สวัสดีค่ะ ตอนที่5 นี้เกิดขึ้นจาก การได้ยินลุงๆป้าๆที่เรารักในชุมชน บ่นกันสุดๆ หลังรู้ผลการเลือกตั้ง พร้อมถอนหายใจ ท้อแท้ เจอหน้ากัน หรือเจอหน้าใคร ก็บ่นว่าแย่แน่ๆ หมดหวังแล้ว 😓
เราอยากแนะนำอะไรพวกท่านหลายๆอย่าง แต่มันยาก เพราะเราเป็นเด็ก แต่การที่มีบทความในพันทิป หรือตามLine แชร์ ไปจากใครที่ไม่ใช่คนรู้จัก พวกท่านจะเชื่อ และ ใส่ใจมากกว่า บางที ไกล้กันมากไปก็เกิดกำแพง ทำให้พวกท่านไม่ได้ยินในสิ่งที่ พวกเราคนรุ่นใหม่จะสื่อสารไม่ได้ค่ะ
อีกอย่างตามต่างจังหวัด เราจะอยู่รวมกันเป็นชุมชนตลาด ดังนั้น จะเป็นทำเลทองรึเปล่า จำเป็นมากที่ต้องมีร้านค้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูด เพื่อที่ลูกค้าที่ออกมาจากไร่จากนา เลือกขับรถมา ตลาดบ้านเรา มากกว่า ตลาดถัดไป ดังนั้น ต้องร่วมใจกัน ค้าขาย ไม่ใช่ ร่วมกันท้อแท้นะคะ .... สู้ๆไปด้วยกันค่ะ
หัวข้อต่อไปนี้ ขอให้กลับไปทำเลยทันที นะคะ ทำด้วยใจหึกเหิม สนุกกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และ การขายของเรา อย่าทำด้วยความเครียด หรือหดหู่ เพราะมันจะไม่ได้ผลค่ะ
1. ลองทำใจกลางๆขับรถผ่านร้านตัวเอง
ร้านเราน่าเข้าไหม? มีผ้าใบบังแดดรุงรัง บังจนไม่รู้ว่าขายอะไรรึปล่า? มีอะไรบังร้านเราบ้าง? ถ้าลูกค้าขับรถผ่านแบบเราจะสังเกตุเห็นร้านหรือไม่? มองเข้าไปดูมีชีวิตชีวา หรือเงียบเหงา มืด ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่
คนเรา ชอบอะไรที่คึกคัก ยิ่งร้านไหนดูคนเยอะ ดูมีการเคลื่อนไหว ภายใน เราก็จะตีความทันทีว่า ร้านนี้น่าเข้า หลายคนเถียงว่าจะไปเอามาจากไหนคนคึกคัก เราบอกเลยว่าก็ต้องหาทาง ตอนเราเองมาเปิดสาขาแยกจากแม่ บอกเลยว่าผีแทบหลอก คนขับรถเลยไปตลอดไม่แวะเลย ใครแวะมาที เราก็ดีใจแทบเข้าไปอุ้มเดิน วันๆนึ่ง ชะเง้อคอไปมา หวังว่าจะมีคนเข้า จุดธูปไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเช้า มำวัตรเย็น แถม คำแปล และแถมคาถาบูชา เจ้าแม่นางกวักชุดใหญ่ จนจบ ก็ยังไม่มีใครมา 55555 คือ ถูร้านรอลูกค้าจนกระเบื้องจะถลอก 5555 แต่พอเรามาคิดดู เราเองก็ไม่เข้าร้านตัวเองเหมือนกัน เพราะ ไม่รู้จักและไม่อยากเสียเวลาแวะ เราเลย ปรับปรุงดังนี้
1.1 ทาสี หน้าร้านให้สดใสใหม่
1.2 ป้ายหน้าร้านต้อง ใหญ่ชัดเจนว่าขายอะไร ขับรถผ่านไวๆ ก็ยังต้องเห็น ป้ายตัวหนังสือไม่ต้องเยอะ แต่ต้องเป็นรูป สิ่งที่เราจะขายตัวเด่นๆหลักๆ ราคาพิเศษ
