สวัสดีครับ ผมเป็นหมอ อายุ 30 ปี กำลังต่อแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ใน กทม เป็นสาขา minor ตอนนี้ training มาได้ 10 เดือน แล้วครับ แต่รู่สึกว่า ยิ่งเรียนยิ่งไม่ OK หมายถึง รู้สึกไม่ใช่ตัวเอง จริงๆ ผมเคยคิดจะ off traing ตั้งแต่ เดือนที่ 6 แล้ว แต่ที่บ้าน กับ สถาบัน ให้กลับไปมองใหม่ ต่อมา มันก็ทนเรียนให้พอผ่านครับ จน เริ่มซึมเศร้า ร้องไห้ เบื่อการทำงาน เลยไปพบจิตแพทย์ วินิจฉัย Major depressive order หรือ โรคซึมเศร้า ตอนนี้ ต้องกินยารักษาตัว และนัดติดตามอาการกับ อ.จิตแพทย์
ตอนนี้ผมไม่มีอาการซึมเศร้าใดๆ แต่ยังคงต้องกินยารักษา ระหว่างนี้ผมก็ลองไปสมัครงานเอกชน เป็นคลินิก ในแหล่งท่องเที่ยว และเจ้าของตอบรับเข้าทำงาน แต่พอคุยกับคนรอบข้าง ที่ตอนแรก ให้ทำตามใจตัวเอง กลับพูดใหม่ว่าให้ เรียนต่อให้จบ และให้เช็คข้อดีข้อเสีย แล้วคิดดีๆ คือปัญหาหลักๆของผมคือเงินครับ ผมเป็นหัวหน้าครอบครัว รวมเงินรายเดือน ราวๆ 4 หมื่น ซึ่งตอนนี้ใช้เงินเก็บตัวเอง ใกล้จะหมดแล้ว หลังจากนี้คงต้องไปรับจ๊อบให้มากขึ้น
ขอบอกก่อนว่า ผมคุยเรื่องเงินกับครอบครัวหมดแล้วครับ บางคนบอกว่า ทำไมไม่ลดเงินหละ แต่มันคือครอบครัวผม ที่จำเป็นจริงๆ พื้นฐานทางการเงินแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ก่อนหน้ามาเรียน ผมมีคลินิก กับรายได้ รพ. รวมราวๆ 1.5 แสนต่อเดือน แต่พอมาเรียน เหลือ 2 หมื่น ต่อเดือน จึงต้องเอาเงินเก็บมาใช้
มองอนาคตแล้ว.....(ตอนที่ลิสข้อดีข้อเสีย ไม่ได้ใช้อารมณ์ depress มาตัดสินใดๆ และเอกชน นี่ไม่ใช่ รพ. หรือคลินิกความงาม ครับ )
ข้อดีของการไปอยู่เอกชน
-รายได้เรท 2 แสน อัพ ต่อเดือน (ถ้าจบเฉพาะทางกลับไปอยู่ รพ.รัฐบาล ได้ประมาณ 6 หมื่นบาทต่อเดือน และจะค้างจ่ายราวๆ 3 หมื่น ได้จริง 3
หมื่น)
-ได้ฝึกภาษา
-มีเวลาว่าง หยุดยาว 7-8 วันติด พาครอบครัวไปเที่ยวได้
-อิสระในการใช้ชีวิต
-ตอบโจทย์ชีวิต ในหลายๆด้าน
-มีเงินเก็บ สามารถเกษียณอายุได้เร็วกว่าคนที่รับราชการ
-เป็นคลินิกรุ่นพี่ ที่รู้จัก คุยกันได้
-สวัสดิการ ที่พัก อาหาร การรักษา โอเค
-เพื่อนที่ทำงานรอบข้าง ดี
ข้อเสีย
-ไม่มีวุฒิเฉพาะทางติดตัว มีแค่ แพทย์ทั่วไป >> Plan ว่า ก็ทำคลินิกระยะยาว ถ้าไม่ไหว ก็กลับมาเปิดคลินิกเล็กที่บ้าน ตอนนั้นน่าจะมีเงินเก็บระดับหนึ่ง
