กลอนดอกสร้อย บทดอกสร้อยมีลักษณะคล้ายสักวา ต่างกันตรงที่ มีคำขึ้นต้นหนึ่งคำ และคำถัดมาจะต้องเป็นคำว่า
เอ๋ย ส่วนคำจบให้ลงท้ายด้วยคำว่า เอย เช่นเดียวกับบทสักวา
การแต่งกลอนดอกสร้อยส่วนใหญ่ใช้แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นที่สามารถจบลงอย่างสั้นๆ เพราะกลอนดอกสร้อย ๑ บท คือกลอนสุภาพ ๒ บท
ข้อบังคับ
๑.กลอนดอกสร้อยบทหนึ่งมี ๔ คำกลอน หรือ ๘ วรรค วรรคหนึ่งใช้คำ ๖-๘ คำ
๒. วรรคแรกที่ขึ้นต้นโดยมากมี ๔ คำ คำที่ ๑ กับคำที่ ๓ ต้องซ้ำคำเดียว กัน คำที่ ๒ ค้องเป็นคำว่า " เอ๋ย" ส่วนคำที่ ๔ เป็นคำอื่นที่รับกัน เช่น นักเอ๋ยนักเรียน เด็กเอ๋ยเด็กน้อย
๓.กลอนดอกสร้อยจะต้อง ลงท้ายด้วยคำว่า"เอย"เสมอ แต่ถ้าเป็นกลอนดอกสร้อยในบทละครไม่ต้องลงท้ายด้วยคำว่าเอย
๔.สัมผัสและลักษณะไพเราะ อื่นๆเหมือนกลอนสุภาพ
เสียงท้ายวรรคของดอกสร้อย
เสียงท้ายวรรคในที่นี้หมายถึงเสียงวรรณยุกต์
๑. คำสุดท้ายวรรคสดับใช้ได้ทั้ง ๕ เสียงแต่ไม่นิยมเสียงสามัญ
๒. คำสุดท้ายวรรครับ ห้ามใช้เสียงสามัญและนิยมว่าเสียงจัตวาไพเราะที่สุด
๓. คำสุดท้ายวรรครองนิยมเสียงสามัญ
๔. คำสุดท้ายวรรคส่ง นิยมใช้เสียงสามัญ
เครดิต :
http://nkw05246.circlecamp.com/index.php?page=faq
ชวนเพื่อนๆร่วมแต่งกลอนดอกสร้อยค่ะ
เอ๋ย ส่วนคำจบให้ลงท้ายด้วยคำว่า เอย เช่นเดียวกับบทสักวา
การแต่งกลอนดอกสร้อยส่วนใหญ่ใช้แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นที่สามารถจบลงอย่างสั้นๆ เพราะกลอนดอกสร้อย ๑ บท คือกลอนสุภาพ ๒ บท
ข้อบังคับ
๑.กลอนดอกสร้อยบทหนึ่งมี ๔ คำกลอน หรือ ๘ วรรค วรรคหนึ่งใช้คำ ๖-๘ คำ
๒. วรรคแรกที่ขึ้นต้นโดยมากมี ๔ คำ คำที่ ๑ กับคำที่ ๓ ต้องซ้ำคำเดียว กัน คำที่ ๒ ค้องเป็นคำว่า " เอ๋ย" ส่วนคำที่ ๔ เป็นคำอื่นที่รับกัน เช่น นักเอ๋ยนักเรียน เด็กเอ๋ยเด็กน้อย
๓.กลอนดอกสร้อยจะต้อง ลงท้ายด้วยคำว่า"เอย"เสมอ แต่ถ้าเป็นกลอนดอกสร้อยในบทละครไม่ต้องลงท้ายด้วยคำว่าเอย
๔.สัมผัสและลักษณะไพเราะ อื่นๆเหมือนกลอนสุภาพ
เสียงท้ายวรรคของดอกสร้อย
เสียงท้ายวรรคในที่นี้หมายถึงเสียงวรรณยุกต์
๑. คำสุดท้ายวรรคสดับใช้ได้ทั้ง ๕ เสียงแต่ไม่นิยมเสียงสามัญ
๒. คำสุดท้ายวรรครับ ห้ามใช้เสียงสามัญและนิยมว่าเสียงจัตวาไพเราะที่สุด
๓. คำสุดท้ายวรรครองนิยมเสียงสามัญ
๔. คำสุดท้ายวรรคส่ง นิยมใช้เสียงสามัญ
เครดิต :http://nkw05246.circlecamp.com/index.php?page=faq