เล่าได้เล่าดี ตอนติดเกาะเคลื่อนที่ (เรือสำราญ) กลาง Caribbean Sea ตอนที่ 3

เล่าได้เล่าดี ตอนติดเกาะเคลื่อนที่ (เรือสำราญ) กลาง Caribbean Sea ตอนที่ 1: https://ppantip.com/topic/38497511

เล่าได้เล่าดี ตอนติดเกาะเคลื่อนที่ (เรือสำราญ) กลาง Caribbean Sea ตอนที่ 2: https://ppantip.com/topic/38522257

หายไปนานเลยค่ะ มาอ่านเรื่องเล่าต่อกันดีกว่าค่ะ..



Port of Galveston เป็นท่าเรือของเมือง Galveston, Texas. ซึ่งก่อตั้งและดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 1825 ซึ่เป็นท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดในอ่าวแม็กซิโก ท่าเรือนี้ตั้งอยู่ ทางฝั่งทะเลทางตะวันออกของ Galveston Island ซึ่งประมาณ 9.3 ไมล์ หรือ  15.0 กิโลเมตร หรือประมาณ 30 นาทีล่องเรือทะเล จากทะเลปากอ่าว ท่าเรือแห่งนี้ 

ในศตวรรษที่ 19 ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุด และประสบความสำเร็จที่สุด ในอ่าวแม็กซิโก รองเป็นลำดับสองของประเทศ จากท่าเรือ Port of New York City ในปี 1850  port of Galveston สามารถส่งสินค้าออก โดยประมาณถึงราคา ถึง 20 เท่า ต่อราคาสินค้านำเข้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าประเภทสำลี หรือ cotton  The Galveston Wharf Company ได้เข้าบริหารท่าเรือแห่งนี้ในปี 1869 และได้ทำการส่งออกสินค้าประเภทธัญพืช มากที่สุดในปี 1875 ทำให้ท่าเรือแห่งนี้เป็นผู้นำในการส่งออกสินค้าประเภทธัญพืชมากที่สุดของประเทศ ในระยะเวลาหลายทศวรรต  ความรุ่งเรืองของ ท่าเรือ ลดน้องถดถอยลง เมื่อประเทศอเมริกาหันเข้าสู่การอุตสาหกรรม และไม่เน้นเกษตรกรรม ทำให้มีผู้ประกอบกิจการส่งออก การเกษตร ใช้บริการท่าเรือแห่งนี้น้องลง 

สมัยสงคราสโลกครั้งที่หนึ่ง หรือ World War I ท่าเรือ Galveston กลับมาครองอันดับหนึ่งในการส่งออกสำลี ให้กับประเทศต่างๆทั่วโลกอีกครั้ง และเป็นอันดับสามในการส่งออกธัญพืชและน้ำตาลในช่วงที่ต่างประเทศยุ่งในการทำศึกสงครามและไม่มีเวลาในการผลิตอาหาร และทำการเกษตร  เนื่องจากที่ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือน้ำลึก สามารถรับรองเรือขนาดใหญ่ ท่าเรือแห่งนี้จึงเป็นศูนย์กลางในการรับชาวต่างชาติ ที่มุ่งหน้ามาขอสมัครเป็นประชาชนของประเทศอเมริกา หรือที่เรียกว่า immigration center ซึ่งมีคนเดินทางมาเข้าประเทศถึง 50,000 ในช่วงปี 1906 และ 1914 

หลังจากที่เรารู้จักความเป็นมาของท่าเรือ Galveston กันไปแล้ว ทีนี้ลองมารู้จัก เกาะเคลื่อนที่ ที่จะเป็นที่พักของฉันในเจ็ดวันนี้นี้ กันเลยค่ะ 

เรือ Liberty of the Seas

เกาะเคลื่อนที่ หรือว่า โรงแรมเคลื่อนที่ หรือว่า เรื่อสำราญที่ฉันว่านี้คือ เรือ Liberty of the Seas เป็นเรือของบริษัท เดินเรือ Royal Caribbean International Freedom เรือลำนี้เปิดให้บริการ และทำการเดินเรือ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 ภายใต้ชื่อที่ว่า Endeavour of the Seas แล้วจึงมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น Liberty of the Sea ในภายหลัง เรือลำนี้ มีด้วยกัน 15 ชั้น สามารถรับแขกได้มากถึง 4,960 คน และมีพนักงานประจำเรือมากถึงเกือบ 1,400 คน เรือลำนี้มีความยาวประมาณ 1,112 ฟุต มีความเร็ว 21.6 น๊อต หรือ 40.0 กิโลเมตร ต่อชัวโมง หรือ 24.9 ไมล์ต่อชั่วโมง ค่าก่อสร้างเรือลำนี้ อยู่ที่ 800 ล้านเหรียญ ดอลล่าห์ สหรัฐ และจดทะเบียนเรือที่ ท่าเรือ Nassau ประเทศ Bahamas 