1.3 ในร้านเราเปิดเพลงลูกทุ่งคลอๆ(อย่าให้ดังเกินไป) พวกเพลงยุคยอดรัก ยุค ศรเพร็ช (คือ เป้าหมายหลักของลูกค้าเรา อายุประมาณ 40 ปีขึ้น(เถ้าแก่ไร่อ้อย หรือ ชาวนาชาวไร่ ) และเพลงพวกนี้ชอบเปิดตามงานบวช งานแต่ง งานขึ้นบ้าน ซึ่ง ให้ความรู้สึกถึงความสังสรรค์ สดใส และ เพลงยุคนี้ก็ ทำนองไม่กระโชกโหกฮากไล่ลูกค้า )
1.4 เราเอารถ พ่อ รถน้อง รถพี่ มาจอด ทำคล้ายคนแวะเยอะ 55555+
1.5 หน้าร้าน ต้องจัดให้เป็นระเบียบ ของขายต้องเต็มชั้น ไม่มีฝุ่น บริเวณที่ลูกค้ามองเห็นต้องไม่มี ของใช้ส่วนตัวเช่น ราวตากผ้า เตียงนอน คือ หลายร้านมาก ที่พอเข้าไปแล้วเจอเฮีย นอนดูทีวีขายของอยู่ 55555 คือ รู้สึก เกรงใจเฮีย ไม่กล้ารบกวนซื้อ 5555) ตัวเราคนขายก็ควรอยู่หน้าร้าน พร้อมขายพร้อมบริการ แต่ต้องไม่ถึงขนาดยัดเยียด
2. ร้านเราจอดรถสะดวกหรือไม่ หรือ ไม่มีที่ให้จอดรถเลย?
ตอนนี่ทุกครัวเรือนในบ้านนอกขับรถกระบะรถเก๋งนะคะ แถมรถรุ่นใหม่ๆ อย่าง ฟอร์ด หรือ เชฟโรเล็ต ก็กำลังนิยม และรถเขาใหญ่มาก ร้านเรามีที่จอดรถสะดวกหรือไม่ ถ้ามีแล้วมันเพียงพอหรือเปล่า มีมอเตอร์ไซด์จอดสะเปะสะปะ ขวางหรือไม่?
ถ้าลูกค้าไม่สะดวก หรือมีความยุ่งยากที่จะเจ้าถึงร้านเรา เขาไม่มีความอดทนพอนะคะ คนเดียวนี้ใจร้อน ต้องการความง่าย สะดวก
3. สังเกตุ ลูกค้า ที่เข้าร้านเราต้องนี้ เป็นคนรุ่นไหน? อาชีพอะไร? จำนวนลดลงรึเปล่า?
อย่างใครที่เคย อ่านตอนเก่าๆมาจะรู้ว่า เราเปิดสาขา แยกออกมาจาก ร้านของแม่ และเวลาที่เราไปช่วยร้านแม่ เราสังเกตุเห็นชัดเจนมากว่า มีแต่ลูกค้าขาประจำ ที่แก่มาก มากมาก แทบไม่มีคนอายุ 15-30 เข้าร้านแม่เราเลย แล้วแม่เราก็บ่นตลอดว่ายอดขาย ตกมาก เครียด นั่นก็เพราะลูกค้าของแม่หลายคน ปลดเกษียนแล้วรุ่นลูกขึ้นมาแทน และเขาไม่เลือกใช้บริการบ้านเรา เหมือนที่พ่อเขาเคย ลูกค้าที่สนิทกันและมีกำลังซื้อสูงหลายลาย ทะยอยตายจากเราไป และเรา ไม่เคยได้เจ้าใหม่เข้ามาแทน
นั่นหมายถึง เราตกรุ่น ไปซะแล้ว ต้องหันมาปรับภาพลักษณ์ และ เข้าถึงคนรุ่นใหม่ๆ เราต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ลูกค้ารุ่นใหม่ๆ หันมามองมาสังเกตุ และ ต้องพัฒนาแบรนด์หรือร้านเรา ให้ถูกใจเขาให้ได้
4. ของที่เราขาย กับ ของที่ตลาดนัดขาย เหมือนกันไหม? ราคาใครถูกกว่า? ใครมีรุ่นใหม่ หรือ มีให้เลือกมากกว่า?
