เมื่อปีที่แล้ว เราตัดสินใจออกเดินทางกันในวันศุกร์ และมานอนค้างคืนกับเพื่อนที่ Grapvine, TX. หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นกินข้างกลางวันกับเพื่อนและครอบครัว ก่อนที่จะออกเดินทางไป Galveston, TX และไปนอนพักที่โรงแรมหนึ่งคืน ตอนนั้นไม่ได้วางแผนว่าจะไปนอนที่ไหน ในตอนเช้าของวันเสาร์ เพื่อนเขาอุตส่าห์ เข้าเว็บหาโรงแรมให้ มันเป็นเว็บไซด์ที่เราสามารถ เสนอราคาค่าเช่าห้องในราคาที่เราพอใจได้ เพื่อนเขาเสนอไปในราคา 49 เหรียญ ต่อคืน ซึ่งเราว่าก็เป็ราคาต่ำอยู่นะ ปรากฎว่าภายในเวลาไม่เกินสองชั่วโมง โรงแรมหนึ่งก็รับข้อเสนอค่าเช่าของเรา ตกลงในราคา 45 เหรียญต่อคืน อัยย่ะ ประหยัดเงินได้ตั้งเยอะแหนะ เมื่อเราไปถึง Galveston ประมาณหนึ่งทุ่ม ก็เริ่มมองหาโรงแรม Best Western at Seawall ซึ่งพอเราเลี้ยวเข้าถนน Seawall Boulevard ม่านไอหมอกหนาแน่น ม่านไอน้ำทะเล ปะทะกระจกหน้า แบบตั้งตัวไม่ทัน ทำให้เรามองถนนแถบไม่เห็น แม้เขาจะมีเสาไฟฟ้า เปิดสว่างส่องแสงนวลตลอดทางก็ตาม เรามอฝ่าออกไปเบื้องหน้า ตัวถนนทอดยาวออกไปสุดสายตา ฝั่งขวาจะเป็นโรงแรม และอพาร์ตเม้นท์ สวยงาม เรียงราย แต่ฝั่งซ้ายมืดสนิท มองไม่เห็นอะไร แต่เมื่อเราถึงโรงแรม และจอกรถที่ลานจอดรถแล้ว ถึงได้รู้ว่า ทางฝั่งซ้ายมือที่มืดมิดนั้น คือทะเล Gulf of Mexico
ถนน Seawall Boulevard เป็นถนนที่มีความสำคัญ และมีประวัติยาวนานของ Galveston, Texas ตัวถนนทอดยาวตามชายหาด หรือที่เรียกว่า Gulf coast waterfront ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Galveston Seawall ทางเท้าคนเดินของถนนนี้ ได้ชื่อว่าเป็นทางเท้าคนเดิน (man made) ที่ยาวที่สุดในโลก คือมีความยาวถึง 10.3 ไมล์ หรือ 16.6 กิโลเมตร
ในช่วง Open Era หรือ Free State ofGalveston หรือRepublic of Galveston Island ในกลางศตวรรษที่ 20 มีการสร้างถนน ในเกาะแห่งนี้มากมาย เพื่อต้อนรับ นักท่องเที่ยว ที่หลั่งไหลกันมาเที่ยวชม และเล่นการพนันที่เกาะแห่งนี้ ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่อง ก็สร้างกันหรูหราสวยงาม แต่ไม่มีถนนเส้นไหน จะเป็นแหล่งรวม ความหรูหรา และความบันเทิงได้มากกว่า ถนน SeaWall Boulevard เหตุการณืที่ทำให้ผู้คนรู้จัก และกล่าวขานชื่อถนนแห่งนี้ คือการจัดการประกวดสาวงามเป็นครั้งแรกในยุค 1920 ชื่อว่า International Pageant of Pulchritude การประกวดสาวงามในชุดว่ายน้ำเป็นครั้งแรก จัดขึ้นที่หาดหน้าถนน Seawall Boulevard ทำให้มีผู้ชมในประเทศอเมริกาหลั่งไหลกันมาชมการประกวดนี้มากมาย และเป็นที่กล่าวขานของสื่อในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย
