มาพูดกันถึงข้อคิดที่ได้จากตอนจบ club friday 11 รักซึมเศร้า
ลงท้ายคือผู้หญิงสองคนพยายามเรียกร้องให้ชินต้องดูแลเอาใจใส่
เราเอนไปทางฝั่งว่าเมี่ยวผิด
จริงอยู่ว่าแม่นิสัยไม่โอเค ตรรกะเพี้ยน บอกไม่ชอบให้ลูกชายพาผู้หญิงเข้าบ้านทั้งที่ไม่แต่งงาน แต่กลับแผนสูงให้ส้มมาเข้านอนบ้าน แกล้งเมี่ยว
ไปเชียร์ส้มที่อวยว่าคนดีๆ...เอิ่ม แม่ค่ะ คนดีๆที่ไหนจะมาเอออ่อห่อหมกอ่อยผู้ชายขนาดนี้
(แต่เข้าใจนิสัยคนแก่ ใครอยู่ใกล้ชิดด้วยก็เอ็นดูเขาไง ส้มน่าจะพูดเก่ง เอาใจเก่ง ในขณะที่เมี่ยวไฟต์อย่างเดียว แม่จะไปชอบเมี่ยวยังไงลง)
ชินก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นนะเราว่า ถ้าไม่พาเมี่ยวเข้าบ้านมากลางดึกขนาดนั้น แม่คงไม่ตั้งป้อมอคติแบบนั้น
ถึงโดนไล่ออกจากหอ มันมีทางออกหลายทาง เช่น ไปเช่าโรงแรมถูกๆอยู่ไปก่อน โรงแรมในกรุงเทพมันไม่ได้น้อยขนาดจะไม่มีห้องพักราคาถูกให้ แล้วค่อยขยับขยายให้เมี่ยวไปอยู่หออื่น ไม่ใช่พาเข้าบ้าน แล้วบอกแม่ว่าเขาไม่มีที่ไป
คือเราเป็นคนหัวทันสมัยก็จริงนะ แต่เราเป็นแม่เอง ก็ไม่โอเคที่ลูกพาผู้หญิงที่ไม่แม้แต่จะไหว้ แต่รีบวิ่งขึ้นบันไดเข้าบ้านเราเฉยแบบนี้
เราเป็นครู ได้ยินว่าชีวิตส่วนตัวลูกศิษย์ผู้หญิงที่อายุไม่ถึง 20 หลายคน อยู่ก่อนแต่งแล้ว บางคนพ่อแม่ยอมแบบตามใจเต็มที่ ดีซะอีกมีคนหารค่าห้อง หรือได้ลูกเขยในอนาคตไว้เลย แต่พ่อแม่หลายคนจำต้องยอม เพราะบอกยังไงลูกก็ไม่ฟัง (แล้วครูเตือนจะฟังเรอะ เราก็ไปแจ้งพรากผู้เยาว์ไม่ได้ เพราะขนาดพ่อแม่เขายังไม่แจ้ง ครูจะไปมีสิทธิ์อะไร)
หรือลูกศิษย์ชายเราก็มี เอาแฟนเข้ามาอยู่ในบ้าน พ่อแม่หลายคนก็จำต้องยอมรับแฟนลูก คือโดนลูกขู่บ้างว่า ถ้าไม่ให้แฟนอยู่ จะออกไปอยู่กับแฟน พ่อแม่ก็กลัวลูกไปไม่กลับ ก็เลยจำต้องรับสะใภ้วัยรุ่นไว้ ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหามากกว่าจะเจอสะใภ้ดี ลูกศิษย์หญิงก็มีเอาแฟนผู้ชายเข้าบ้าน แต่จะน้อยกว่าผู้ชาย
ถ้าชินเริ่มต้นถูกทาง ค่อยๆพาเมี่ยวที่กินยาเคร่งครัดควบคุมอารมณ์ได้ มาให้แม่รู้จัก เราเชื่อว่าจะไม่เกิดอคติกันแบบนี้
ถ้าเมี่ยวมาในรูปลักษณ์สาวทำงาน มันสร้างความประทับใจน่าเชื่อถือกับแม่ได้มากกว่าด้วยซ้ำ
