ช่วงนี้มีซากุระบานที่ญี่ปุ่น แต่เวลาก็มีจำกัดเหลือเกิน เพราะยังเรียนอยู่ (ลาไม่ได้)
ก็เลยจัดทริปไปเดินเล่นที่ญี่ปุ่นแบบ 2 วัน 1 คืน ดูครับ
โดยเน้นเป็นการเดินเที่ยวสนุกๆ ไม่ได้เน้นเก็บแลนด์มาร์คต่างๆในโตเกียว
เริ่มต้นก็ต้องเริ่มจากการหาไฟลท์บินก่อน โดยหา red-eye flight ที่อยู่ในช่วงเวลานอนพอดี
และเลือกบินไปลงฮาเนดะ เพราะเข้าเมืองง่ายและราคาถูก
เรียกว่าขึ้นไปนอนบนเครื่องบิน ตื่นมาก็ถึงญี่ปุ่นพอดี
ส่วนขากลับ ก็นอนบนเครื่องบินอีกเหมือนเดิม ตื่นมากินข้าวเช้าก็ถึงไทยพอดีครับ
โดยแนะนำการเดินทางไปญี่ปุ่นสำหรับสายที่มีเวลาจำกัด (ควรลงฮาเนดะ) + ไฟลท์กลางคืนจะมีดังนี้
TG682 - BKK-HND - 23:15-06:55(+1) - จะใช้ 747R บิน มี First Class เป็น Lie-Flat/Non-suite , Business Class เป็น Angled-Lie Flat
NH850 - BKK-HND - 21:45-05:55 จะใช้ 787 บิน มีเฉพาะ Business Class ซึ่งเป็น Staggered Lie Flat Seat
JL34 - BKK-HND - 21:55-06:05 จะใช้ 777 บิน มีเฉพาะ Business Class ซึ่งเป็น Angled-Lie Flat
โดยพยายามเลือกไฟลท์ที่คิดว่าหลับสบาย โดยพิจารณาจาก Seat ด้วยครับ สำหรับการเที่ยวสั้นๆเนี่ย ไฟลท์บินสำคัญมาก เพราะเรานอนโรงแรมแค่คืนเดียว แต่ต้องนอนบนเครื่องบินถึงสองคืน
(สำหรับผม ถ้าไปแบบงบน้อยแนะนำให้จองโปรแอร์เอเชียที่เป็น Premium Flat Bed ลงนาริตะครับ ด้วยความเป็นเบาะที่มามารถปรับเอนได้เกือบราบเลย ถ้าจองดีๆขาละเก้าพันกว่าๆน่าจะหาได้ครับ ---- ถ้างบน้อยลงไปอีกแนะนำให้จอง NokScoot + Optiontown เพื่อจองที่นั่งว่างติดกัน ราคาจะดัมพ์ไปเหลือขาละสามสี่พันรวมค่าอัพเกรดแล้ว แต่ต้องดูดีๆ เพราะว่าไฟลท์ที่ Operated by Scoot จะไม่ร่วมกับ Optiontown)
ส่วนตัวเลือกไฟลท์บินจากความสะดวกด้านตารางเวลาเป็นหลัก จึงเลือกการบินไทยครับ
ฮาเนะดะเป็นแอร์พอร์ตที่ไม่รองรับเครื่อง A380
ดังนั้นไฟลท์บินของการบินไทยที่ไปฮาเนดะจึงใช้เครื่องบิน 747 ทั้งหมด
เครื่อง 747 ของการบินไทยมีสองรุ่น คือ 747N และ 747R ซึ่งจะคล้ายๆกัน
ชั้นประหยัดจะมีที่นั่งค่อนข้างกว้าง และเบาะหนานุ่มสบาย
ชั้นธุรกิจบนจะเป็น 2nd gen angle lie flat seat คือสามารถปรับนอนยาวได้ แต่ไม่ราบขนานกับพื้น
ส่วนชั้นหนึ่งจะเป็นข้อยกเว้น ที่เครื่องบินสองรุ่นย่อยนี้จะต่างกันอย่างชัดเจน
โดย 747R เป็นเครื่องรุ่นเก่ากว่า จะเป็นเก้าอี้แบบเดี่ยวๆ ปรับนอนราบขนานกับพื้นได้ โล่งๆโปร่งๆไม่เป็น Suite จอทีวีเป็นแบบเก่า เล็กๆที่ต้องเลื่อนขึ้นมา แบบในรูป