เมื่อปีที่แล้ว เรามีเวลามาก หลังจากเช็คอินเข้าโรงแรมแล้ว เราก็มีเวลา เที่ยวชม Seawall ซึ่งก็คือกำแพงซีเมนต์สูงท่วมหัว แบ่งเขตระหว่างชายหาดกับตัวถนน เพื่อป้องกันการพังทลายของดิน เวลามีพายุ ถึงแม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่เราก็ยังเห็นหลักฐานของความเฟื่องฟูในสมัยก่อน จากร้านอาหารเก่าแก่ ที่ยังคงเปิดทำการอยู่ที่เดิมตั้งแต่สมัยยุค 20

รูปของ Seawall และถนน Seawall Boulevard ในอดีต
ในวันรุ่งขึ้นเราออกจากโรงแรม มุ่งหน้าไปที่ Port of Galveston เพื่อที่จะไปเช็คอิน ในเวลาสิบโมงเช้า เมื่อเลี้ยวเข้าถนนหน้าท่าเรือ เจ้าประคุณเอ๊ย ผู้คน รถรา ทำไมเยอะแยะมากมาย แบบนี้ ครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรก ในการไปที่ยวแบบนี้ ก็มีอาการตื่นตา ตื่นใจ ตื่นเต้น และงง กับผู้คน รถรา และการแย่งชิง ปาดซ้าย ปาดขวาบ้างเล็กน้อย กว่าที่รถของเราจะแทรกตัว เคลื่อนที่ไปจอดที่ Terminal 2 ที่เป็นท่าเรือของบริษัทเดินเรือ Royal Caribbean อิฉันก็วิงเวียนศีรษะ กับผู้คน และรถยนต์ที่มากมายนักหนาแล้ว กระนั้นยังไม่พอ หลังจากที่คุณสามีดรอป ฉันกับลูกสาว และบรรดากระเป๋าเสื้อผ้า สัมพาระ ลงในส่วนเช็คอินกระเป๋าแล้ว เขาก็ขับรถออกไปหาที่จอดรถ
ฉันเริ่มพยายามทำความเข้าใจในสถานการณ์รอบๆตัว มองดูว่าใครเป็นใคร และทำอะไรอยู่ ก็ได้คำตอบว่าผู้คนมากมาย วุ่นวายนี้ แบ่งได้สามกลุ่ม คือหนึ่ง กลุ่มนักท่องเที่ยวที่กลับมาจากการท่องเที่ยว ที่เพิ่งลงจากเรือ บ้างมีกระเป๋าเดินทางสองสามใบ บ้างมีสัมพาระกองที่พื้นเป็นภูเขาเหล่ากา เขามานั่งรอรถมารับกลับ ซึ่งไอ้จุดจอดรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเดินทางกลับ กับนักท่องเที่ยวที่มาใหม่ มันคือจุดเดียวกัน ซึ่งมันก็ทำให้วุ่นวาย จ๊อกแจ๊กดีเหมือนกัน กลุ่มคน กลุ่มที่สองคือกลุ่มเดียวกับของฉัน ก็คือนักท่องเที่ยวที่มาใหม่ ที่พยายามจะเช็คอินกระเป๋าเดินทางและสัมพาระ ที่บางคนเดินทางกับเรือนี้มากครั้งแล้วก็รู้ว่าวิธีการเป็นอย่างไร แต่กับฉัน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก เลยเงอะๆงะๆ ทำอะไรไม่ค่อยจะถูก
ก่อนเดินทางสองสามวัน ทางบริษัทเดินเรือ จะส่งอีเมล์ มาให้เราเช็คอินล่วงหน้า ก่อนขึ้นเรือได้สามวัน ซึ่งครั้งนั้น คุณสามีจัดการเช็คอินล่วงหน้าก่อนแล้ว ทำให้เรารู้ว่า ห้องพักของเราหมายเลขอะไร และเราก็ปริ้นท์ Luggage Tag สำหรับกระเป๋าแต่ละใบมาเรียบร้อย ด้วยความที่เราหน้าตาเหรอหรา คนกลุ่มที่สามที่แต่งตัวใส่เสื้อลายฮาวาย สีสันสวยงาม คือพนักงานขนกระเป๋า หรือ Bell Man เขาก็เดินใสรถเข็นกระเป๋าเข้ามาหา ทักทายอย่างเป็นกันเอง และช่วยเราติด Luggage Tag บนกระเป๋าทุกใบ และบอกว่า หลังจากที่เช็คกระเป๋าเสร็จแล้ว ให้ไปเดินเข้าช่องประตู สำหรับนักท่องเที่ยวขาเข้า เพื่อทำการเช็คอินขึ้นเรือต่อไป