ส่วนตัวเราว่าเมี่ยวผิดที่ไม่กินยาให้ครบตามที่หมอสั่งอีก
อย่าบอกว่าทำไมเราไม่เข้าใจคนเป็นโรคซึมเศร้า...เราเคยเป็น ทุกวันนี้ยังกินอยู่ ลูกศิษย์เราหลายคนก็เป็น น้องก็กินยาอย่างเคร่งครัด
เพราะมีเคสนึงดื้อไม่กินยา ไม่อยากให้ใครๆมองว่าเขาเป็นคนบ้า พอไม่กินยานานเข้า ไปเจอเพื่อนแซวสะกิดต่อม เลยไปทำร้ายร่างกายเขาซะ
เราเคยอาละวาดมาก่อนที่จะรู้ตัวว่าเป็น กับคนในครอบครัวด้วย การเห็นสายตาของพ่อแม่พี่น้องที่มองเราอย่างผิดหวัง มองเขาร้องไห้ และสุดท้ายเขาให้อภัยเรา เราถึงตั้งใจว่า จะต้องกินยาอย่างเคร่งครัด เราต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง ไม่ทำให้เขาเป็นภาระอีก ปรับปรุงตัวซะใหม่
เราไม่โอเคกับคนที่ไม่กินยาพอ คนที่ดื้อหยุดยาเอง แล้วมาร้องแรกแหกกระเซิงว่าฉันซึมเศร้าๆ ทุกคนบนโลกต้องเข้าใจฉัน สงสารฉันนะ...ไม่อ่ะ เราไม่เข้าใจ ตัวคุณเองยังไม่พยายามเข้าใจตัวเอง ไม่รักษาตัวเอง ไม่สงสารตัวเอง ทำไมต้องให้คนอื่นมาเข้าใจ
เราเคยมีลูกศิษย์อาละวาดพูดแบบนี้ เพื่อเป็นข้ออ้างที่ได้คะแนนแย่หรือจะไม่เรียนหนังสือ เราก็เลยพูดแบบที่เขียนนั่นกลับ เราปล่อยให้เขาร้องไห้ให้พอนะ ระบายให้เต็มที่ แล้วกล่อมให้เขาต้องกลับไปกินยาให้ครบ บางครั้งถึงขั้นต้องพูดแรงว่า ถ้าต่อไปเธอเติบโตขึ้น ไม่มีครูไม่มีพ่อแม่มาคอยเตือน เธอจะอยู่ในสังคมที่โหดร้ายยังไง เราอย่าปล่อยปละตัวเองทั้งที่มีทางรักษาซิ
แต่กับเมี่ยว ตอนท้ายเราเห็นว่าโอเค เมี่ยวอาจกินยาเคร่งครัด แต่เมี่ยวยังต้องป้อมเอาชนะอคติกับแม่อยู่
เราเป็นเมี่ยว แค่แม่ยอมให้กลับเข้าบ้านเขาได้ เราควรยอมเอาใจแม่บ้างนะ คือมันเกิดเหตุการณ์รุนแรงมากที่ไปตบหน้าแม่
แต่เมี่ยวมีพฤติกรรมที่ไม่ปรับปรุง เห็นตอนก่อนคือฟ้องชินว่า แม่กับส้มมากวนการนอน แต่เมี่ยวก็ไม่กินยาอีก ที่ชินยังบอกว่ายามันเหลือเยอะมาก
เราเป็นแม่ เราก็ไม่โอเคเหมือนกันที่ได้สะใภ้ขี้โรค นอนมันทั้งวัน ไม่คิดจะลงมาช่วยทำอะไรบ้าง
เราก็คงผิดหวังในตัวชินแหละ ว่าไปเอาไฟกลับเข้าบ้านทำไม ทำไมลูกต้องเอาคนที่ทำร้ายเรา กลับเข้ามาบ้านอีก