ถ้าคุณตอบว่า สินค้าที่คุณขาย ตลาดนัดก็ขาย แถมถูกกว่าคุณมาก คุณต้อง พิจารณาร้านตัวเองใหม่ ว่าทำยังไง ให้ถูกกว่า หลากหลาย กว่า ทันกระแสมากกว่า และทำให้ลูกค้ารู้ด้วย !!! ( หลายร้านพยายาม ปรับปรุงขายถูกกว่า แบบใหม่กว่า ร้านติดแอร์เดินสบายกว่า แต่..... ใครจะรู้หล่ะ ถ้าไม่ประกาศตัวออกไปดังๆ หลายร้านมัวแต่รอลูกค้าให้มาเจอ ซึ่งกว่าจะมาเจอ ทุนจมหมดแล้ว )
5. ร้านคุณ สมาชิกในร้านสามัคคี รักกัน หรือ ด่าทอกันเช้ากลางวันเย็น ถ้าครอบครัวไม่พร้อม อย่าคิดจะไปสู้ ศึกค้าขาย หลายบ้านมัวแต่ตามจับเมียน้อย มัวแต่ทะเลาะกับลูก ไปๆมาๆรู้ตัวอีกที การค้าซบเซาไปซะแล้ว เพราะขาดความใส่ใจ บางร้าน พอขายดีมาก ร่ำรวย ก็เริ่มมีปัญหาผัวน้อยเมียน้อย หรือ ลูกเขย ลูกสะใภ้ ทุกคนหยิบเงินกันทีละร้อยทีละพัน ทีละหมื่น เหมือนไม่มาก ผ่องถ่ายเงินสดออกไปใช้กับเรื่องส่วนตัวกันเต็มที่ (หลายร้านไม่ทำบัญชี เงินหายไม่รู้ตัว) รู้ตัวอีกที ไม่มีเงินซื้อของเข้าร้านแล้ว
ทำบัญชี ควบคุมเงินและสินค้าทั้งหมด ซะ ความขี้เกียจคีย์ข้อมูล หรือ เอาสินค้าเข้าระบบ มันไม่คุ้มกับความเสียหาย ที่ซ่อนอยู่หลอกค่ะ
เงินร้าน คือเงินร้าน และ ทุกคนควรใช้เงิน เป็นเงินเดือน จ่ายอะไรต้องจด ต้องนับ ต้องตัดบัญชี บ่อยๆ หารูรั่วเสมอ
6. คุณรู้รึเปล่า ว่าร้านคุณจะอยู่ได้ ต้องขายของขั้นต่ำ กี่ชิ้น
หลายคนไม่รู้ ขายไปวันๆ ขายไปนานๆ หมดไฟ นั่งท้าวคางรอหน้าร้าน ให้ลูกค้าเข้า แต่ถ้ามันมีเป้า ว่าวันนี้ ต้องขายไม่ต่ำกว่า เท่านี้ อย่างน้อย มันเป็นตัวกระตุ้น คุณ ให้ กระตือลือร้นมากขึ้น
และจะรู้ได้ คุณต้องรู้ก่อนว่า รายจ่ายต่อเดือน ของคุณ เท่าไหร่ ต่อปีเท่าไหร่ เป็นค่าใช้จ่าย ที่คงที่ หรือ มีปัจจัยอื่น ซึ่ง ส่วนมากไม่มีข้อมูล ไม่เคยรู้?
บางร้าน ค่าใช้จ่ายในการขายของร้าน แค่ 30-40% แต่ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเถ้าแก่ 70 - 60 % ของรายจ่าย อย่างงี้ จะไปทำราคาสู้กับร้านอื่นเขาได้อย่างไร? เถ้าแก่ ควรปรับระดับค้าใช้จ่ายลง
เช่น เคยจ่ายค่า รีเจนซี่ ทุกวัน วันละกลม ตกเดือนละ 15000 บาท เงินตรงนี้ สามารถ เอาไป ทำการตลาดได้สบายๆ
7. คุณเคย ประเมินไหม ว่าร้านคุณ มีคนรู้จักรึเปล่า เวลาชาวบ้านในละแวก เขาจะซื้อของประเภทที่คุณขาย เขานึกถึงชื่อร้านคุณบ้างไหม? และ เวลาคุณไปติดต่อที่ไหน หรือใคร ว่าคุณเป็นเจ้าของร้านนี้ เขาร้องอ๋อ หรือ ถามว่าอยู่ส่วนไหนของโลก?