ส่วน 747N จะเป็นเก้าอี้แบบ Suite (แต่ไม่มีประตู) มีความเป็นส่วนตัว ปรับนอนราบได้ และมีช่องเก็บเสื้อผ้าส่วนตัว
ผมเลือกการบินไทยครับ ไฟลท์บินของผมจะเป็น
BKK-HND - TG682 - 23:15-06:55(+1) - 747R
HND-BKK - TG660 - 00:20-05:30 - 747N
โดยตอนนี้เปลี่ยนซีซั่นของการบินไทยแล้ว เวลาจะเปลี่ยนนิดหน่อย แต่อยู่ในช่วงนี้พอดี
เมื่อเครื่องขึ้นแล้ว NPO เว้นแชมเปญแล้วปรับที่นั่งเป็นเตียงทันทีครับ
ถึงโตเกียวแล้ว บริการ Service ของ Royal First ก็สิ้นสุดลงที่หน้าประตูเครื่องเช่นกัน โดยต้องเดินออกมารับกระเป๋าเอง รวมถึงไม่มี Arrival Lounge แวะห้องอาบน้ำแบบเสียเงิน พบว่าต้องรออีกเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงไม่ได้ใช้บริการ (ถ้าบิน ANA First Class จะมี TIAT shower room ให้อาบน้ำก่อนเข้าเมือง แต่ในปัจจุบันไม่มีไฟลท์ First Class จากกรุงเทพไปโตเกียวนอกจากการบินไทยครับ)
จากนั้นจึงไปซื้อรถไฟเข้าเมืองเพื่อไปเก็บของที่โรงแรม
จริงๆแล้วฮะเนะดะเป็นแอร์พอร์ตที่ค่อนข้างอยู่ในเมือง
คนที่ไม่ชอบนั่งรถไฟฟ้าแล้วต้องเปลี่ยนสายหรือสับสน อาจเลือกซื้อตั๋ว Airport Limousine เข้าเมืองได้ โดยราคาประมาณพันกว่าเยน
แต่!!! ถ้าไปกันหลายคน บอกเลยว่านั่งแท็กซี่ถูกกว่า (ราคาประมาณหกพันเยน)
ครั้งนี้ช่วงที่มาเป็น High Season จริงๆ เพราะเป็นช่วงที่ซากุระเริ่มบานพอดี
โรงแรม Hilton ที่เล็งไว้ก็เต็มพอดี
เลยเลือกจองโรงแรม Conrad แทน ซึ่งเป็นเหมือนแบรนด์พี่ของ Hilton
(ผู้ก่อตั้งโรงแรมและเครือโรงแรม Hilton ชื่อคุณ Conrad Hilton ชื่อ Conrad จึงตั้งให้เกียรติโดยเป็นแบรนด์โรงแรมที่แพงกว่า Hilton เล็กน้อยนั่นเอง)
ซึ่งข้อดีของโรงแรมนี้คือจะมี Concierge ซึ่งคอยช่วยจัดการแนะนำและจองร้านอาหารให้กับเรา รวมถึงช่วยวางแผนเที่ยวให้ด้วย โดยในครั้งนี้ฝากโรงแรมช่วยจองร้านซุชิสไตล์เอโดะมาเอะ ชื่อร้าน Sushi Shin ไว้ให้ โดยฝากโรงแรมให้ช่วยจองและมัดจำโรงแรมให้เลย
มาถึงโรงแรมประมาณแปดโมงนิดๆ ถึงแม้จะยังเช็คอินไม่ได้ แต่ก็ได้ไปคุยกับทาง Front และ Concierge ไว้ก่อน โดยขอใช้บริการอาบน้ำและออนเซ็นของโรงแรมก่อน ซึ่งห้องน้ำออนเซ็นภายในโรงแรมก็มี amenities ครบครันมาก ทั้งสบู่แชมพู ที่โกนหนวด น้ำตบ ครีมอะไรต่างๆ รวมถึงมีชุดให้ยืมเผื่ออยากเล่นสระว่ายน้ำด้วย (สระว่ายน้ำ แทรกภาพจากเว็บของโรงแรมนะครับ)
