จัดมาให้ จะต้องบูชาหน้าที่ว่าเป็นสิ่งสูงสุด จึงยินดีทำ ยินดีทำ
...เดี๋ยวนี้คนพูดกันผิด ๆ ว่าจะต้องมีกิน มีใช้ก่อนถึงจะไปปฏิบัติธรรมะ เขาพูดโดยไม่รู้สึกตัว เขาหลับตาพูด
...พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของนักการเมือง เพราะท่านมีวิธีที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หมด คือ ธรรมะ (ผมจะอธิบายเพิ่มให้ คือ ผู้คนไม่ค่อยยอมทำตามกัน หลงในหลง โลภะ โทสะ โมหะ กำลังใจน้อย ความอดทนต่ำ จึงไม่ค่อยได้เอา "พระธรรม" มาแก้ปัญหาโลกของตนและโลกภายนอกของผู้อื่น รวมถึงสัตว์โลก ป่าไม้ อะไรก็ได้ ทำนองนี้)
...ธรรมะ คือ ไม่เห็นแก่ตัว ที่สูงสุดจนเห็นว่าไม่มีตัว เรื่องอนัตตา เรื่องไม่มีตัว มันอาจจะดีเกินไป ยังนำมาพูดไม่ได้ แต่นั่นคือหัวใจของเรื่อง!! เพราะเมื่อไม่มีตัว ก็ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่อิจฉา อาฆาตมาดร้ายผู้อื่น
... [[[ ปัญหาของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว ]]]
... พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายจะตัดต้นเหตุอันนี้ คือทำลายความเห็นแก่ตัว เป็นวิญญาณของการเมืองอันบริสุทธิ์ ที่ว่าคนจำนวนมากจะอยู่กันผาสุกได้โดยไม่ต้องใช้อาชญา อาวุธของท่านก็คือปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความรู้ ความเข้าใจอันถูกต้องแก้ปัญหา ไม่เคยใช้อาวุธ ของมีคมที่ใช้ฆ่ากัน กองทัพของท่านก็คือผู้ประกอบไปด้วยสัมมาทิฏฐิ ถือปัญญาวุธเป็นอาวุธมันก็แก้ปัญหาเหล่านี้ได้
__________________
...ถ้าจิตใจมันต่ำ เห็นแก่ตัว ตามหลักธรรมะไม่เรียกว่ามนุษย์ ถ้ามีจิตใจสูง ไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่ามนุษย์
มนุษย์ แปลว่า มีจิตใจสูง
มน แปลว่า ใจ
อุษย แปลว่า สูง
หรือจะแปลว่าผู้เป็นลูกหลาน เป็นเหล่ากอของมนู หมายถึงผู้มีจิตใจสูง
(ผมจะอธิบายเพิ่ม ปัจจุบันนี้ สมัยนี้ ใช้คำว่า "มนุษย์" กันเกร่อ จนความหมายไปปะปนกันกับคำว่า "คน" ซะแล้ว จึงเกิดความคิดเป็นแบบนี้ว่า
"คนเราไม่ต่างกัน
มนุษย์เราไม่ต่างกัน"
นี่คือความเข้าใจผิด ที่หมดปัญญาแก้ไขแล้ว
เพราะเป็นมนุษย์ จึง บรรลุความรู้สูงสุด จึงพ้นมนุษย์ มิใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็น "อนุพุทธะ"
เพราะเป็นคน จึงต้องวนอยู่ต่อไป ไม่พ้นการเกิด ไม่พ้น "สังสารวัฏ"
ความหมายแตกต่างกันโดยเสิ้นเชิง)
___________________
...อันธพาลเหล่านั้น โง่ต่อผัสสะ หลงต่อผัสสะ เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหาความอร่อยทางผัสสะ
... [[[ เรามามีธรรมะกันเถิด เรามาเป็นมนุษย์กันเถิด อย่าเป็นแต่เพียงคนเลย ]]]
... ถ้าเป็นแต่เพียงคนเราก็ยังต้องเป็นทาสของกิเลส รับใช้กิเลส ฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเราเป็นมนุษย์ และมีธรรมะเป็นเครื่องยึดถือ เรารับใช้ธรรมะ ถือธรรมะ เราก็ไม่ต้องฆ่าฟันกัน เราจะอยู่ร่วมกันได้แม้ว่าต่างกันลิบลับ เศรษฐีอาจจะอยู่ร่วมกับคนขอทานก็ได้ (ผมจะเพิ่มเติมให้ นี่คือการใช้ชีวิตอีกรูปแบบนึง คือ รับใช้ธรรมและส่งต่อธรรม เพื่อให้ผู้คนได้ประโยชน์สูงสุดของตน คือ "สิ้นกรรม" พาตนเอง เดินไปให้สุดทาง สุดท้าย ก็ "เข้านิพพานแล้ว)