เอาจริง คือตัดแม่ลูกเลยนะ เรารับไม่ได้แบบนี้ ถึงแม่จะเป็นคนเริ่มก่อน และเมี่ยวทำไปแบบไม่รู้ตัวก็ตาม
ภาพมันติดตาไปแล้ว ลองถามตัวเองดู ว่าถ้าเราโดนเขยหรือสะใภ้ทำร้าย แม้เขาจะทำไปเพราะไม่รู้ตัวหรือเราผิดเอง เราจะสนิทใจอยู่บ้านเดียวกันได้หรือ แล้วมันจะช้ำใจแค่ไหน ถ้าลูกบอกว่าจะเอาเข้ากลับมาอยู่บ้านอีก และเราต้องเข้าใจอาการเขยสะใภ้มีปัญหาด้วย ห้ามเราไปยุ่ง
อยู่บ้านตัวเองแท้ๆ แต่ต้องมาเกรงใจเขยสะใภ้ที่ไม่รู้ว่าจะอาละวาด ลุกขึ้นมาฆ่าเราวันไหนอีก
พฤติกรรมหลายอย่างของเมี่ยวไม่โอเค คือดื่มเหล้าในเวลาทำงาน เลยมีเรื่องกับลูกค้า
คนเป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง เราว่าไม่ควรทำงานที่ต้องบริการเจอผู้คน มันเครียดมาก เมี่ยวไปทำในตำแหน่งอื่นก็ได้ ที่ไม่ใช่ฝ่ายบริการลูกค้า มีปัญหาโรคภัยในการทำงานก็แจ้งบอกบริษัทก่อนซิ เขาจะได้จัดตำแหน่งให้ถูกงาน
เราเคยไปนิเทศฝึกงานสำนักพิมพ์ดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เคยถามว่าเขารับนักเรียนที่เป็นเด็กพิเศษไหม เขาบอกเคยรับ เคยรับแม้แต่คนเป็นโรคซึมเศร้าด้วย วิธีการรับมือของบริษัทก็คือ ถ้าคนๆนั้นมีอาการ เขาจะให้นอนพักผ่อนในที่บริษัทจัดให้ ไหวก็ทำงานต่อ เจ้าของบอกว่าเขาเข้าใจว่าคนเป็นโรคนี้เยอะ อยากจะให้โอกาส
เราว่าถ้าเมี่ยวกลับมากินยาเคร่งครัด ควรออกหางานใหม่ทำได้แล้ว เอาที่ต้องเหมาะกับตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ไปทนทำงานแบบเดิมอีก
กลายเป็นตอนจบ เหมือนเมี่ยวจะอยู่แต่บ้าน พยายามไม่ปะทะเจอหน้าแม่ ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน
แถมตอนแม่ขอให้ชินไปส่งหาหมอ กลับพูดแย่งเถียงจะให้ชินพาเธอไปก่อนให้ได้...คือเมี่ยวเอ๊ย ใจคอเธอจะไม่ยอมอะไรเขาหน่อยเรอะ
เราเป็นเมี่ยว เราไม่มาพูดให้ชินเลือกระหว่างเรากับแม่หรอก บาปนะ ไปบอกให้เขาทิ้งแม่เพื่อมาอยู่กับเธอสองคนนะเรอะ
เราเป็นเมี่ยว เราต้องพยายามแข็งแรง ไปทำงานหาเงินเข้าบ้านด้วย หรือถ้าไม่อยากหางานอีก อย่างน้อยพยายามไปขอขมาแม่ ช่วยแม่ทำงานเย็บผ้าหรือทำงานบ้านช่วยก็ได้ โอเคถึงมีเรื่องรุนแรงกันมาก่อน แต่เราอยู่ในฐานะผู้อาศัย เราก็ต้องยอมคนที่อยู่ก่อนบ้างซิ