Liberty of the Seas ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 18 เดือน ที่  Aker Finnyards Turku Shipyard, ประเทศ Finland, ซึ่งเป็นที่เดียวกับ เรือ Freedom of the Seas  ซึ่งเรือลำนี้ ในขณะนั้น ถือเป็นเรืออีกลำหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นเรือสำราญที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง ร่วมกับเรือ Freedom of the Seas ด้วยความยาว 1,111.9 ฟุต หรือ 338.91 เมตร และความกว้าง 184 ฟุต หรือ 56.08 เมตร ซึ่งรองลงมาจะเป็นเป็น เรือ  Independence of the Seas  ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2008 และในปี 2009  เรือ Oasis ได้มาคว้าตำแหน่ง เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีความจุถึง 220,000 ตัน 


นอกจากที่เราได้รู้จักบ้านน้อยหอยสังข์ (ชั่วคราว) ของฉันไปแล้ว ทีนี้เราดูว่า เจ้าของหอยสังข์น้อย ลำนี้คือใครกันดีกว่า 

Royal Caribbean International (RCI) หรือที่รู้จักกันในนามเดิมว่า Royal Caribbean Cruise Line, เป็นบริษัทเดินเรือ ที่ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศ Norway และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Miami รัฐ Florida ประเทศ United States. บริษัทนี้ก่อตั้ง ในปี 1968 ซึ่งเป็นบริษัทเดินเรือยักษ์ใหญ่ อีกบริษัทหนึ่งในโลก ในปี 2018 บริษัท Royal Caribbean International ควบคุมธุรกิจการเดินเรือ ของโลก ถึง 19.2% โดยมีรายได้จากการเดินเรือ ถึง 14.0 % จากสถิติรายได้ โดยรวม ของบริษัทเดินเรือต่างๆ ทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่ มีเรือสำราญขนาดใหญ่ติดอันดับต้นๆของโลก ถึง 25 ลำ และ 4 ลำ ในนั้น เป็นเรือที่ครองอันดับ หนึ่งถึงสี่ เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก  

เรือ Freedon of the Seas 
เรือ Oasis 

หลังจากนั่งชมวิว ตากลมเย็นจัด ริมสระว่ายน้ำ อยู่สักประมาณ บ่ายสอง เราสามคน พ่อ แม่ ลูก ก็พากันเดินลงไปดูสิว่า ห้องพักของเราจัดเสร็จหรือยัง ห้องพัก รับแขกบนเรือสำราญ เขาจะไม่เรียกว่า Guest Room อย่างที่โรงแรมเขาใช้กัน แต่เขาจะเรียกว่า Stateroom ห้องพักของฉันนี่เป็นแบบประหยัด เรียกง่ายๆว่า ถูกสุด เท่าที่ฉันจะหาได้ ตัวห้องพัก เป็นห้องอยู่ด้านใน ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีระเบียงรับลม ไม่โก้ เก๋ เท่ เวอร์วังอะไร เป็นห้องพัก กว้าง ยาว พอประมาณ พอเปิดประตูมาก็จะมี ตู้เสื้อผ้า อยู่ด้านขวามือ ห้องน้ำเล็กๆ กว้างกว่าห้องน้ำบนเครื่องบินนิดนึง แบ่งส่วนเป็น ซิ้งค์และกระจก โถส้วม และห้องอาบน้ำเล็กๆ เป็นห้องน้ำที่เล็ก แต่อัดแน่นไปด้วย สิ่งที่จำเป็น ในชีวิต คือ มีที่ล้างหน้า มีที่อึ และที่อาบน้ำ แค่นี้แหละ ที่ชีวิตนี้เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องเวิร์วัง อลังการ อะไรนักหนา เอาแค่อยู่ได้ก็พอ จบค่ะ.. 

ถัดจากห้องน้ำ ก็จะเป็น ส่วนของที่นั่งเล่น มีโต๊ะเล็กๆ และเก้าอี้ อาร์มแชร์ หนึ่งตัว ทางด้านซ้ายมือ ส่วนทางขวาก็จะมี กระจกบานใหญ่ พร้อมเคาท์เตอร์ และลิ้นชักใส่ของ ซึ่งใช้เป็นที่แต่งหน้าทำผม หรือจะใช้เป็นโต๊ะทำงานก็ได้ เพราะมีเก้าอี้ให้หนึ่งตัว ข้างๆกระจกบานยาวติดฝาผนัง มีทีวี จอแบน เครื่องกระทัดลัด ติดข้างฝา ที่สามารถ บิด เลื่อน ซ้าย ขวา เลือกได้ว่า อยาก ดูทีวี บนที่นอน หรือ ที่เก้าอี้อาร์มแชร์ ถัดมา อีกนิด ก็เป็นที่นอน ที่สามรถ เลื่อนออกจากกัน เป็น สองเตียงเดี่ยว หรือ เอามาประกบชิดกัน เป็นเตียวเดียวก็ได้ และทางด้านเพดาน มีสองเตียงเดี่ยว ที่สามารถ พับเก็บ แอบฝังตัวบนเพดานได้ ซึ่ง เราจองไว้ว่า นอนสามคน ดังนั้น เขาก็ดึง เตียง ที่ฝังอยู่ในเพดาน ลงมาแค่เตียงเดียว จัดเรียบร้อย มีบันไดลิง ที่สามารถ เคลื่อนย้าย เก็บได้เวลาไม่ใช้ เอาไว้ ให้ลูกสาว แม่ลูกลิงน้อยของฉัน ปีนขึ้นลง ไปนอนเตียงของเขาได้ ในเวลาที่เราสามคนไปถึงห้องพักนั้น ห้อง และเตียงนอน ถูกจัด และทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว มีผ้าเช็ดหน้า ที่คนทำความสะอาดห้อง พับเป็นรูปสัตว์ วางอยู่บนเตียงนอน ที่ปูตึงเรียบ พร้อมทั้งโบรชัวร์ โปรแกรมกิจกรรม และโชว์ต่างๆ ที่เขาจัดไว้ต้อนรับเราในวันแรกของการขึ้นเรือ