การไปเช็คอินขึ้นเรือครั้งที่แล้ว ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเรา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ควรแหกขี้ตา ไปเช็คอินขึ้นเรือตั้งแต่ไก่โห่ เพราะจะเจอกับความวุ่นวาย คนก็เยอะ รถก็เยอะ ต่อแถวเช็คอินก็ยาว ต่อแถวรอขึ้นเรือก็ยาว ประจวบกับคราวนี้เราไม่มีเวลาในการเดินทางมากนัก เราเลยกะว่า ให้ไปถึงท่าเรือในเวลาไม่เกินบ่ายโมง ซึ่งพอไปถึงก็จริงดังคาด รถก็ไม่ติดมากนัก นักท่องเที่ยวเก่า ที่เดินทางกลับบ้าน ก็กลับไปกันหมดแล้ว ทำให้อะไรๆ มันสะดวกสบาย มากกว่าคราวที่แล้วมากนัก
คราวนี้เมื่อคุณสามีดรอปฉันและลูกออกจากรถ ที่จุดเช็คอินกระเป๋า เขาก็ขับรถออกไปเพื่อไปหาที่จอดรถ คราวนี้อะไรๆมันก็ลกๆไปหมด ทำให้เราไม่ได้เช็คอินล่วงหน้า เลยไม่รู้ว่าหมายเลขห้องพักอะไร Lugguge Tag ก็ไม่มี แทนที่เราจะให้พนักงานขนกระเป๋า จัดการกับกระเป่าเราเลย ก็ทำไม่ได้ ดังนั้น เราเลยเดินไปหาพนักงานที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ บอกว่าเราไม่มีแท็กติดกระเป๋า เขาจึงถามชื่อเราว่าชื่ออะไร จากนั้นเขาดึงปึกกระดาษ ปึกหนามากๆ ซึ่งเป็นรายชื่อนักท่องเที่ยวขานี้ นี่ขนาดพิมพ์ออกมาหน้าหลัง ยังได้กระดาษปึกโตเท่านี้เลยนะ แปลว่านักท่องเที่ยว ที่จะไปกับเรือลำนี้น่าจะมีเป็นพันๆคน ในที่สุดเขาก็เจอชื่อของเราสามคน เขาก็จัดการ เขียนหมายเลขห้องพัก ใส่แท็กสำรอง แล้วยื่นให้เราตามจำนวนกระเป๋าของเรา จากนั้นเราก็เอาไปยื่นให้พนักงานขนกระเป๋า

ลูกสาวที่จุดรับเช็คอินกระเป๋าค่ะ นี่คือนางยิ้มหวานสุดแล้วค่ะ คือประหลาดมาก พอเด็กเข้าอายุช่วงนี้ จะรูปภาพยิ้มหวานๆ สวยๆ อวดชาวบ้านไม่ค่อยจะได้ค่ะ
หลังจากรอคุณสามีอยู่พักใหญ่ เขาก็มากับ Charter Bus คันหนึ่ง ซึ่งรถนี้เขามีวิ่งรับส่งจากลานจอดรถ และเทอร์มินอล ก็สะดวกสบายอยู่ สำหรับการจอดรถในลานจอดรถของท่าเรือ ซึ่งค่าจอดรถก็ราคา 80 เหรียญต่อวัน เมื่อคุณสามีมาถึง เราก็เดินเข้าประตูของผู้โดยสารขาเข้า ที่มีระบบการตรวจสอบความปลอดภัย คล้ายการขึ้นเครื่องบิน เราเดินต่อแถวที่ยาวเป็นหางงู ขดไปขดมา อยู่ราวๆสี่สิบห้านาที ก็ถึงคิวเราที่เจ้าหน้าที่เขาจะตรวจสอบ พาสปอร์ต กับรายชื่อผู้โดยสารในกระดาษปึกโต คราวที่แล้วเราเช็คอินล่วงหน้า เราจะมีบอร์ดิ้งพาสต์ ปริ้ท์มาล่วงหน้า ก็สะดวกในการตรวจ แต่ครั้งนี้เราไม่มีบอร์ดิ้งพาสต์ ทำให้เขาต้องไล่ชื่อในแผ่นกระดาษ ก็จะใช้เวลามากหน่อย จากนั้นเราก็ไปต่อแถว เอาสัมพาระที่ติดตัวมา ไปใส่ในเครื่องแสกน พอผ่านแล้วก็เดินเข้าไปต่อแถว อีกครั้งเพื่อลงทะเบียนเช็คอิน
