แชร์ประสบการณ์การเดินทางของเป๋ซ่า :ขาหักแต่ยังไปเที่ยวญี่ปุ่น

         จุดเริ่มต้น : 
 ต้องเริ่มจากว่าเราจองตั๋วเครื่องบินโปรบินคู่ของการบินไทย ไปฟุกุโอกะตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ช่วงเวลาเดินทางคือ 20-24 มีนาคม 2562
แต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ เราลงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วขาพลิก ไปหาหมอปรากฎว่ากระดูกเท้าแตก   T.T  ต้องใช้เวลารักษาอย่างน้อย 4-6 week  
           อย่างแรกที่เราคิดคิอตายๆๆๆ ฉันจะไปญี่ปุ่นทำไงดีๆๆๆ  ตั้งสติได้เราก็ติดต่อการบินไทยเพื่อเลื่อนตั๋วแต่ปรากฎว่าตั๋วเป็นตั๋วโปร สามารถเลื่อนวันได้แค่ขากลับ ตอนแรกก็คิดว่างั้นทิ้งขาไปแล้วเลื่อนวันขากลับละกันจะได้ไม่ต้องทิ้งตั๋ว ทางการบินไทยก็แจ้งว่าถ้าไม่บินขาไปก็จะไม่สามารถใช้ตั๋วขากลับได้ เอาหล่ะสิ ตั๋ว2คนก็หลายบาทไหนจะค่าโรงแรมอีก  เราเลยคิดว่าต้องปรึกษาหมอก่อนว่าเราจะสามารถเดินทางไปได้ไหม
           16 มีนาคม หมอนัด xray ปรากฎว่ากระดูกยังไม่ติดแต่หมอก็เปลี่ยนจากใส่เฝือกอ่อนเป็น Aircast ที่เราเตรียมไปเองให้ (ตามรูป)
หมอก็บอกว่าไปญี่ปุ่นได้แต่ก็สภาพนี้อ่ะนะต้องใช้ไม้ค้ำ ลงน้ำหนักที่เท้าที่หักที่ใส่aircastได้นิดหน่อย
เตรียมตัวก่อนบิน :
เมื่อเห็นชะตากรรมแล้วว่าไม่สามารถหายทันแน่ เพื่อนรวมทางของเราเลยเช่าวีลแชร์ไปจากประเทศไทยเพื่อเป็นตัวช่วยในการเดินทางของเรา จริงๆแล้วที่ญี่ปุ่นก็มีบริการให้เช่าแบบจองและเค้าจะไปส่งไว้ให้ที่โรงแรมแต่เราอยากได้ความอุ่นใจเลยเอาไปด้วยเลย 
ด้านล่างคือรถคันที่เราเช่าไป


 -   เมื่อเลื่อนตั๋วไปไม่ได้เราก็ต้องโทรแจ้งสายการบิน ว่าเราต้องใช้วีลแชร์ และไม้ค้ำ รวมถึงที่นั่งขอให้จัดให้เราอยู่ในที่ที่เหมาะสม ทางสายการบินก็จะถามรายละเอียดขนาดของวีลแชร์ที่เราจะนำไปด้วย เป็นขนาดกว้างx ยาว xสูงและน้ำหนักของวีลแชร์
 -   email แจ้งโรงแรมว่าเราต้องใช้ไม้ค้ำและเราจะนำวีลแชร์ไปด้วย 
 -   ขอเอกสารใบรับรองแพทย์ ว่าFit to fly เอกสารนี้ทางสายการบินอาจขอดูเพื่อเป็นการคอนเฟิร์มว่าเราสามารถขึ้นบืนได้จริงๆไม่เกิดอันตรายใดๆ
 -   วางแผนจัดการแผนการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับสภาพร่างกายและการใช้รถวีลแชร์ อันนี้ต้องยดเครดิตให้ผู้ร่วมทางที่วางแผนอย่างดีมีกาศึกษาเส้นทางต่างๆอย่างละเอียด