จากนั้นก็กลับมาที่ front คุยกันเรื่อง check-in แอบถามไว้ด้วยว่ามีห้องให้ upgrade มั้ย (ผมเป็น hilton gold ซึ่งจะมีสิทธิ์ upgrade ห้องแบบ space-available จนถึง executive) พนักงานแจ้งว่าวันนี้ executive floor เต็มหมดเลย แต่เดี๋ยวจะดูให้ จากนั้นจึงนำข้อมูลจาก concierge ทั้งใบจอง วิธีการเดินทางไปยังร้าน ที่มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นเผื่อให้แท็กซี่ได้อ่านด้วย
อันนี้เป็นไกด์การท่องเที่ยวจากโรงแรมนะครับ มีแผนที่ร้านซูชิ และไกด์บุคเป็นภาษาไทยเตรียมไว้ให้ด้วย
ได้เวลาเข้าเมืองซักที! เริ่มแรกผมนั่งรถไฟฟ้าไปที่ Starbucks Reserve Roastery Tokyo ก่อน โดยตัวร้านต้องเดินต่อจากสถานี Naka-Meguro เกือบกิโล ที่ไป Starbucks ก่อนนี่ไม่ได้จะเข้าไปนะครับ แค่ไปแวะเอาคิวก่อน เพราะอ่านจากรีวิวช่วงนั้นว่าคิวยาวมาก ต้องรอ 2-3 ชั่วโมงกว่าจะได้เข้าร้าน
เดินจากรถไฟฟ้าเลียบคลอง Meguro ไป เห็นดอกซากุระเริ่มบานแล้ว นักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองก็เริ่มออกมาถ่ายรูปกัน การรับคิวที่ร้าน Starbucks Reserve Roastery Tokyo จะต้องเข้าไปกดบัตรก่อนนะครับ จากนั้นนำ QR code บัตรไปสแกน จะเห็นว่ารอกี่คิว กี่ชั่วโมง แล้วก็ไปทำอย่างอื่นรอได้เลย ในกรณีที่ไม่ได้ไปไหนไกล สามารถไปเดินเล่นที่ Donki ใกล้ๆได้ครับ
ได้บัตรคิวแล้วครับ รอประมาณ 2-3 ชั่วโมงจริงๆ
รีวิวโตเกียวเสาร์อาทิตย์ เที่ยวแบบไม่ต้องลางาน ชมซากุระ + Starbucks Reserve Roastery Tokyo
ก็เลยจัดทริปไปเดินเล่นที่ญี่ปุ่นแบบ 2 วัน 1 คืน ดูครับ
โดยเน้นเป็นการเดินเที่ยวสนุกๆ ไม่ได้เน้นเก็บแลนด์มาร์คต่างๆในโตเกียว
เริ่มต้นก็ต้องเริ่มจากการหาไฟลท์บินก่อน โดยหา red-eye flight ที่อยู่ในช่วงเวลานอนพอดี
และเลือกบินไปลงฮาเนดะ เพราะเข้าเมืองง่ายและราคาถูก
เรียกว่าขึ้นไปนอนบนเครื่องบิน ตื่นมาก็ถึงญี่ปุ่นพอดี
ส่วนขากลับ ก็นอนบนเครื่องบินอีกเหมือนเดิม ตื่นมากินข้าวเช้าก็ถึงไทยพอดีครับ
โดยแนะนำการเดินทางไปญี่ปุ่นสำหรับสายที่มีเวลาจำกัด (ควรลงฮาเนดะ) + ไฟลท์กลางคืนจะมีดังนี้
TG682 - BKK-HND - 23:15-06:55(+1) - จะใช้ 747R บิน มี First Class เป็น Lie-Flat/Non-suite , Business Class เป็น Angled-Lie Flat
NH850 - BKK-HND - 21:45-05:55 จะใช้ 787 บิน มีเฉพาะ Business Class ซึ่งเป็น Staggered Lie Flat Seat
JL34 - BKK-HND - 21:55-06:05 จะใช้ 777 บิน มีเฉพาะ Business Class ซึ่งเป็น Angled-Lie Flat
โดยพยายามเลือกไฟลท์ที่คิดว่าหลับสบาย โดยพิจารณาจาก Seat ด้วยครับ สำหรับการเที่ยวสั้นๆเนี่ย ไฟลท์บินสำคัญมาก เพราะเรานอนโรงแรมแค่คืนเดียว แต่ต้องนอนบนเครื่องบินถึงสองคืน