... บางทีคนขอทานอาจจะเห็นแก่ตัวน้อยกว่า ถ้าเขายินดีในการขอทานไม่ไปประกอบอาชญากรรม เขาก็เป็นผู้มีธรรมะคนมีอันจะกินแล้วแต่ยังทำอาชญากรรมมาหล่อเลี้ยงกิเลสให้มากขึ้น นี่..เขาไม่มีธรรมะ ฉะนั้น คนขอทานมีโอกาสที่จะมีธรรมะมากกว่าคนธรรมดา เศรษฐี หรือนายทุน
(ผมจะอธิบายเพิ่ม คนจนมีมากกว่า เศรษฐี หรือ มหาเศรษฐี หรือ อภิพญามหาเศรษฐี โลกใบนี้จึงเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ภพภูมิมนุษย์
เห็นทุกข์ เห็นสุข ละอุเบกขาได้ ละขาดซึ่งธรรมทุกสิ่ง จึง "สิ้นกรรม" นี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม พุทธะ จึงต้องมาเกิด และปรากฏตนที่นี้ เพราะที่นี่คือ ภพภูมิที่ประเสริฐที่สุดแล้ว
"ภพภูมิมนุษย์")
___________________
... ปัญหาการนองเลือดระหว่างนายทุนกับกรรมกร ต้นตอที่แท้จริงอยู่ที่การมีธรรมะ หรือไม่มีธรรมะ (ผมจะอธิบายเพิ่มให้ เพราะโลกนี้ ขาด "ศีล" เป็นใหญ่ จึงมีปัญหาไม่รู้จบในชีวิตแห่งตนซะที เมื่อ "กิเลส" เป็นใหญ่ สังคมประเทส สังคมโลก สังคมหมู่ บ้าน ตำบล แม้แต่ สังคมในบ้าน จึง ไม่บังเกิด สุขชนิดนึงขึ้น คือ "สุขจากความสงบ ปกคลุมโลก" )
... ถ้าเป็นคน ปุถุชน มีกิเลสเป็นใหญ่
ถ้าเป็นมนุษย์มีธรรมะเป็นใหญ่
... การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่อวดอ้างกันนักหนาทุกประเทศ แต่ที่จริงเป็นการแลกเปลี่ยนเหยื่อของกิเลส ส่งเสริมกิเลสกันทั้งนั้น เช่น ระบำบัลเลย์ มันบ้าบอที่สุด ลองคิดดู ถ้ามันแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันจริงๆ มนุษย์จะไม่เป็นอย่างนี้ จะรู้จักข่มกิเลส บังคับกิเลส แล้วมันจะรักกันได้ จะแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
... การคืนสู่เหย้า เหย้า คือ ต้นตอที่แรกที่เราออกไป แล้วเราจะกลับคืนสู่เหย้า กลับคืนสู่เหย้า คือ กลับคืนสู่ธรรมะ แต่นี่มนุษย์คืนไปสู่ไหนไม่รู้ ไปเป็นทาสของกิเลส แล้วก็ไปๆๆ แล้วก็รบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด
... ธรรมะ คือ บ้านเรือน หรือแผ่นดิน เป็นเหย้าที่แท้จริง กลับมาบ้านคือธรรมะ กลับสู่เหย้าคือธรรมะ สิ่งที่ถูกต้อง เปรียบเป็นแผ่นดินที่ตั้ง ที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เปรียบเป็นบ้านเรือนเพราะเป็นที่พักพิงอาศัยแห่งจิตใจ เดี๋ยวนี้คนเรามีแต่บ้านข้างนอก ไม่มีบ้านสำหรับจิตใจ
... เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกมันผิดหมด มันไม่การสอนที่ทำให้คนรู้จักธรรมะ รู้จักผิดชอบชั่วดี มันส่งเสริมสนับสนุนให้คนเห็นแก่ตัว ยิ่งเรียนสูงมากก็หมายความว่า ยิ่งมีความสามารถมากที่จะกอบโกยเอาผลประโยชน์เข้าหาตัวเพราะมีโอกาส ในการเรียนการสอนไม่ได้มีการสอนว่า ยิ่งมีความสามารถมาก เราจะต้องรักผู้อื่นมากเท่านั้น มีการสอนแต่ให้เก่งในเรื่องเทคโนโลยีหรืออะไรก็ตาม และเมื่อรู้เรื่องนั้นมากๆ มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง และอาตมาเรียกการศึกษาชนิดนี้ว่า การศึกษาหมาหางด้วน
การศึกษาของชาติเรายังเป็นหมาหางด้วน เพราะสอนกันแต่หนังสือ วิชาชีพ ไม่มีการสอนธรรมะ