คราวที่แล้วเราเช็คิอินล่วงหน้า ก็จะใช้เวลาสั้นกว่าครั้งนี้ เพราะคราวนี้ คุณสามีต้องกรอกรายละเอียดผู้โดยสารของแต่ละคน และเซ็นต์ชื่อตรงนี้ ตรงนั้นเยอะแยะมากมาย พอจบเรื่องเอกสาร เขาก็ทำการถ่ายรูป และออกบัตร Seapass ให้แต่ละคน จากนั้นก็เดินต่อไปยังห้องรับรอง เพื่อรอขึ้นเรือ ในคราวที่แล้วเนื่องจากว่า เรามากันตั้งแต่ไก่โห่ ผู้คนก็มากมายที่มาในเวลาเดียวกัน หลังจากที่ทำการเช็คอินที่เคาท์เตอร์แล้ว เขาจะให้เรามานั่งพักรับรอง ในห้องรับรอง และให้คิวเลขของเรามา เพื่อที่จะทำการเรียกผู้โดยสารแต่ละหมายเลขขึ้นเรือเมื่อถึงแก่เวลา ซึ่งในช่วงเวลารอนี้ เขาจะให้เด็กอายุ 12 ปี และต่ำกว่าใส่กำไรมือพลาสติก ที่ติดแน่นหนึบยากที่จะแกะออก กำไรมือนี้จะมีหมายเลขและตัวหนังสือภาษาอังกฤษกำกับไว้ และแยกเป็นสีต่างๆ หลายหลากสี ซึ่งฉันมารู้ทีหลังว่า กำไรข้อมือพลาสติก คือเครื่องหมายและรายละเอียดที่ช่วยในการหนีภัย หากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสละเรือ แต่ตัวเด็กไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครอง ทางลูกเรือสามารถพาเด็กไปพบผู้ปกครองได้ที่จุดนัดพบตามหมายเลยและตัวอักษรภาษาอังกฤษที่กำกับไว้ที่กำไรข้อมือ และบนบัตร Seapass เพื่อทำการขึ้นเรือชูชีพต่อไป
คราวนั้นเรานั่งรอเวลาเรียกหมายเลขของเรา เพื่อที่จะขึ้นเรือประมาณชั่วโมงกว่าๆ เขาถึงเรียกหมายเลขกลุ่มของเรา ซึ่งจะว่าไปแล้ว กว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเสร็จสิ้น จากต้นจนจบ เราก็ขึ้นเรือในเวลาเกือบจะเที่ยง และกว่าเรือจะออกจากท่า ก็ตั้งสี่โมงเย็น ดังนั้นคราวนี้ เราจึงวางแผนว่า เราจะไปถึงท่าเรือในเวลาบ่ายโมง เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน และรอคิวแถวยาว ซึ่งก็เป็นจริงดังคาด เพราะคราวนี้หลังจากที่เช็คอินที่เคาท์เตอร์เสร็จ เราก็เดินต่อไปที่ห้องรับรอง ที่ไม่มีคนเลย ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลานั่งรอ เขาให้เราเดินต่อขึ้นเรือไปในทันที ส่วนลูกสาวก็ไปรับกำไรข้อมือ ตรงหน้าประตูก่อนที่จะขึ้นงวงช้าง ซึ่งเป็นประสบการณ์เช็คอินที่ดีมากๆเลย
หลังจากที่เราขึ้นเรือแล้ว เราก็เดินไปที่ห้องพัก ซึ่งห้องพักก็ยังจัดไม่เสร็จ และกระเป๋าเสื้อผ้า ก็ยังไม่มาถึงห้อง ซึ่งเขาก็บอกล่วงหน้าอยู่แล้วว่าควรติดกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กหนึ่งใบ ที่เรียกว่า Carry-On ที่มีเสื้อผ้าจำเป็นในกรณีที่กระเป๋าเดินทางและสัมพาระ ยังไม่มาถึงห้อง ซึ่งฉันก็มีแครรี่ออน ที่ใส่ชุดว่ายน้ำของทั้งสามคน และครื่องกระจุกกระจิกอีกสองสามอย่าง เตรียมไว้ ดังนั้นเราก็ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำ และมุ่งหน้าขึ้นชั้นสิบเอ็ด ที่เป็นชั้นบนดาดฟ้า มีสระว่ายน้ำและภัตรคาร เสริฟอาหารแบบบัฟเฟต์ทันที