(สำหรับผม ถ้าไปแบบงบน้อยแนะนำให้จองโปรแอร์เอเชียที่เป็น Premium Flat Bed ลงนาริตะครับ ด้วยความเป็นเบาะที่มามารถปรับเอนได้เกือบราบเลย ถ้าจองดีๆขาละเก้าพันกว่าๆน่าจะหาได้ครับ ---- ถ้างบน้อยลงไปอีกแนะนำให้จอง NokScoot + Optiontown เพื่อจองที่นั่งว่างติดกัน ราคาจะดัมพ์ไปเหลือขาละสามสี่พันรวมค่าอัพเกรดแล้ว แต่ต้องดูดีๆ เพราะว่าไฟลท์ที่ Operated by Scoot จะไม่ร่วมกับ Optiontown)
ส่วนตัวเลือกไฟลท์บินจากความสะดวกด้านตารางเวลาเป็นหลัก จึงเลือกการบินไทยครับ
ฮาเนะดะเป็นแอร์พอร์ตที่ไม่รองรับเครื่อง A380
ดังนั้นไฟลท์บินของการบินไทยที่ไปฮาเนดะจึงใช้เครื่องบิน 747 ทั้งหมด
เครื่อง 747 ของการบินไทยมีสองรุ่น คือ 747N และ 747R ซึ่งจะคล้ายๆกัน
ชั้นประหยัดจะมีที่นั่งค่อนข้างกว้าง และเบาะหนานุ่มสบาย
ชั้นธุรกิจบนจะเป็น 2nd gen angle lie flat seat คือสามารถปรับนอนยาวได้ แต่ไม่ราบขนานกับพื้น
ส่วนชั้นหนึ่งจะเป็นข้อยกเว้น ที่เครื่องบินสองรุ่นย่อยนี้จะต่างกันอย่างชัดเจน
โดย 747R เป็นเครื่องรุ่นเก่ากว่า จะเป็นเก้าอี้แบบเดี่ยวๆ ปรับนอนราบขนานกับพื้นได้ โล่งๆโปร่งๆไม่เป็น Suite จอทีวีเป็นแบบเก่า เล็กๆที่ต้องเลื่อนขึ้นมา แบบในรูป
ส่วน 747N จะเป็นเก้าอี้แบบ Suite (แต่ไม่มีประตู) มีความเป็นส่วนตัว ปรับนอนราบได้ และมีช่องเก็บเสื้อผ้าส่วนตัว
ผมเลือกการบินไทยครับ ไฟลท์บินของผมจะเป็น
BKK-HND - TG682 - 23:15-06:55(+1) - 747R
HND-BKK - TG660 - 00:20-05:30 - 747N
โดยตอนนี้เปลี่ยนซีซั่นของการบินไทยแล้ว เวลาจะเปลี่ยนนิดหน่อย แต่อยู่ในช่วงนี้พอดี
เมื่อเครื่องขึ้นแล้ว NPO เว้นแชมเปญแล้วปรับที่นั่งเป็นเตียงทันทีครับ
ถึงโตเกียวแล้ว บริการ Service ของ Royal First ก็สิ้นสุดลงที่หน้าประตูเครื่องเช่นกัน โดยต้องเดินออกมารับกระเป๋าเอง รวมถึงไม่มี Arrival Lounge แวะห้องอาบน้ำแบบเสียเงิน พบว่าต้องรออีกเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงไม่ได้ใช้บริการ (ถ้าบิน ANA First Class จะมี TIAT shower room ให้อาบน้ำก่อนเข้าเมือง แต่ในปัจจุบันไม่มีไฟลท์ First Class จากกรุงเทพไปโตเกียวนอกจากการบินไทยครับ)
จากนั้นจึงไปซื้อรถไฟเข้าเมืองเพื่อไปเก็บของที่โรงแรม
จริงๆแล้วฮะเนะดะเป็นแอร์พอร์ตที่ค่อนข้างอยู่ในเมือง
คนที่ไม่ชอบนั่งรถไฟฟ้าแล้วต้องเปลี่ยนสายหรือสับสน อาจเลือกซื้อตั๋ว Airport Limousine เข้าเมืองได้ โดยราคาประมาณพันกว่าเยน
แต่!!! ถ้าไปกันหลายคน บอกเลยว่านั่งแท็กซี่ถูกกว่า (ราคาประมาณหกพันเยน)