-ถ้าเรียนจบ 3 ปี เงินเก็บ เหลือ 0 บาท ต้องไปตั้งต้นนับ 1 ใหม่
-ถ้า off training จะโดนปรับ 2 เท่าจริงๆได้เงินมาเรียน ราวๆ 3.5 แสน แต่ถ้าปรับสองเท่าจะโดน ประมาณ 7 แสน แต่แบ่งจ่ายได้ (ถ้าออกเลยตอนเรียนจบ 3 ปี โดนปรับ ราวๆ 3 ล้านบาท)
-กรณีเรียนจบ ต้องใช้ทุนให้ต้นสังกัด ขั้นต่ำ 3 ปี นั่นคือ เรียน 3 ปี ทำงานคืน 3 ปี ดังนั้น 6 ปี ที่ต้องอยู่ใน loop ที่ไม่มีความสุข
-ต้องมีหลายขั้นตอนที่ทำ เช่น ลาออกต้นสังกัด ลาออกราชการ แต่จริงๆ ค่อยๆทำทีละขั้นตอนได้
-สิทธิ์การรักษาจ่ายตรง จะใช้ไม่ได้ (แต่ paln ว่า จะซื้อประกันชีวิตแทน)
-อาจมีคนพูดถึงในแง่ไม่ดี เช่น เรียนไม่จบ บลาๆ >> อันนี้คงปล่อยเขาไป เพราะเขาไม่ได้มีส่วนให้เงินกับชีวิตเรา
-เอกชนทำงานคิดเป็นราย ชม. ทำ ติดกัน 20 กว่าวัน และหยุดยาวหลายวัน คือ ขยันมากได้มาก และทำ 9-24.00 น. แต่เป็นการนั่งตรวจในคลินิก คนไข้ไม่ได้มาตลอด จะกระจายมา ชม ละ 1-2 คน
ผมพยายามลิสข้อดีข้อเสีย มาตลอด และถามว่า ถ้าตามใจผมผมเลือกอะไร ผมตอบว่า อยากเลือกไป คลินิก ครับ ผมรู้สึกว่า ชีวิตผม ต้องการแค่ เงิน เวลา ครอบครัว แต่ผู้ใหญ่ก็สอนให้อดทน เรียนให้จบ ถ้าจบไปอยากทำอะไรก็ทำได้ ชีวิตเลยรู้สึกว่า อยู่ในกรอบตลอดเวลา ในวัย 30 ไม่มีอิสระในชีวิต
ผมควรทำไงดีครับ ระหว่างความสุขของตัวเองกับความสุขของคนรอบข้าง
ผมควรoff training แพทย์เฉพาะทางไหมครับ
ตอนนี้ผมไม่มีอาการซึมเศร้าใดๆ แต่ยังคงต้องกินยารักษา ระหว่างนี้ผมก็ลองไปสมัครงานเอกชน เป็นคลินิก ในแหล่งท่องเที่ยว และเจ้าของตอบรับเข้าทำงาน แต่พอคุยกับคนรอบข้าง ที่ตอนแรก ให้ทำตามใจตัวเอง กลับพูดใหม่ว่าให้ เรียนต่อให้จบ และให้เช็คข้อดีข้อเสีย แล้วคิดดีๆ คือปัญหาหลักๆของผมคือเงินครับ ผมเป็นหัวหน้าครอบครัว รวมเงินรายเดือน ราวๆ 4 หมื่น ซึ่งตอนนี้ใช้เงินเก็บตัวเอง ใกล้จะหมดแล้ว หลังจากนี้คงต้องไปรับจ๊อบให้มากขึ้น
ขอบอกก่อนว่า ผมคุยเรื่องเงินกับครอบครัวหมดแล้วครับ บางคนบอกว่า ทำไมไม่ลดเงินหละ แต่มันคือครอบครัวผม ที่จำเป็นจริงๆ พื้นฐานทางการเงินแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ก่อนหน้ามาเรียน ผมมีคลินิก กับรายได้ รพ. รวมราวๆ 1.5 แสนต่อเดือน แต่พอมาเรียน เหลือ 2 หมื่น ต่อเดือน จึงต้องเอาเงินเก็บมาใช้