***เริ่มเดินทาง  :
 เราและผู้ติดตามจะไม่สามารถเช็คอินออนไลน์ได้ต้องมาเช็คอินที่เคาท์เตอร์เท่านั้น เมื่อมาเช็คอินทางเจ้าหน้าที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่วีลแชร์ให้มารับเราตามที่เคาท์เตอร์เช็คอินไปส่งด้านในที่ Gate หรือในกรณีเรา เราไปเช็คอินเร็วมากเลยขอไปนั่งรอที่เลาจน์ของ Kingpower  และนัดเวลาให้รถมารับไปที่Gate (เนื่องจากที่สุวรรณภูมิมีคนใช้รถเข็นเยอะมากเราเลยต้องให้เค้าไปบริการคนอื่นก่อน)  ถึงเวลานัดน้องเจ้าหน้าที่เค้าก็มาพร้อมรถเข็นมารับเราไปที่Gate  ปรากฎว่า Gate ที่เราจะต้องไปจะต้องขึ้นรถบัสไป ทางการบินไทยเลยจัดการให้เราขึ้นรถที่ลิฟท์ยกเราเข้าไปในรถ แล้วสามารถยกขึ้นไปถึงประตูเครื่องบินเลย VIP ไปอี๊ก (ตามรูป)
พอเข้าไปในเครื่องบินนั่งที่นั่งแล้วต้องฝากไม้ค้ำให้แอร์เก็บไว้ถ้าต้องการใช้ให้กดเรียกเอาค่ะ  ในส่วนของการเดินทางก็เป็นเหมือนปกติ น่าจะเป็นเพราะเราโทรแจ้งสายการบิรล่วงหน้าเลยได้นั่งที่นั่งได้ที่นั่งแถวสามคน แต่นั่งแค่สองคนเลยยกขาขึ้นมาได้บ้าง เดินทาง 5 ชม.ก็เมื่อยขาเอาการอยู่ค่ะ

            พอถึงสนามบินฟูกุโอกะ : เจ้าหน้าที่สนามบินมารอรับอยู่ที่หน้าประตูเครื่องบิน ตามธรรมเนียมของญี่ปุ่นเค้าก็โค้งแล้วโค้งอีก จนเราเกรงใจแล้วก็เข็นเข้าไป ตม. ทาง piority  ตรวจหนังสือเดินทางอย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องรอคิว VIPอีกแล้ว  แล้วเค้าก็จะเข็นรถเรามาที่สายพานรอกระเป๋า ซึ่งพอมาถึงกระเป๋าเดินทางของเราก็มารออยู่แล้วถือว่าเร็วมาก แต่รถเข็นที่เราเตรียมมายังไม่มา เจ้าหน้าที่สาวสวยสองคน โค้งขอโทษแล้วขอโทษอีกจนเราบอกไม่เป็นไร มันแป๊ปเดียวเองปกติชั้นต้องยืนรอนานมากๆ 5555

จากสนามบินเรานั่งแท๊กซี่มาที่โรงแรม เนื่องจากตัวเมือง  HAKATA ไม่ไกลจากสนามบิน ค่าtaxi ประมาณ 1,800 เยน (มีรถติดนิดหน่อย) แต่ถ้าเทียบกับความสะดวกแล้วเราว่าคุ้ม

***** การท่องเที่ยว *****
                ในส่วนของการท่องเที่ยวเราใช้รถเข็นตลอดแต่ก็ไม่ได้สะดวกมากเนื่องจากรถเข็นเราเล็กเลยมีความสั่นสะเทือนเวลาต้องเข็นบนฟุตบาทขนาดประเทศญี่ปุ่นที่ว่าทางเดินถนนเรียบแล้วยังสั่นสะเทือน และเนื่องจาดรถเข็นเราเล็กก็เลยมีความนั่งไม่สบายอยู่ ถ้าใครจำเป็นต้องเดินทางแบบนี้ให้เช่ารถเข็นล้อใหญ่ไปดีกว่า ในส่วนของทางเข้าร้านค้า ร้านอาหารหรือตัวตึกทางญี่ปุ่นมีความสะดวกมากมีลิฟท์และห้องน้ำแยกให้คนพิการต่างหากด้วย ตลอดการท่องเที่ยวไม่เจอปัญหาเรื่องห้องน้ำเลยเนื่องจากมีป้ายบอกชัดเจนและมีอยู่ทุกที่
                  นอกจากเที่ยวภายในเมือง Hakata แล้วเรายังมีนั่งรถไฟชินคันเซนไปคุมาโมโต้ โดยซื้อ JR Pass ไปจากไทยแล้วก็ไปแลกตั๋วจองที่นั่งที่ญี่ปุ่น ตอนแลกตั๋วและจองที่นั่งก็บอกเค้าว่าเราต้องใช้ไม้เท้ากับมีวีลแชร์ เค้าก็จะถามว่าเราต้องการการช่วยเหลือเป็นพิเศษไหมซึ่งถ้าเราต้องการความช่วยเหลือจากเค้าเราต้องจองล่วงหน้าในขบวนที่มีบริการนี้ แต่ถ้าเราสามารถลุกเดินเข้าไปที่นั่งเองได้โดยใช้ไม้ค้ำก็ไม่มีปัญหาก็แค่จองเวลาและที่นั่งพอ
                  เมืองคุมาโมโต้ เราได้ใช้บริการรถ Tram ด้วยก็ทุลักทุเลในตอนขึ้นลงเพราะเราต้องใช้ไม้ค้ำขึ้นลำบาก และคนใช้บริการรถ Tram ค่อนข้างเยอะ เสี่ยงกับการโดนเหยียบเท้าหรือสะดุดได้ง่าย แต่เราสู้ 5555 
                  นอกจานั้นเรายังไป DAZAIFU โดยรถบัส อันนี้ก็นั่งสะดวกสบายแต่ขึ้นลงก็ลำบากนิดนึงเพราะบันได้สูงและก็ไม่ได้มีลิฟท์ยกขึ้นไปในรถให้ แต่ก็โอเคไม่ได้อันตรายบาดเจ็บอะไร เจ้าหน้าที่และคนขับรถพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ
                 ตลอดเวลา 4 วัน เรานั่งรถเข็นตลอดทั้งเที่ยวและช๊อปปิ้ง ก็ถือว่าค่อนข้างสะดวกแต่ก็ควรศึกษาเส้นทางให้ดีนะคะว่าสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวรองรับวีลแชร์ไหม ทีทางลาดหรือเปล่า  โดยสามารถดูเส้นทางได้จากwebsite หรือ google earth และอาจเป็นเพราะฟุกุโอกะจำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่หนาแน่นเท่าโตเกียวด้วยทำให้เราเลยไม่ต้องไปเบียดกับใคร