เมื่อขึ้นไปถึงเราก็เห็นมีนักท่องเที่ยว มากมายจับจองที่นั่งบริเวณริมสระ อยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่เราไม่ได้สนใจ เราเดินเลยไปที่ภัตตคารเพื่อกินอาหารกลางวันทันที เพราะหิวมาก และไม่ได้กินอะไรกันมาตั้งแต่เช้า พออิ่มก็มาหาที่นั่งชมวิว และดูลูกสาวเล่นน้ำในสระ อากาศที่นั้น ในเวลานั้น ก็ประมาณ 40-45 องศา ทำให้น้ำในสระ เย็นแสนเย็น แต่ยังไง เด็กๆก็ไม่สะทกสะท้านกันเลยทีเดียว แต่ฉันไม่เอาด้วยหล่ะ ขอยังไม่ลงสระดีกว่า ฉันขอจิบคอกเทลสีสวย ชมวิวท่าเรือไปแบบชิวๆดีกว่าค่ะ
เล่าได้เล่าดี ตอนติดเกาะเคลื่อนที่ (เรือสำราญ) กลาง Caribbean Sea ตอนที่ 2
ถนน Seawall Boulevard เป็นถนนที่มีความสำคัญ และมีประวัติยาวนานของ Galveston, Texas ตัวถนนทอดยาวตามชายหาด หรือที่เรียกว่า Gulf coast waterfront ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Galveston Seawall ทางเท้าคนเดินของถนนนี้ ได้ชื่อว่าเป็นทางเท้าคนเดิน (man made) ที่ยาวที่สุดในโลก คือมีความยาวถึง 10.3 ไมล์ หรือ 16.6 กิโลเมตร
ในช่วง Open Era หรือ Free State ofGalveston หรือRepublic of Galveston Island ในกลางศตวรรษที่ 20 มีการสร้างถนน ในเกาะแห่งนี้มากมาย เพื่อต้อนรับ นักท่องเที่ยว ที่หลั่งไหลกันมาเที่ยวชม และเล่นการพนันที่เกาะแห่งนี้ ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่อง ก็สร้างกันหรูหราสวยงาม แต่ไม่มีถนนเส้นไหน จะเป็นแหล่งรวม ความหรูหรา และความบันเทิงได้มากกว่า ถนน SeaWall Boulevard เหตุการณืที่ทำให้ผู้คนรู้จัก และกล่าวขานชื่อถนนแห่งนี้ คือการจัดการประกวดสาวงามเป็นครั้งแรกในยุค 1920 ชื่อว่า International Pageant of Pulchritude การประกวดสาวงามในชุดว่ายน้ำเป็นครั้งแรก จัดขึ้นที่หาดหน้าถนน Seawall Boulevard ทำให้มีผู้ชมในประเทศอเมริกาหลั่งไหลกันมาชมการประกวดนี้มากมาย และเป็นที่กล่าวขานของสื่อในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย
เมื่อปีที่แล้ว เรามีเวลามาก หลังจากเช็คอินเข้าโรงแรมแล้ว เราก็มีเวลา เที่ยวชม Seawall ซึ่งก็คือกำแพงซีเมนต์สูงท่วมหัว แบ่งเขตระหว่างชายหาดกับตัวถนน เพื่อป้องกันการพังทลายของดิน เวลามีพายุ ถึงแม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่เราก็ยังเห็นหลักฐานของความเฟื่องฟูในสมัยก่อน จากร้านอาหารเก่าแก่ ที่ยังคงเปิดทำการอยู่ที่เดิมตั้งแต่สมัยยุค 20
รูปของ Seawall และถนน Seawall Boulevard ในอดีต