เราเชื่อว่าถ้าเมี่ยวพยายามเข้าหาเอาใจแม่มากกว่านี้ เราว่าแม่พร้อมจะลืมได้แหละ
กลายเป็นสรุปสุดท้าย เหมือนแม่กับเมี่ยวก็ไม่ญาติดีกัน แข่งกันเรียกร้องความสนใจกันอีก ทั้งที่ชินก็ระเบิดออกมาแล้วว่า เขาเครียดที่ต้องเอาใจทั้งคู่
ถ้าเราเป็นเมี่ยว เรายอมแม่เล็กๆน้อยๆบ้างเถอะ อย่างน้อยให้ชินเขาหายเครียด และแม่จะได้ลดอคติบ้าง
นี่กลายเป็นพฤติกรรมเมี่ยวก็จะเอาชนะแม่เหมือนเดิม ไม่พัฒนาทำอะไรอีก
เราเจอลูกสะใภ้ทำแบบนี้ เราก็ไม่โอเคนะ อยู่แบบนี้โครตอึดอัดเลย กลายเป็นครอบครัวนี้อยู่กันไม่สุขเต็มที่ เหมือนเป็นศัตรูต้องมาระวังกัน
เราเป็นชินคงเหนื่อยสุดๆ แต่เราคงเลือกแม่แหละ แฟนเรามีได้อีกหลายคน แต่แม่เรามีคนเดียว เราไม่เอาส้มเราก็ชัดเจนไปกับแม่ว่าไม่เอาแค่นั้น ไม่ต้องไปฝืนว่าต้องตามใจแม่ ยอมแต่งกับส้มขนาดนั้น
กลายเป็นตอนจบที่ก็ไม่เคลียร์แบบละครทั่วไป อึดอัดตามสไตล์ละครค่ายนี้ ไม่เอาใจคนเชียร์
ไม่รู้ป่านนี้ครอบครัวเจ้าของเรื่องจริงๆ มีสภาพแบบในละครตอนจบไหม โครตอึดอัด แต่ถ้าเขาเลือกไม่ทิ้งใครเลย ก็ต้องตามความตัดสินใจเขาอ่ะนะ
(รักซึมเศร้า)จบไปแล้ว คุณคิดเห็นว่าไง มาคุยกัน
ลงท้ายคือผู้หญิงสองคนพยายามเรียกร้องให้ชินต้องดูแลเอาใจใส่
เราเอนไปทางฝั่งว่าเมี่ยวผิด
จริงอยู่ว่าแม่นิสัยไม่โอเค ตรรกะเพี้ยน บอกไม่ชอบให้ลูกชายพาผู้หญิงเข้าบ้านทั้งที่ไม่แต่งงาน แต่กลับแผนสูงให้ส้มมาเข้านอนบ้าน แกล้งเมี่ยว
ไปเชียร์ส้มที่อวยว่าคนดีๆ...เอิ่ม แม่ค่ะ คนดีๆที่ไหนจะมาเอออ่อห่อหมกอ่อยผู้ชายขนาดนี้
(แต่เข้าใจนิสัยคนแก่ ใครอยู่ใกล้ชิดด้วยก็เอ็นดูเขาไง ส้มน่าจะพูดเก่ง เอาใจเก่ง ในขณะที่เมี่ยวไฟต์อย่างเดียว แม่จะไปชอบเมี่ยวยังไงลง)
ชินก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นนะเราว่า ถ้าไม่พาเมี่ยวเข้าบ้านมากลางดึกขนาดนั้น แม่คงไม่ตั้งป้อมอคติแบบนั้น
ถึงโดนไล่ออกจากหอ มันมีทางออกหลายทาง เช่น ไปเช่าโรงแรมถูกๆอยู่ไปก่อน โรงแรมในกรุงเทพมันไม่ได้น้อยขนาดจะไม่มีห้องพักราคาถูกให้ แล้วค่อยขยับขยายให้เมี่ยวไปอยู่หออื่น ไม่ใช่พาเข้าบ้าน แล้วบอกแม่ว่าเขาไม่มีที่ไป