                 วันเดินทางกลับเราก็ใช้บริการ Taxi จากโรงแรมมาที่สนามบิน (1,500 Yen) เช่นเดิมมีรถเข็นมารอรับที่เคาท์เตอร์เชคอินรวดเร็ว เข้าช่อง piority ผ่านการตรวจไปอย่างรวดเร็วแล้วเจ้าหน้าที่เค้าก็จะทิ้งรถเข็นไว้ให้เรากับผู้ติดตาม เราสามารถเข็นไปช๊อปปิ้งของฝากก่อนกลับได้สบายแต่ต้องกลับมาที่ Gate ตามเวลานัด ขากลับก็ต้องใช้รถลิฟท์ส่งขึ้นไปเหมือนเดิม แต่ที่นั่งขากลับดีหน่อยได้เป็นlong leg ยืดขาได้เลยเมื่อยขาที่หักน้อยหน่อย
                 มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็มีเจ้าหน้าที่มารอรับด้วยรถเข็นเหมือนเดิม แต่ตอนผ่านตม. เค้าเข็นเราไปต่อแถวปกติ ก็เสียวๆนิดนึงตรงที่คนค่อนข้างเยอะกลัวโดนคนสะดุดขาที่หัก ที่พีคคือห้องน้ำคนพิการที่สนามบิน อยู่ด้านในสุดของห้องน้ำ ไม่ได้แยกออกมาต่างหากเจ้าหน้าที่เข็นรถเข็นก็เข็นมาส่งไว้ข้างหน้าก้องน้ำหญิงเพราะเค้าเข้าไปไม่ได้ เราก็ใช้ไม้ค้ำฝ่าคนที่ต่อแถวเข้าห้องน้ำเข้าไปเพื่อพบว่าห้องน้ำคนพิการล๊อคแขวนป้ายชำรุด T.T  เลยต้องกระโดกกระเดกออกมารอเข้าห้องน้ำหญิงแบบปกติ เลยรู้สึกสงสารคนพิการหรือคนที่ขาหักอย่างเรามากกว่าเออลำบากนะนี่ถ้ามาประเทศเรา เหมือนออกแบบมาให้ครบแต่ไม่ได้คิดถึงความสะดวกในการใช้งาน  เหมือนที่คนชอบพูดว่าคนทำไม่ได้ใช้คนใช้ไม่ได้ทำมันเลยไม่ตอบโจทก์

                โดยสรุปการเดินทางทั้งที่ขาหักก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้เลยซะทีเดียวแต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนว่าสามารถไปได้ไหมและต้องเตรียมการและวางแผนอย่างดีรวมถึงต้องมีคนดูแลตลอดการเดินทางด้วยและถ้าไปกับทัวร์ก็คงจะสบายกว่าเพราะไม่ต้องเดินทางเอง ยิ้ม

               

 

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่