ห้องพัก ชั้นประหยัดของเราค่ะ... 

ไม่นานนัก กระเป๋าเดินทาง ของเราก็ถูกลำเลียง มาไว้ที่หน้าห้อง สองพ่อลูก ก็ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว แต่เอ๊ะ ทำไม กระเป๋าเดินทางของฉันถึงยังไม่มา รอแล้ว รอเล่า ก็ยังไม่มา จนต้องโทรไปถามที่ทางฟร้อนท์เดส ว่า ทำไมกระเป๋าฉันยังไม่มา เขาก็บอกว่า ลองลงไปที่ชั้นหนึ่ง ของเรือ เพราะอาจจะโดดกักกระเป๋าไว้ เพราะของบางอย่างในกระเป๋า เราจึงลงไปยังชั้นหนึ่งของเรือ ที่ตอนนั้น ก็มีกระเป๋ามากมายของแขกคนอื่นๆที่โดนกักไว้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะโดนกักเพราะ เอาปักไฟฟ้า ขนาดพกพา ที่เรียกว่า Extension Cord เพราะว่าปลั๊กไฟ ที่เขามีในห้องพัก มันมีจำกัด เพียงแค่สองหรือสามปลัก แต่ในทุกวันนี้ เรามีเครื่องใช้ไฟฟ้าฉบับพกพามากมาย ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ สามคนพ่อแม่ลูก ก็สามเครื่องเข้าไปแล้ว อีกทั้งยังมี คอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ต เกมส์กด เครื่องเล่นดีวีดี ขนาดพกพา โอ๊ยเยอะแยะ ตาแป๊ะไก่ ที่จะสาธยายไม่หมด แล้วไอ้ปลักไฟ ที่เขาเตรียมให้ ในห้อง มันจะพอเหรอ ไอ้ฉันก็เลย เอาปลั๊กไฟ ขนาดพกพาไปด้วย เพื่อว่าจะได้มีรูปล๊ก พร้อมเสียบ เสียบมันพร้อมกัน ยี่สิบรูไปเลย 555 แต่ก็นั่นแหละ นี่คือเหตุผลที่เขาไม่ให้เราเอาปลั๊กไฟเข้าไป เพราะไฟฟ้า บนเรือมีจำกัด ก็อย่าที่บอกว่า เรือสำราญ ก็เหมือนเกาะ น้ำท่า ไฟฟ้า มีจำกัด เขากำนดไว้แล้วว่า ในแต่ละห้องพัก ควรจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ในแต่ละวันแค่ไหน เขาก็ทำปลั๊กไว้แค่นั้น ซึ่งมันก็สมเหตุสมผล ไอ้ฉันก็เลย โดนยึด ปลั๊กไฟของฉัน ชั่วคราว แต่สามารถ ไปเอาคืนได้ เมื่อเรือเทียบท่าเรือตอนกลับแล้ว 

ซึ่งเมื่อแขกทุกคนขึ้นเรือแล้ว เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น ก็ได้เวลาของการเคลื่อนตัวออกจากท่า ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เราก็ออกมาสู่ปากอ่าว แต่ก่อนที่เรือจะออกไปในท้องทะเลกว้างนั้น พวกเราทุกคน ต้องฝึกการหนีภัย ที่เรียกว่า Emergency Drill เสียก่อน หากว่ายามฉุกเฉิน ถึงเวลาที่เราต้องสละเรือ ทุกคนไม่ว่า จะแขก ลูกเรือ ลูกเล็ก เด็กแดง จะได้รู้ว่าเราจะต้องทำกันอย่างไร จะได้ ไม่ต้องเกิดเหตุโศกนาฏกรรม แบบเรือไททานิค เพราะอิฉันก็ไม่อยากเป็น คุณโรส เกาะแผ่นกระดาน มองแจ๊ค ตายลอยตัวแข็งทื่ออยู่กลางทะเลหรอกนะคะ... แต่เราจะทำอะไรกันบ้างนั้น ไว้จะมาเล่าให้ฟังกันในวันหน้านะคะ 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่