คือเราเป็นคนหัวทันสมัยก็จริงนะ แต่เราเป็นแม่เอง ก็ไม่โอเคที่ลูกพาผู้หญิงที่ไม่แม้แต่จะไหว้ แต่รีบวิ่งขึ้นบันไดเข้าบ้านเราเฉยแบบนี้
เราเป็นครู ได้ยินว่าชีวิตส่วนตัวลูกศิษย์ผู้หญิงที่อายุไม่ถึง 20 หลายคน อยู่ก่อนแต่งแล้ว บางคนพ่อแม่ยอมแบบตามใจเต็มที่ ดีซะอีกมีคนหารค่าห้อง หรือได้ลูกเขยในอนาคตไว้เลย แต่พ่อแม่หลายคนจำต้องยอม เพราะบอกยังไงลูกก็ไม่ฟัง (แล้วครูเตือนจะฟังเรอะ เราก็ไปแจ้งพรากผู้เยาว์ไม่ได้ เพราะขนาดพ่อแม่เขายังไม่แจ้ง ครูจะไปมีสิทธิ์อะไร)
หรือลูกศิษย์ชายเราก็มี เอาแฟนเข้ามาอยู่ในบ้าน พ่อแม่หลายคนก็จำต้องยอมรับแฟนลูก คือโดนลูกขู่บ้างว่า ถ้าไม่ให้แฟนอยู่ จะออกไปอยู่กับแฟน พ่อแม่ก็กลัวลูกไปไม่กลับ ก็เลยจำต้องรับสะใภ้วัยรุ่นไว้ ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหามากกว่าจะเจอสะใภ้ดี ลูกศิษย์หญิงก็มีเอาแฟนผู้ชายเข้าบ้าน แต่จะน้อยกว่าผู้ชาย
ถ้าชินเริ่มต้นถูกทาง ค่อยๆพาเมี่ยวที่กินยาเคร่งครัดควบคุมอารมณ์ได้ มาให้แม่รู้จัก เราเชื่อว่าจะไม่เกิดอคติกันแบบนี้
ถ้าเมี่ยวมาในรูปลักษณ์สาวทำงาน มันสร้างความประทับใจน่าเชื่อถือกับแม่ได้มากกว่าด้วยซ้ำ
ส่วนตัวเราว่าเมี่ยวผิดที่ไม่กินยาให้ครบตามที่หมอสั่งอีก
อย่าบอกว่าทำไมเราไม่เข้าใจคนเป็นโรคซึมเศร้า...เราเคยเป็น ทุกวันนี้ยังกินอยู่ ลูกศิษย์เราหลายคนก็เป็น น้องก็กินยาอย่างเคร่งครัด
เพราะมีเคสนึงดื้อไม่กินยา ไม่อยากให้ใครๆมองว่าเขาเป็นคนบ้า พอไม่กินยานานเข้า ไปเจอเพื่อนแซวสะกิดต่อม เลยไปทำร้ายร่างกายเขาซะ
เราเคยอาละวาดมาก่อนที่จะรู้ตัวว่าเป็น กับคนในครอบครัวด้วย การเห็นสายตาของพ่อแม่พี่น้องที่มองเราอย่างผิดหวัง มองเขาร้องไห้ และสุดท้ายเขาให้อภัยเรา เราถึงตั้งใจว่า จะต้องกินยาอย่างเคร่งครัด เราต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง ไม่ทำให้เขาเป็นภาระอีก ปรับปรุงตัวซะใหม่
เราไม่โอเคกับคนที่ไม่กินยาพอ คนที่ดื้อหยุดยาเอง แล้วมาร้องแรกแหกกระเซิงว่าฉันซึมเศร้าๆ ทุกคนบนโลกต้องเข้าใจฉัน สงสารฉันนะ...ไม่อ่ะ เราไม่เข้าใจ ตัวคุณเองยังไม่พยายามเข้าใจตัวเอง ไม่รักษาตัวเอง ไม่สงสารตัวเอง ทำไมต้องให้คนอื่นมาเข้าใจ
