.
จันทราพาฟ้ากระจ่าง
สว่างถึงจะไม่มีดวงตะวัน สายลมเย็นลูบไล้และเล็มเฉื่อยฉิว สะพานสูงยาวเหยียด
ริมสะพานเหงา
ชายหนุ่มยืนเกาะราวสะพานอยู่เพียงลำพัง สายตาจ้องมองลงไปในผิวน้ำใต้สะพาน สบตากับเงาจันทร์กระเพื่อมไหวในเงาใจ ราวกับมองหาปริศนามืดดำของจักรวาลในพื้นน้ำ การแต่งกายเหมือนเป็นหนุ่มนักธุรกิจทั่วไปในบริษัทมากกว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาล ไม่สนใจรถราวิ่งผ่านไปมาด้านหลังเลยสักนิด
บรรยากาศยามดึกแม้จะมีสรรพเสียงจากสภาพจราจรเพราะเมืองใหญ่ไม่เคยหลับใหล แต่ชายหนุ่มดูสงบและมั่นคง ใจสงบทุกอย่างก็คล้ายสงบลงได้
เนิ่นนานหลังจากนั้น ความสงบกลับกลายเป็นความเคลื่อนไหว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนฟากฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมสมาธิและพลังกายใจ เปล่งร้องก้องกังวานไกล
“ข้ า ไ ม่ อ ย า ก เ ป็ น น า ย ก !”
มีเสียงหัวเราะคิกคักสดใสดังขึ้นมาด้านหลัง คนไม่อยากเป็นนายกหันขวับไปมองทันทีแล้วก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อพบผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งในชุดเดรสสีขาวสะอาดตายืนด้านหลัง ใบหน้าประดับรอยยิ้มในกรอบหน้ารูปไข่เด่นชัดตัดเรือนผมยาวสลวยสะบัดปลายพลิ้วเล่มลม
ชายหนุ่มมีสีหน้าผสมกลมกลืนกันระหว่างความเขินและความประหลาดใจ ไม่ทันสังเกตถึงการมาของหญิงสาว เธอมีประกายตาวับวาวไปด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าบรรยายยากของอีกฝ่าย
“เอ้อ ขอโทษนะครับ ที่จู่ๆก็ตะโกนขึ้นมา” เขาหันมาเผชิญหน้าเต็มตัว เมื่อพบว่ามีสิ่งใหม่น่าสนใจมากกว่าเงาจันทร์ หญิงสาวขยับตัวมาพิงราวสะพานบ้าง ด้วยท่าทางสบาย ไม่ขัดเขินกับคนแปลกหน้า
“คุณเป็นผีบ้าผีบออะไรคะ ถึงตะโกนแบบนั้น” เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“เปล่าครับ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นผีบ้าไม่เต็มร้อยเลย ก็แค่อยากระบายอะไรบางอย่างออกไปเท่านั้นครับ”
“เครียดเรื่องงานหรือคะ”
“ทุกเรื่องละครับ อ้อ ก็แค่วันนี้เท่านั้น ที่รู้สึกเครียด เลยอยากทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ให้ตัวเองสนุกเท่านั้นเองครับ”
ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางปรับสภาพรวดเร็วปลอดโปร่งเช่นกัน “เวลาเครียดๆ ผมชอบมายืนที่นี่ แล้วตะโกนดัง ๆ รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความกดดันออกไป รู้สึกถึงการบรรลุอะไรบางอย่าง จะได้ไม่ต้องเดินสวมหน้ากากถือเลื่อยไฟฟ้าออกไล่ล่าคนเลยละครับ”
“คุณไม่กลัวถูกอุ้ม...”
.
ในคืนเหงาใต้เงาจันทร์
จันทราพาฟ้ากระจ่าง
สว่างถึงจะไม่มีดวงตะวัน สายลมเย็นลูบไล้และเล็มเฉื่อยฉิว สะพานสูงยาวเหยียด
ริมสะพานเหงา
ชายหนุ่มยืนเกาะราวสะพานอยู่เพียงลำพัง สายตาจ้องมองลงไปในผิวน้ำใต้สะพาน สบตากับเงาจันทร์กระเพื่อมไหวในเงาใจ ราวกับมองหาปริศนามืดดำของจักรวาลในพื้นน้ำ การแต่งกายเหมือนเป็นหนุ่มนักธุรกิจทั่วไปในบริษัทมากกว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาล ไม่สนใจรถราวิ่งผ่านไปมาด้านหลังเลยสักนิด
บรรยากาศยามดึกแม้จะมีสรรพเสียงจากสภาพจราจรเพราะเมืองใหญ่ไม่เคยหลับใหล แต่ชายหนุ่มดูสงบและมั่นคง ใจสงบทุกอย่างก็คล้ายสงบลงได้
เนิ่นนานหลังจากนั้น ความสงบกลับกลายเป็นความเคลื่อนไหว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนฟากฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมสมาธิและพลังกายใจ เปล่งร้องก้องกังวานไกล
“ข้ า ไ ม่ อ ย า ก เ ป็ น น า ย ก !”
มีเสียงหัวเราะคิกคักสดใสดังขึ้นมาด้านหลัง คนไม่อยากเป็นนายกหันขวับไปมองทันทีแล้วก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อพบผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งในชุดเดรสสีขาวสะอาดตายืนด้านหลัง ใบหน้าประดับรอยยิ้มในกรอบหน้ารูปไข่เด่นชัดตัดเรือนผมยาวสลวยสะบัดปลายพลิ้วเล่มลม
ชายหนุ่มมีสีหน้าผสมกลมกลืนกันระหว่างความเขินและความประหลาดใจ ไม่ทันสังเกตถึงการมาของหญิงสาว เธอมีประกายตาวับวาวไปด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าบรรยายยากของอีกฝ่าย
“เอ้อ ขอโทษนะครับ ที่จู่ๆก็ตะโกนขึ้นมา” เขาหันมาเผชิญหน้าเต็มตัว เมื่อพบว่ามีสิ่งใหม่น่าสนใจมากกว่าเงาจันทร์ หญิงสาวขยับตัวมาพิงราวสะพานบ้าง ด้วยท่าทางสบาย ไม่ขัดเขินกับคนแปลกหน้า
“คุณเป็นผีบ้าผีบออะไรคะ ถึงตะโกนแบบนั้น” เธอถามด้วยรอยยิ้ม
“เปล่าครับ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นผีบ้าไม่เต็มร้อยเลย ก็แค่อยากระบายอะไรบางอย่างออกไปเท่านั้นครับ”
“เครียดเรื่องงานหรือคะ”
“ทุกเรื่องละครับ อ้อ ก็แค่วันนี้เท่านั้น ที่รู้สึกเครียด เลยอยากทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ให้ตัวเองสนุกเท่านั้นเองครับ”
ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางปรับสภาพรวดเร็วปลอดโปร่งเช่นกัน “เวลาเครียดๆ ผมชอบมายืนที่นี่ แล้วตะโกนดัง ๆ รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความกดดันออกไป รู้สึกถึงการบรรลุอะไรบางอย่าง จะได้ไม่ต้องเดินสวมหน้ากากถือเลื่อยไฟฟ้าออกไล่ล่าคนเลยละครับ”
“คุณไม่กลัวถูกอุ้ม...”
.