ในวันรุ่งขึ้นเราออกจากโรงแรม มุ่งหน้าไปที่ Port of Galveston เพื่อที่จะไปเช็คอิน ในเวลาสิบโมงเช้า เมื่อเลี้ยวเข้าถนนหน้าท่าเรือ เจ้าประคุณเอ๊ย ผู้คน รถรา ทำไมเยอะแยะมากมาย แบบนี้ ครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรก ในการไปที่ยวแบบนี้ ก็มีอาการตื่นตา ตื่นใจ ตื่นเต้น และงง กับผู้คน รถรา และการแย่งชิง ปาดซ้าย ปาดขวาบ้างเล็กน้อย กว่าที่รถของเราจะแทรกตัว เคลื่อนที่ไปจอดที่ Terminal 2 ที่เป็นท่าเรือของบริษัทเดินเรือ Royal Caribbean อิฉันก็วิงเวียนศีรษะ กับผู้คน และรถยนต์ที่มากมายนักหนาแล้ว กระนั้นยังไม่พอ หลังจากที่คุณสามีดรอป ฉันกับลูกสาว และบรรดากระเป๋าเสื้อผ้า สัมพาระ ลงในส่วนเช็คอินกระเป๋าแล้ว เขาก็ขับรถออกไปหาที่จอดรถ
ฉันเริ่มพยายามทำความเข้าใจในสถานการณ์รอบๆตัว มองดูว่าใครเป็นใคร และทำอะไรอยู่ ก็ได้คำตอบว่าผู้คนมากมาย วุ่นวายนี้ แบ่งได้สามกลุ่ม คือหนึ่ง กลุ่มนักท่องเที่ยวที่กลับมาจากการท่องเที่ยว ที่เพิ่งลงจากเรือ บ้างมีกระเป๋าเดินทางสองสามใบ บ้างมีสัมพาระกองที่พื้นเป็นภูเขาเหล่ากา เขามานั่งรอรถมารับกลับ ซึ่งไอ้จุดจอดรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเดินทางกลับ กับนักท่องเที่ยวที่มาใหม่ มันคือจุดเดียวกัน ซึ่งมันก็ทำให้วุ่นวาย จ๊อกแจ๊กดีเหมือนกัน กลุ่มคน กลุ่มที่สองคือกลุ่มเดียวกับของฉัน ก็คือนักท่องเที่ยวที่มาใหม่ ที่พยายามจะเช็คอินกระเป๋าเดินทางและสัมพาระ ที่บางคนเดินทางกับเรือนี้มากครั้งแล้วก็รู้ว่าวิธีการเป็นอย่างไร แต่กับฉัน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรก เลยเงอะๆงะๆ ทำอะไรไม่ค่อยจะถูก
ก่อนเดินทางสองสามวัน ทางบริษัทเดินเรือ จะส่งอีเมล์ มาให้เราเช็คอินล่วงหน้า ก่อนขึ้นเรือได้สามวัน ซึ่งครั้งนั้น คุณสามีจัดการเช็คอินล่วงหน้าก่อนแล้ว ทำให้เรารู้ว่า ห้องพักของเราหมายเลขอะไร และเราก็ปริ้นท์ Luggage Tag สำหรับกระเป๋าแต่ละใบมาเรียบร้อย ด้วยความที่เราหน้าตาเหรอหรา คนกลุ่มที่สามที่แต่งตัวใส่เสื้อลายฮาวาย สีสันสวยงาม คือพนักงานขนกระเป๋า หรือ Bell Man เขาก็เดินใสรถเข็นกระเป๋าเข้ามาหา ทักทายอย่างเป็นกันเอง และช่วยเราติด Luggage Tag บนกระเป๋าทุกใบ และบอกว่า หลังจากที่เช็คกระเป๋าเสร็จแล้ว ให้ไปเดินเข้าช่องประตู สำหรับนักท่องเที่ยวขาเข้า เพื่อทำการเช็คอินขึ้นเรือต่อไป
การไปเช็คอินขึ้นเรือครั้งที่แล้ว ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเรา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ควรแหกขี้ตา ไปเช็คอินขึ้นเรือตั้งแต่ไก่โห่ เพราะจะเจอกับความวุ่นวาย คนก็เยอะ รถก็เยอะ ต่อแถวเช็คอินก็ยาว ต่อแถวรอขึ้นเรือก็ยาว ประจวบกับคราวนี้เราไม่มีเวลาในการเดินทางมากนัก เราเลยกะว่า ให้ไปถึงท่าเรือในเวลาไม่เกินบ่ายโมง ซึ่งพอไปถึงก็จริงดังคาด รถก็ไม่ติดมากนัก นักท่องเที่ยวเก่า ที่เดินทางกลับบ้าน ก็กลับไปกันหมดแล้ว ทำให้อะไรๆ มันสะดวกสบาย มากกว่าคราวที่แล้วมากนัก