มองอนาคตแล้ว.....(ตอนที่ลิสข้อดีข้อเสีย ไม่ได้ใช้อารมณ์ depress มาตัดสินใดๆ และเอกชน นี่ไม่ใช่ รพ. หรือคลินิกความงาม ครับ )
ข้อดีของการไปอยู่เอกชน
-รายได้เรท 2 แสน อัพ ต่อเดือน (ถ้าจบเฉพาะทางกลับไปอยู่ รพ.รัฐบาล ได้ประมาณ 6 หมื่นบาทต่อเดือน และจะค้างจ่ายราวๆ 3 หมื่น ได้จริง 3
หมื่น)
-ได้ฝึกภาษา
-มีเวลาว่าง หยุดยาว 7-8 วันติด พาครอบครัวไปเที่ยวได้
-อิสระในการใช้ชีวิต
-ตอบโจทย์ชีวิต ในหลายๆด้าน
-มีเงินเก็บ สามารถเกษียณอายุได้เร็วกว่าคนที่รับราชการ
-เป็นคลินิกรุ่นพี่ ที่รู้จัก คุยกันได้
-สวัสดิการ ที่พัก อาหาร การรักษา โอเค
-เพื่อนที่ทำงานรอบข้าง ดี
ข้อเสีย
-ไม่มีวุฒิเฉพาะทางติดตัว มีแค่ แพทย์ทั่วไป >> Plan ว่า ก็ทำคลินิกระยะยาว ถ้าไม่ไหว ก็กลับมาเปิดคลินิกเล็กที่บ้าน ตอนนั้นน่าจะมีเงินเก็บระดับหนึ่ง
-ถ้าเรียนจบ 3 ปี เงินเก็บ เหลือ 0 บาท ต้องไปตั้งต้นนับ 1 ใหม่
-ถ้า off training จะโดนปรับ 2 เท่าจริงๆได้เงินมาเรียน ราวๆ 3.5 แสน แต่ถ้าปรับสองเท่าจะโดน ประมาณ 7 แสน แต่แบ่งจ่ายได้ (ถ้าออกเลยตอนเรียนจบ 3 ปี โดนปรับ ราวๆ 3 ล้านบาท)
-กรณีเรียนจบ ต้องใช้ทุนให้ต้นสังกัด ขั้นต่ำ 3 ปี นั่นคือ เรียน 3 ปี ทำงานคืน 3 ปี ดังนั้น 6 ปี ที่ต้องอยู่ใน loop ที่ไม่มีความสุข
-ต้องมีหลายขั้นตอนที่ทำ เช่น ลาออกต้นสังกัด ลาออกราชการ แต่จริงๆ ค่อยๆทำทีละขั้นตอนได้
-สิทธิ์การรักษาจ่ายตรง จะใช้ไม่ได้ (แต่ paln ว่า จะซื้อประกันชีวิตแทน)
-อาจมีคนพูดถึงในแง่ไม่ดี เช่น เรียนไม่จบ บลาๆ >> อันนี้คงปล่อยเขาไป เพราะเขาไม่ได้มีส่วนให้เงินกับชีวิตเรา
-เอกชนทำงานคิดเป็นราย ชม. ทำ ติดกัน 20 กว่าวัน และหยุดยาวหลายวัน คือ ขยันมากได้มาก และทำ 9-24.00 น. แต่เป็นการนั่งตรวจในคลินิก คนไข้ไม่ได้มาตลอด จะกระจายมา ชม ละ 1-2 คน
ผมพยายามลิสข้อดีข้อเสีย มาตลอด และถามว่า ถ้าตามใจผมผมเลือกอะไร ผมตอบว่า อยากเลือกไป คลินิก ครับ ผมรู้สึกว่า ชีวิตผม ต้องการแค่ เงิน เวลา ครอบครัว แต่ผู้ใหญ่ก็สอนให้อดทน เรียนให้จบ ถ้าจบไปอยากทำอะไรก็ทำได้ ชีวิตเลยรู้สึกว่า อยู่ในกรอบตลอดเวลา ในวัย 30 ไม่มีอิสระในชีวิต
ผมควรทำไงดีครับ ระหว่างความสุขของตัวเองกับความสุขของคนรอบข้าง