เราเคยมีลูกศิษย์อาละวาดพูดแบบนี้ เพื่อเป็นข้ออ้างที่ได้คะแนนแย่หรือจะไม่เรียนหนังสือ เราก็เลยพูดแบบที่เขียนนั่นกลับ เราปล่อยให้เขาร้องไห้ให้พอนะ ระบายให้เต็มที่ แล้วกล่อมให้เขาต้องกลับไปกินยาให้ครบ บางครั้งถึงขั้นต้องพูดแรงว่า ถ้าต่อไปเธอเติบโตขึ้น ไม่มีครูไม่มีพ่อแม่มาคอยเตือน เธอจะอยู่ในสังคมที่โหดร้ายยังไง เราอย่าปล่อยปละตัวเองทั้งที่มีทางรักษาซิ
แต่กับเมี่ยว ตอนท้ายเราเห็นว่าโอเค เมี่ยวอาจกินยาเคร่งครัด แต่เมี่ยวยังต้องป้อมเอาชนะอคติกับแม่อยู่
เราเป็นเมี่ยว แค่แม่ยอมให้กลับเข้าบ้านเขาได้ เราควรยอมเอาใจแม่บ้างนะ คือมันเกิดเหตุการณ์รุนแรงมากที่ไปตบหน้าแม่
แต่เมี่ยวมีพฤติกรรมที่ไม่ปรับปรุง เห็นตอนก่อนคือฟ้องชินว่า แม่กับส้มมากวนการนอน แต่เมี่ยวก็ไม่กินยาอีก ที่ชินยังบอกว่ายามันเหลือเยอะมาก
เราเป็นแม่ เราก็ไม่โอเคเหมือนกันที่ได้สะใภ้ขี้โรค นอนมันทั้งวัน ไม่คิดจะลงมาช่วยทำอะไรบ้าง
เราก็คงผิดหวังในตัวชินแหละ ว่าไปเอาไฟกลับเข้าบ้านทำไม ทำไมลูกต้องเอาคนที่ทำร้ายเรา กลับเข้ามาบ้านอีก
เอาจริง คือตัดแม่ลูกเลยนะ เรารับไม่ได้แบบนี้ ถึงแม่จะเป็นคนเริ่มก่อน และเมี่ยวทำไปแบบไม่รู้ตัวก็ตาม
ภาพมันติดตาไปแล้ว ลองถามตัวเองดู ว่าถ้าเราโดนเขยหรือสะใภ้ทำร้าย แม้เขาจะทำไปเพราะไม่รู้ตัวหรือเราผิดเอง เราจะสนิทใจอยู่บ้านเดียวกันได้หรือ แล้วมันจะช้ำใจแค่ไหน ถ้าลูกบอกว่าจะเอาเข้ากลับมาอยู่บ้านอีก และเราต้องเข้าใจอาการเขยสะใภ้มีปัญหาด้วย ห้ามเราไปยุ่ง
อยู่บ้านตัวเองแท้ๆ แต่ต้องมาเกรงใจเขยสะใภ้ที่ไม่รู้ว่าจะอาละวาด ลุกขึ้นมาฆ่าเราวันไหนอีก
พฤติกรรมหลายอย่างของเมี่ยวไม่โอเค คือดื่มเหล้าในเวลาทำงาน เลยมีเรื่องกับลูกค้า
คนเป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง เราว่าไม่ควรทำงานที่ต้องบริการเจอผู้คน มันเครียดมาก เมี่ยวไปทำในตำแหน่งอื่นก็ได้ ที่ไม่ใช่ฝ่ายบริการลูกค้า มีปัญหาโรคภัยในการทำงานก็แจ้งบอกบริษัทก่อนซิ เขาจะได้จัดตำแหน่งให้ถูกงาน
เราเคยไปนิเทศฝึกงานสำนักพิมพ์ดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เคยถามว่าเขารับนักเรียนที่เป็นเด็กพิเศษไหม เขาบอกเคยรับ เคยรับแม้แต่คนเป็นโรคซึมเศร้าด้วย วิธีการรับมือของบริษัทก็คือ ถ้าคนๆนั้นมีอาการ เขาจะให้นอนพักผ่อนในที่บริษัทจัดให้ ไหวก็ทำงานต่อ เจ้าของบอกว่าเขาเข้าใจว่าคนเป็นโรคนี้เยอะ อยากจะให้โอกาส