คราวนี้เมื่อคุณสามีดรอปฉันและลูกออกจากรถ ที่จุดเช็คอินกระเป๋า เขาก็ขับรถออกไปเพื่อไปหาที่จอดรถ คราวนี้อะไรๆมันก็ลกๆไปหมด ทำให้เราไม่ได้เช็คอินล่วงหน้า เลยไม่รู้ว่าหมายเลขห้องพักอะไร Lugguge Tag ก็ไม่มี แทนที่เราจะให้พนักงานขนกระเป๋า จัดการกับกระเป่าเราเลย ก็ทำไม่ได้ ดังนั้น เราเลยเดินไปหาพนักงานที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ บอกว่าเราไม่มีแท็กติดกระเป๋า เขาจึงถามชื่อเราว่าชื่ออะไร จากนั้นเขาดึงปึกกระดาษ ปึกหนามากๆ ซึ่งเป็นรายชื่อนักท่องเที่ยวขานี้ นี่ขนาดพิมพ์ออกมาหน้าหลัง ยังได้กระดาษปึกโตเท่านี้เลยนะ แปลว่านักท่องเที่ยว ที่จะไปกับเรือลำนี้น่าจะมีเป็นพันๆคน ในที่สุดเขาก็เจอชื่อของเราสามคน เขาก็จัดการ เขียนหมายเลขห้องพัก ใส่แท็กสำรอง แล้วยื่นให้เราตามจำนวนกระเป๋าของเรา จากนั้นเราก็เอาไปยื่นให้พนักงานขนกระเป๋า
ลูกสาวที่จุดรับเช็คอินกระเป๋าค่ะ นี่คือนางยิ้มหวานสุดแล้วค่ะ คือประหลาดมาก พอเด็กเข้าอายุช่วงนี้ จะรูปภาพยิ้มหวานๆ สวยๆ อวดชาวบ้านไม่ค่อยจะได้ค่ะ
หลังจากรอคุณสามีอยู่พักใหญ่ เขาก็มากับ Charter Bus คันหนึ่ง ซึ่งรถนี้เขามีวิ่งรับส่งจากลานจอดรถ และเทอร์มินอล ก็สะดวกสบายอยู่ สำหรับการจอดรถในลานจอดรถของท่าเรือ ซึ่งค่าจอดรถก็ราคา 80 เหรียญต่อวัน เมื่อคุณสามีมาถึง เราก็เดินเข้าประตูของผู้โดยสารขาเข้า ที่มีระบบการตรวจสอบความปลอดภัย คล้ายการขึ้นเครื่องบิน เราเดินต่อแถวที่ยาวเป็นหางงู ขดไปขดมา อยู่ราวๆสี่สิบห้านาที ก็ถึงคิวเราที่เจ้าหน้าที่เขาจะตรวจสอบ พาสปอร์ต กับรายชื่อผู้โดยสารในกระดาษปึกโต คราวที่แล้วเราเช็คอินล่วงหน้า เราจะมีบอร์ดิ้งพาสต์ ปริ้ท์มาล่วงหน้า ก็สะดวกในการตรวจ แต่ครั้งนี้เราไม่มีบอร์ดิ้งพาสต์ ทำให้เขาต้องไล่ชื่อในแผ่นกระดาษ ก็จะใช้เวลามากหน่อย จากนั้นเราก็ไปต่อแถว เอาสัมพาระที่ติดตัวมา ไปใส่ในเครื่องแสกน พอผ่านแล้วก็เดินเข้าไปต่อแถว อีกครั้งเพื่อลงทะเบียนเช็คอิน
คราวที่แล้วเราเช็คิอินล่วงหน้า ก็จะใช้เวลาสั้นกว่าครั้งนี้ เพราะคราวนี้ คุณสามีต้องกรอกรายละเอียดผู้โดยสารของแต่ละคน และเซ็นต์ชื่อตรงนี้ ตรงนั้นเยอะแยะมากมาย พอจบเรื่องเอกสาร เขาก็ทำการถ่ายรูป และออกบัตร Seapass ให้แต่ละคน จากนั้นก็เดินต่อไปยังห้องรับรอง เพื่อรอขึ้นเรือ ในคราวที่แล้วเนื่องจากว่า เรามากันตั้งแต่ไก่โห่ ผู้คนก็มากมายที่มาในเวลาเดียวกัน หลังจากที่ทำการเช็คอินที่เคาท์เตอร์แล้ว เขาจะให้เรามานั่งพักรับรอง ในห้องรับรอง และให้คิวเลขของเรามา เพื่อที่จะทำการเรียกผู้โดยสารแต่ละหมายเลขขึ้นเรือเมื่อถึงแก่เวลา ซึ่งในช่วงเวลารอนี้ เขาจะให้เด็กอายุ 12 ปี และต่ำกว่าใส่กำไรมือพลาสติก