ภายหลังจากที่ญาติป่วย ก็ได้รับทราบถึงความโหด และความจริง ของบริการสาธารณสุขเมืองไทย ที่ต้องตระหนักไว้ด้วยว่า ควรวางแผน ไม่งั้นมีเงินแสนก็หมดแสน มีเงินล้านก็หมดล้านได้ด้วย
เช่น ญาติ มีสิทธิประกันสังคม แต่ก็ซื้อประกันชีวิตด้วย พอญาติป่วยเป็นโรคเบาหวาน ( ป่วยตอนอายุ 20 กว่าๆ เท่านั้น ) บริษัทประกันชีวิตก็ตั้งท่าจะไม่ต่อสัญญา เพราะโรคนี้มันค่าใช้จ่ายเยอะ
อยู่มาวันหนึ่ง อากาศร้อน ญาติคนนี้เลือดกำเดาไหล เข้า รพ.เอกชน ตามสิทธิประกันสังคม หมอเอาสำลีห้ามเลือด ให้ยาหยุดเลือด แต่เลือดไม่หยุด ก็จะขอให้ช่วยส่งตัวไป รพ.อื่น เพราะที่นี่เครื่องมือไม่พร้อม แต่หมอไม่ยอม ปล่อยให้ญาตินอนหายใจทางปากอยู่ 4 วัน ฯลฯ แต่ทำไปทำมา ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด หมอถึงได้ยอมทำเรื่องส่งตัวไป รพ.อื่น ที่พร้อมกว่า
หมอ รพ. เอกชนเดิม ไม่ได้ทำอะไรให้เลย ไม่ได้แก้ปัญหาให้ แต่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย เบิกจ่ายจากสิทธิประกันสังคม 2 หมื่นกว่าบาท และเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 2 หมื่นกว่าบาท บอกว่าใช้ตัวยาที่เบิกประกันสังคมไม่ได้
หมอ รพ.รัฐ ที่ใหม่ รักษาจนอาการดีขึ้น มีค่ารักษาประมาณ 2 หมื่นบาท โชคดีที่เบิกจากประกันสังคมได้หมด
กรณีนี้ เพียงแค่ " เลือดกำเดาไหล " เท่านั้นเอง แต่รวมค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 7 หมื่นบาท ( อะไรกันนักกันหนา )
ตั้งแต่มันป่วยเป็นเบาหวานมา 1 ปี ค่าใช้จ่ายเป็นหลักแสนแล้วอ่ะค่ะ เข้า รพ. ครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอาการจะมากน้อยยังไง ก็จะมีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาท ยังไม่นับอาการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะหมอบอกว่า จมูกข้างหนึ่งรักษา
หายแล้ว แต่จมูกอีกข้างหนึ่ง ก็อาจจะเลือดกำเดาไหลได้อีกเช่นกัน ( อะไรกันนักกันหนา )
เดี๋ยวนี้ รพ.รัฐ ก็อยากยกระดับมาตรฐาน เหมือน รพ.เอกชนแล้ว บางที่แพงกว่าเอกชนอีก เช่น ร.พ.รามาธิบดี ถ้าอยากได้คิวเร็ว ก็ต้องเข้าระบบพรีเมี่ยม รักษากับอาจารย์หมอ จองคิวล่วงหน้าได้ ห้องพักหรู ฯลฯ แต่ก็นั่นแหละ....ค่าใช้จ่ายแลกมากับความสะดวก บางทีผ่าตัดก็หลายแสนบาทเลยนะคะ
อย่าลืมเรื่องสุขภาพด้วยนะฮะ ถ้าป่วยแล้วไม่มีประกันสุขภาพ มีเงินแสนหมดแสน มีเงินล้านหมดล้านได้ด้วย [ย้ายจาก : ]
เช่น ญาติ มีสิทธิประกันสังคม แต่ก็ซื้อประกันชีวิตด้วย พอญาติป่วยเป็นโรคเบาหวาน ( ป่วยตอนอายุ 20 กว่าๆ เท่านั้น ) บริษัทประกันชีวิตก็ตั้งท่าจะไม่ต่อสัญญา เพราะโรคนี้มันค่าใช้จ่ายเยอะ
อยู่มาวันหนึ่ง อากาศร้อน ญาติคนนี้เลือดกำเดาไหล เข้า รพ.เอกชน ตามสิทธิประกันสังคม หมอเอาสำลีห้ามเลือด ให้ยาหยุดเลือด แต่เลือดไม่หยุด ก็จะขอให้ช่วยส่งตัวไป รพ.อื่น เพราะที่นี่เครื่องมือไม่พร้อม แต่หมอไม่ยอม ปล่อยให้ญาตินอนหายใจทางปากอยู่ 4 วัน ฯลฯ แต่ทำไปทำมา ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด หมอถึงได้ยอมทำเรื่องส่งตัวไป รพ.อื่น ที่พร้อมกว่า
หมอ รพ. เอกชนเดิม ไม่ได้ทำอะไรให้เลย ไม่ได้แก้ปัญหาให้ แต่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย เบิกจ่ายจากสิทธิประกันสังคม 2 หมื่นกว่าบาท และเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 2 หมื่นกว่าบาท บอกว่าใช้ตัวยาที่เบิกประกันสังคมไม่ได้
หมอ รพ.รัฐ ที่ใหม่ รักษาจนอาการดีขึ้น มีค่ารักษาประมาณ 2 หมื่นบาท โชคดีที่เบิกจากประกันสังคมได้หมด
กรณีนี้ เพียงแค่ " เลือดกำเดาไหล " เท่านั้นเอง แต่รวมค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 7 หมื่นบาท ( อะไรกันนักกันหนา )
ตั้งแต่มันป่วยเป็นเบาหวานมา 1 ปี ค่าใช้จ่ายเป็นหลักแสนแล้วอ่ะค่ะ เข้า รพ. ครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอาการจะมากน้อยยังไง ก็จะมีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาท ยังไม่นับอาการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะหมอบอกว่า จมูกข้างหนึ่งรักษา
หายแล้ว แต่จมูกอีกข้างหนึ่ง ก็อาจจะเลือดกำเดาไหลได้อีกเช่นกัน ( อะไรกันนักกันหนา )
เดี๋ยวนี้ รพ.รัฐ ก็อยากยกระดับมาตรฐาน เหมือน รพ.เอกชนแล้ว บางที่แพงกว่าเอกชนอีก เช่น ร.พ.รามาธิบดี ถ้าอยากได้คิวเร็ว ก็ต้องเข้าระบบพรีเมี่ยม รักษากับอาจารย์หมอ จองคิวล่วงหน้าได้ ห้องพักหรู ฯลฯ แต่ก็นั่นแหละ....ค่าใช้จ่ายแลกมากับความสะดวก บางทีผ่าตัดก็หลายแสนบาทเลยนะคะ