เป็นที่ทราบกันดีว่า ดอกไม้แต่ละดอกนั้นมีความสวยงาม และสร้างมนต์เสน่ห์ต่อผู้พบเห็น
จึงเป็นสัญลักษณ์อันดีที่จะเป็นสื่อถึงการสร้างความรักในสมุนไพรให้เกิดขึ้นต่อทุกผู้คน
เมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ร่วมกับ มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ผู้จัดพิมพ์) เปิดตัวหนังสือ "ดอกสร้อยร้อยบุปผา ร้อยคุณค่าสมุนไพรไทย" จากการประกวดรางวัลหนังสือดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2562 ซึ่งได้รับรางวัลชมเชย ประเภทกวีนิพนธ์ ประพันธ์โดย สัจภูมิ ละออ (นักเขียน นักกวี) ร่วมพูดคุยกับ ผศ.สกุล บุณยทัต (นักวิจารณ์วรรณกรรม) คุณบงกช ศรีมังคละ ดำเนินรายการ ณ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ จามจุรีสแควร์ ชั้น4(โฉมใหม่)
บทดอกสร้อย เดิมเป็นกลอนเพลงชนิดหนึ่ง หนุ่มสาวสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา และต้นกรุงรัตนโกสินทร์นำมา ร้องเกี้ยวพาราสีกัน โดยแบ่งเป็นฝ่ายชายและฝ่ายหญิงร้องโต้ตอบกันไปมา ต่อมามีผู้นำมาเขียนเป็นเรื่องคติสอนใจ อย่าง“เด็กเอ๋ยเด็กน้อย” , “มดเอ๋ยมดแดง” และ พระยาอุปกิตศิลปสาร นำดอกสร้อยมาเขียน รำพึงในป่าช้า ขึ้นต้นว่า “วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน...” ต่อมามีผู้เขียนบทดอกสร้อยอยู่บ้าง แต่ก็เขียนออกมาอย่างประปราย และไม่ได้รวมเล่มเป็นจริงเป็นจัง
บางส่วนจากเวทีเสวนาเปิดตัวหนังสือ "ดอกสร้อยร้อยบุปผา ร้อยคุณค่าสมุนไพรไทย" ที่จัดโดยมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ผู้จัดพิมพ์) โดยมีวิทยากรผู้เสวนาคือ คุณสัจภูมิ ละออ (ผู้ประพันธ์/นักเขียน/กวี) และ ผศ.สกุล บุณยฑัต (นักวิชาการวรรณกรรม/นักวิจารณ์) ดำเนินรายการโดย คุณบงกช ศรีมังคละ
สัจภูมิ ละออ นำกลอนดอกสร้อยมาเขียนบรรยายดอกไม้ 100 ดอก ด้วย บทกลอนดอกสร้อยจำนวน 100 สำนวน กลายเป็นดอกสร้อยเล่มแรก ที่นำดอกไม้ 100 ดอกมาบรรยายคุณค่าทางสมุนไพรด้วยบทกลอนดอกสร้อย โดยสี่วรรคแรกบรรยายรูปร่างและความสวยงามของดอกไม้ เป็นต้นว่า “ดอกเอ๋ยดอกพริก ดอกขาวพลิกพลิ้วลมระดมเป่า พืชสวนครัวทั่วสวนใครใครเก็บเอา เผ็ดหนักเบารู้ได้ตามสายพันธุ์” ในสำนวนเดียวกันนี้ สี่วรรคหลังบรรยายคุณค่าทางสมุนไพร “แก้ปวดข้อขับลมตรมจุกเสียด มิต้องเครียดท้องเฟ้อเจออย่าหวั่น เลือดไหลเวียนคล่องไหลลดไขมัน ตำพริกนั้นต้องซอยถี่สตรีเอย” ร้อยเรียงในลักษณะนี้ทุกสำนวน
ผู้ประพันธ์กล่าวถึง การเขียนบทดอกสร้อยเล่มนี้ว่า “ผมมีความสุขมากที่ได้นำเอาดอกไม้ประเภทต่างๆ มา ร้อยเรียงเป็นกลอนดอกสร้อย พื้นฐานการเขียนกลอนบรรยายดอกไม้ของผมนั้น ผมเคยเขียนลงนิตยสารมาก่อน แต่เป็นแค่บรรยายความงามของดอกไม้และความเปรียบเท่านั้น คราวนี้ได้บรรยายความงดงามและคุณค่าทางสมุนไพร จึงภูมิใจที่ได้นำความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรด้วยบทกลอนครับ”
หนังสือ ดอกสร้อยร้อยบุปผาฯ ผู้เขียนร้อยเรียงด้วยภาษาง่าย ๆ บางบทมีความเปรียบ และใช้โวหารกวีได้อย่างเห็นภาพพจน์ จึงเป็นหนังสือที่มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ และคุณทางสมุนไพรไทย ด้วยดอกไม้และเหล่ามวลสมุนไพรพื้นบ้านต่างล้วนคือโอสถที่เยียวยาชีวิตที่หลอมรวมให้เป็นเครื่องช่วยบำบัดโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยและมีผลข้างเคียงที่เป็นลบต่อชีวิตน้อยมาก เปรียบดั่งการให้ข้อคิดอันดีงามต่อการรับรู้ชีวิตและคุณประโยชน์อันเหลือ คณา นับที่ได้รับจากดอกไม้นานาพันธ์ทั้ง 100 ชนิด
หนังสือ "ดอกสร้อยร้อยบุปผา ร้อยคุณค่าสมุนไพรไทย" เล่มนี้ มีจำหน่ายที่ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 47 ศูนย์หนังสือจุฬาฯ บูธ N39 โซน C 1 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
งานเปิดตัวหนังสือ ... ดอกสร้อยร้อยบุปผา ร้อยคุณค่าสมุนไพรไทย
บทดอกสร้อย เดิมเป็นกลอนเพลงชนิดหนึ่ง หนุ่มสาวสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา และต้นกรุงรัตนโกสินทร์นำมา ร้องเกี้ยวพาราสีกัน โดยแบ่งเป็นฝ่ายชายและฝ่ายหญิงร้องโต้ตอบกันไปมา ต่อมามีผู้นำมาเขียนเป็นเรื่องคติสอนใจ อย่าง“เด็กเอ๋ยเด็กน้อย” , “มดเอ๋ยมดแดง” และ พระยาอุปกิตศิลปสาร นำดอกสร้อยมาเขียน รำพึงในป่าช้า ขึ้นต้นว่า “วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน...” ต่อมามีผู้เขียนบทดอกสร้อยอยู่บ้าง แต่ก็เขียนออกมาอย่างประปราย และไม่ได้รวมเล่มเป็นจริงเป็นจัง
ผู้ประพันธ์กล่าวถึง การเขียนบทดอกสร้อยเล่มนี้ว่า “ผมมีความสุขมากที่ได้นำเอาดอกไม้ประเภทต่างๆ มา ร้อยเรียงเป็นกลอนดอกสร้อย พื้นฐานการเขียนกลอนบรรยายดอกไม้ของผมนั้น ผมเคยเขียนลงนิตยสารมาก่อน แต่เป็นแค่บรรยายความงามของดอกไม้และความเปรียบเท่านั้น คราวนี้ได้บรรยายความงดงามและคุณค่าทางสมุนไพร จึงภูมิใจที่ได้นำความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรด้วยบทกลอนครับ”