ที่ติดแน่นหนึบยากที่จะแกะออก กำไรมือนี้จะมีหมายเลขและตัวหนังสือภาษาอังกฤษกำกับไว้ และแยกเป็นสีต่างๆ หลายหลากสี ซึ่งฉันมารู้ทีหลังว่า กำไรข้อมือพลาสติก คือเครื่องหมายและรายละเอียดที่ช่วยในการหนีภัย หากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสละเรือ แต่ตัวเด็กไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครอง ทางลูกเรือสามารถพาเด็กไปพบผู้ปกครองได้ที่จุดนัดพบตามหมายเลยและตัวอักษรภาษาอังกฤษที่กำกับไว้ที่กำไรข้อมือ และบนบัตร Seapass เพื่อทำการขึ้นเรือชูชีพต่อไป
คราวนั้นเรานั่งรอเวลาเรียกหมายเลขของเรา เพื่อที่จะขึ้นเรือประมาณชั่วโมงกว่าๆ เขาถึงเรียกหมายเลขกลุ่มของเรา ซึ่งจะว่าไปแล้ว กว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเสร็จสิ้น จากต้นจนจบ เราก็ขึ้นเรือในเวลาเกือบจะเที่ยง และกว่าเรือจะออกจากท่า ก็ตั้งสี่โมงเย็น ดังนั้นคราวนี้ เราจึงวางแผนว่า เราจะไปถึงท่าเรือในเวลาบ่ายโมง เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน และรอคิวแถวยาว ซึ่งก็เป็นจริงดังคาด เพราะคราวนี้หลังจากที่เช็คอินที่เคาท์เตอร์เสร็จ เราก็เดินต่อไปที่ห้องรับรอง ที่ไม่มีคนเลย ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลานั่งรอ เขาให้เราเดินต่อขึ้นเรือไปในทันที ส่วนลูกสาวก็ไปรับกำไรข้อมือ ตรงหน้าประตูก่อนที่จะขึ้นงวงช้าง ซึ่งเป็นประสบการณ์เช็คอินที่ดีมากๆเลย
หลังจากที่เราขึ้นเรือแล้ว เราก็เดินไปที่ห้องพัก ซึ่งห้องพักก็ยังจัดไม่เสร็จ และกระเป๋าเสื้อผ้า ก็ยังไม่มาถึงห้อง ซึ่งเขาก็บอกล่วงหน้าอยู่แล้วว่าควรติดกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กหนึ่งใบ ที่เรียกว่า Carry-On ที่มีเสื้อผ้าจำเป็นในกรณีที่กระเป๋าเดินทางและสัมพาระ ยังไม่มาถึงห้อง ซึ่งฉันก็มีแครรี่ออน ที่ใส่ชุดว่ายน้ำของทั้งสามคน และครื่องกระจุกกระจิกอีกสองสามอย่าง เตรียมไว้ ดังนั้นเราก็ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำ และมุ่งหน้าขึ้นชั้นสิบเอ็ด ที่เป็นชั้นบนดาดฟ้า มีสระว่ายน้ำและภัตรคาร เสริฟอาหารแบบบัฟเฟต์ทันที
เมื่อขึ้นไปถึงเราก็เห็นมีนักท่องเที่ยว มากมายจับจองที่นั่งบริเวณริมสระ อยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่เราไม่ได้สนใจ เราเดินเลยไปที่ภัตตคารเพื่อกินอาหารกลางวันทันที เพราะหิวมาก และไม่ได้กินอะไรกันมาตั้งแต่เช้า พออิ่มก็มาหาที่นั่งชมวิว และดูลูกสาวเล่นน้ำในสระ อากาศที่นั้น ในเวลานั้น ก็ประมาณ 40-45 องศา ทำให้น้ำในสระ เย็นแสนเย็น แต่ยังไง เด็กๆก็ไม่สะทกสะท้านกันเลยทีเดียว แต่ฉันไม่เอาด้วยหล่ะ ขอยังไม่ลงสระดีกว่า ฉันขอจิบคอกเทลสีสวย ชมวิวท่าเรือไปแบบชิวๆดีกว่าค่ะ