เราว่าถ้าเมี่ยวกลับมากินยาเคร่งครัด ควรออกหางานใหม่ทำได้แล้ว เอาที่ต้องเหมาะกับตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ไปทนทำงานแบบเดิมอีก
กลายเป็นตอนจบ เหมือนเมี่ยวจะอยู่แต่บ้าน พยายามไม่ปะทะเจอหน้าแม่ ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน
แถมตอนแม่ขอให้ชินไปส่งหาหมอ กลับพูดแย่งเถียงจะให้ชินพาเธอไปก่อนให้ได้...คือเมี่ยวเอ๊ย ใจคอเธอจะไม่ยอมอะไรเขาหน่อยเรอะ
เราเป็นเมี่ยว เราไม่มาพูดให้ชินเลือกระหว่างเรากับแม่หรอก บาปนะ ไปบอกให้เขาทิ้งแม่เพื่อมาอยู่กับเธอสองคนนะเรอะ
เราเป็นเมี่ยว เราต้องพยายามแข็งแรง ไปทำงานหาเงินเข้าบ้านด้วย หรือถ้าไม่อยากหางานอีก อย่างน้อยพยายามไปขอขมาแม่ ช่วยแม่ทำงานเย็บผ้าหรือทำงานบ้านช่วยก็ได้ โอเคถึงมีเรื่องรุนแรงกันมาก่อน แต่เราอยู่ในฐานะผู้อาศัย เราก็ต้องยอมคนที่อยู่ก่อนบ้างซิ
เราเชื่อว่าถ้าเมี่ยวพยายามเข้าหาเอาใจแม่มากกว่านี้ เราว่าแม่พร้อมจะลืมได้แหละ
กลายเป็นสรุปสุดท้าย เหมือนแม่กับเมี่ยวก็ไม่ญาติดีกัน แข่งกันเรียกร้องความสนใจกันอีก ทั้งที่ชินก็ระเบิดออกมาแล้วว่า เขาเครียดที่ต้องเอาใจทั้งคู่
ถ้าเราเป็นเมี่ยว เรายอมแม่เล็กๆน้อยๆบ้างเถอะ อย่างน้อยให้ชินเขาหายเครียด และแม่จะได้ลดอคติบ้าง
นี่กลายเป็นพฤติกรรมเมี่ยวก็จะเอาชนะแม่เหมือนเดิม ไม่พัฒนาทำอะไรอีก
เราเจอลูกสะใภ้ทำแบบนี้ เราก็ไม่โอเคนะ อยู่แบบนี้โครตอึดอัดเลย กลายเป็นครอบครัวนี้อยู่กันไม่สุขเต็มที่ เหมือนเป็นศัตรูต้องมาระวังกัน
เราเป็นชินคงเหนื่อยสุดๆ แต่เราคงเลือกแม่แหละ แฟนเรามีได้อีกหลายคน แต่แม่เรามีคนเดียว เราไม่เอาส้มเราก็ชัดเจนไปกับแม่ว่าไม่เอาแค่นั้น ไม่ต้องไปฝืนว่าต้องตามใจแม่ ยอมแต่งกับส้มขนาดนั้น
กลายเป็นตอนจบที่ก็ไม่เคลียร์แบบละครทั่วไป อึดอัดตามสไตล์ละครค่ายนี้ ไม่เอาใจคนเชียร์
ไม่รู้ป่านนี้ครอบครัวเจ้าของเรื่องจริงๆ มีสภาพแบบในละครตอนจบไหม โครตอึดอัด แต่ถ้าเขาเลือกไม่ทิ้งใครเลย ก็ต้องตามความตัดสินใจเขาอ่ะนะ