ครั้งนี้ช่วงที่มาเป็น High Season จริงๆ เพราะเป็นช่วงที่ซากุระเริ่มบานพอดี
โรงแรม Hilton ที่เล็งไว้ก็เต็มพอดี
เลยเลือกจองโรงแรม Conrad แทน ซึ่งเป็นเหมือนแบรนด์พี่ของ Hilton
(ผู้ก่อตั้งโรงแรมและเครือโรงแรม Hilton ชื่อคุณ Conrad Hilton ชื่อ Conrad จึงตั้งให้เกียรติโดยเป็นแบรนด์โรงแรมที่แพงกว่า Hilton เล็กน้อยนั่นเอง)
ซึ่งข้อดีของโรงแรมนี้คือจะมี Concierge ซึ่งคอยช่วยจัดการแนะนำและจองร้านอาหารให้กับเรา รวมถึงช่วยวางแผนเที่ยวให้ด้วย โดยในครั้งนี้ฝากโรงแรมช่วยจองร้านซุชิสไตล์เอโดะมาเอะ ชื่อร้าน Sushi Shin ไว้ให้ โดยฝากโรงแรมให้ช่วยจองและมัดจำโรงแรมให้เลย
มาถึงโรงแรมประมาณแปดโมงนิดๆ ถึงแม้จะยังเช็คอินไม่ได้ แต่ก็ได้ไปคุยกับทาง Front และ Concierge ไว้ก่อน โดยขอใช้บริการอาบน้ำและออนเซ็นของโรงแรมก่อน ซึ่งห้องน้ำออนเซ็นภายในโรงแรมก็มี amenities ครบครันมาก ทั้งสบู่แชมพู ที่โกนหนวด น้ำตบ ครีมอะไรต่างๆ รวมถึงมีชุดให้ยืมเผื่ออยากเล่นสระว่ายน้ำด้วย (สระว่ายน้ำ แทรกภาพจากเว็บของโรงแรมนะครับ)
จากนั้นก็กลับมาที่ front คุยกันเรื่อง check-in แอบถามไว้ด้วยว่ามีห้องให้ upgrade มั้ย (ผมเป็น hilton gold ซึ่งจะมีสิทธิ์ upgrade ห้องแบบ space-available จนถึง executive) พนักงานแจ้งว่าวันนี้ executive floor เต็มหมดเลย แต่เดี๋ยวจะดูให้ จากนั้นจึงนำข้อมูลจาก concierge ทั้งใบจอง วิธีการเดินทางไปยังร้าน ที่มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นเผื่อให้แท็กซี่ได้อ่านด้วย
อันนี้เป็นไกด์การท่องเที่ยวจากโรงแรมนะครับ มีแผนที่ร้านซูชิ และไกด์บุคเป็นภาษาไทยเตรียมไว้ให้ด้วย
ได้เวลาเข้าเมืองซักที! เริ่มแรกผมนั่งรถไฟฟ้าไปที่ Starbucks Reserve Roastery Tokyo ก่อน โดยตัวร้านต้องเดินต่อจากสถานี Naka-Meguro เกือบกิโล ที่ไป Starbucks ก่อนนี่ไม่ได้จะเข้าไปนะครับ แค่ไปแวะเอาคิวก่อน เพราะอ่านจากรีวิวช่วงนั้นว่าคิวยาวมาก ต้องรอ 2-3 ชั่วโมงกว่าจะได้เข้าร้าน
เดินจากรถไฟฟ้าเลียบคลอง Meguro ไป เห็นดอกซากุระเริ่มบานแล้ว นักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองก็เริ่มออกมาถ่ายรูปกัน การรับคิวที่ร้าน Starbucks Reserve Roastery Tokyo จะต้องเข้าไปกดบัตรก่อนนะครับ จากนั้นนำ QR code บัตรไปสแกน จะเห็นว่ารอกี่คิว กี่ชั่วโมง แล้วก็ไปทำอย่างอื่นรอได้เลย ในกรณีที่ไม่ได้ไปไหนไกล สามารถไปเดินเล่นที่ Donki ใกล้ๆได้ครับ
ได้บัตรคิวแล้วครับ รอประมาณ 2-3 ชั่วโมงจริงๆ