___________________
... พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมะในพระพุทธศาสนา ไม่บังคับให้เชื่อ แม้แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสเองก็ไม่ต้องเชื่อทันที ให้นำไปพิจารณาดูๆ ปฏิบัติดู จะมีประโยชน์ จะแก้ปัญหาได้ ก็จะเชื่อแล้วก็ทำมากขึ้น แต่ถ้าเป็นธรรมะแล้วขอให้ทำจริงๆ เหมือนเผด็จการ (ผมจะเพิ่มเติมให้ว่า ให้ทำตัวเป็นเผด็จการ เผด็จการต่อกิเลสทั้งมวล เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น)
___________________
-= ส่วนที่เพิ่มเติมให้ =-
ผู้ที่ไม่รู้จัก "เทวดา" ก็จักว่าไม่มี
ผู้ที่ไม่รู้จัก "เทวดา" ที่ว่ามี
ผู้ที่รู้จักเทวดาบ้างไม่ใช่เทวดาบ้าง ก็จะว่า เทวดาน่าจะมีบ้าง ไม่มีบ้าง
แต่ผู้ที่รู้จัก ผู้ที่สัมผัสได้ ผู้ที่เคยไปมาแล้ว เห็นแล้วซึ่ง ในภพภูมิเทวดา ก็จะกล่าวกันว่า "มี"
การเห็นเทวดา สัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ มิใช่เรื่อง ง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็จะเจอได้
ส่วนใหญ่และส่วนมากที่จะพอได้เจอกันคือ เทวดาผู้มีมิจฉาทิฏฐิฝั่ง ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ตามสภาพความเป็นจริง
อย่างแรก ฝั่ง เป็นกลาง แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ เช่น
- The God (ที่แปล่า พระผู้เป็นเจ้ามีหลายท่านบนสวรรค์ ที่) คำว่าเยซู อยู่ระดับล่างกว่า Gods แต่ที่ผมเคยเจอ มนุษย์ยกย่องกันเอง Gods ที่มาหาผมในวันหนึ่ง หลังการบรรลุ บุรุษที่ ๘ อรหัตตผล ท่านไม่ได้คิดว่าตนเองเป็น God แต่ท่านคิดว่าตนนั้น เป็นผู้ทรงศีล เท่านั้นเอง แต่เป็นผู้มีฤทธิ์และอนุภาพ มากจิง ๆ ผมรู้ได้จากประสบการณ์ตน ที่พวกท่านเหล่า ก๊อด ได้แสดงให้ดู
จริง ๆ แล้ว คำว่า God ต้องเติม s เพื่อในสภาพความเป็นจริงแล้ว พวกท่านไม่ได้มีกันแค่เพียงหนึ่ง แต่มีถึง 12 องค์ (เพราะเป็นเทวดา จึงต้องใช้คำว่า "องค์" ใช้คำว่า "คน" เหมือนมนุษย์ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะนับถือให้สูงกว่า "พุทธะ" เป็นเพียงแต่เป็นการเรียกให้ถูก เท่านั้นเอง
- ส่วนอีกตัวอย่าง คือ อัลลอฮ์ ก็นับได้ว่าเป็นเทวดาผู้เป็นเทพแลอยู่ฝั่งเป็นกลาง ท่านเคยมาบอกผมว่า ดลใจให้ผมถามว่า "ศาสนาของท่านสอนกันแบบนี้ แบบนี้คือคำสอนจริง ๆ จากท่านแล้วหรือ"
คำตอบที่ได้คือ "ไม่" และ "ไม่ใช่"
คำสอนของท่านที่เคยสอน ก็ถูกการเวลากัดกร่อนและทำร้าย โดยศาสนิก ผู้เป็นมนุษย์ ในศาสนาของท่าน ก็ไม่ได้ต่างจากพวกเราที่ว่า คำสอนของพุทธะ ก็โดนทำร้ายด้วย พุทธศาสนิก เช่นกัน ต่างกันที่ว่า พุทธะ ไม่ใช่พระเจ้า แต่ท่านอยู่ "สูงกว่านั้น"
___________________
เทวดามิจฉาทิฏฐิฝั่งที่สองคือ ฝั่งมาร
เป็นเทวดาผู้มีมิจฉาทิฏฐิและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นสัมมาทิฏฐิ จึงเป็นฝั่งมาร คือ
เป็นผู้ขวางกรรมดีทั้งปวง มีทั้งติด อิจฉาและมัจฉริยะ
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=233
มีการกระทำอันเลวร้าย บางครั้งก็ทำกรรมชั่วเพราะไม่มีอะไรทำก็มี กลั่นแกล้งเพื่อความสนุก หรือให้ถึงกับพรากชีวิตให้ตกไปก็มี
เป็นผู้มีใจหยาบช้า เป็นเทวดาผู้มีใจอยาบช้า
เป็นผู้เห็นกรรมดี เป็นกรรมชั่ว
เป็นผู้เห็นกรรมชั่ว เป็นกรรมดี
พุทธะ ได้จำแนกเรียกเทวดาพวกนี้ว่า "เทวปุตตมาร"
ฝั่งมารใช้คำนี้ แต่ เทวดาผู้มีมิจฉาทิฏฐิ แต่ไม่ เบียดเบียน เช่น ก๊อด ใช้คำว่ามารไม่ได้ เพราะพวกท่าน ใช้ความ "รัก" เอาชนะ "ความเกลียด" เป็นต้น
อ่านต่อที่ความคิดเห็นถัดไป