เราเองเปิดร้านใหม่ๆ ก็เบื่อมาก ที่จะต้องอธิบาย ร้านไหน? ใช่หรอ? ไม่เคยเห็น ? ตรงนั้นมีร้านค้าด้วยหรอ? 555555 คือ ดูไร้ตัวตนมาก ไม่ต้องถามว่าแล้วชาวบ้านเขาจะนึกถึงเรารึเปล่า เวลาจะซื้อ 5555
สร้างแบรนด์ สร้างตัวตน สร้างการรับรู้ ซะ
1. โลโก้ + ชื่อร้านที่ติดหูง่ายจำง่าย
2. ในร้าน แสดง โลโก้ไว้ ให้เห็นชัดๆ บ่อยๆ
3. เช่า สถานี วิทยุ ( เดือนละ 2000 บาท) โฆษณา กรอกหู ล้างสมองลูกค้าไป
4. เสื้อผ้า ทั้งใส่เอง ทั้งของลูกน้อง ต้องเป็นยูนิฟอร์ม โลโก้ที่สกรีน ต้องสดใส่ สวย ใหญ่ เห็นแต่ไกล (เวลาลูกน้องขี่มอเตอร์ไซด์ไปไหน จะได้สร้างการรับรู้ โฆษณาไปในตัว)
5. เปิด เพจ เฟสบุค ซะ ซื้อโฆษณา ไป อาทิตย์ละ 200 บาทพอ เอาเฉพาะคนในจังหวัด กับพื้นที่ไกล้เคียง
6. ทำป้ายไวนิล ไปติดข้างถนนบ้าง ลักษณะคล้ายป้ายหาเสียง (ต้องขออนุญาติ หมวดการทางก่อนนะคะ) ค่าป้ายไม่แพง ถ้าจำไม่ผิด พร้อมโครงไม้ด้วยประมาณ 500 บาท
7. สนับสนุนกิจกรรม ในท้องที่บ้าง ตามกำลัง จะทำให้ชุมชน รู้สึก เรากับเขา เป็นพวกเดียวกัน รักกัน แล้วเขาก็จะสนับสนุนเราเช่นกัน อย่างร้านเรา จะให้ทุนการศึกษา เด็ก ( ทุนละ 500 บาท โรงเรียนละ 4 ทุน 3 โรงเรียน ไม่เยอะก็จริง แต่ให้เป็นกำลังใจเด็ก ให้พวกทุน เด็กชอบช่วยเหลือ คนอื่น เด็กรักการอ่าน เด็กมีวินัย และเราจะขอคุยขอชื่นชมเด็กที่ได้ทุน กลายเป็นทำความรู้จักกับเด็กๆรุ่นใหม่ สนิทกัน สนับสนุนกันต่อไป) ให้เสื้อทีมฟุตบอล วัยรุ่นในชุมชน สนับสนุนกลุ่มวัยรุ่นในชุมชน เวลาน้องๆเขาไปทำกิจกรรมต่างๆ ความสัมพันธ์เหล่านี้ เราให้ด้วยใจ น้องๆเขาก็จะรักเราด้วยใจ หมดปัญหา วัยรุ่นมายกล้อรถในร้านเลยค่ะ
8. เคยสืบบ้างไหม ว่าตอนนี้ ชาวบ้านเขาพูดถึงเราอย่างไงบ้าง?
อาหารของชาวบ้านคือการนินทา และการนินทาที่แซบสุดคือความชิปหายของคนรวย 55555 เงี่ยหูฟังเสมอนะคะ เราเอง จะผูกสมัครรักใครกับป้าหมอนวดบ้าง ป้าร้านก๋วยเตี๋ยวบ้าน พอมีอะไร ถ้าเขารักเราแล้ว มีอะไรเขาจะบอกเรา
หลายร้าน เจ็บมาก เกิดปัญหาร้ายแรงมาก แต่ไม่รู้ตัว
เช่น
ร้านขายวัสดุก่อสร้างร้านหนึ่ง เจอเฮียแกทีไรก็บ่น ไม่ไหว เศรษฐกิจแย่ ตายๆ แกบ่นทุกรอบที่เจอ แต่ความจริง แกโดน แบนด์ จากกลุ่มช่าง เนื่องจาก แกชอบขายของแพง แถมจัดของมาผิด แต่กลับไปเปลี่ยนไม่ได้ ไม่รับคืน เป็นแบบนี้บ่อยๆ จน ช่าง เขาพูดปากต่อปาก แถมจ้างช่างมาต่อเติมร้าน แต่ไปหักคอเขา จ่ายแค่ครึ่งเดียว(ตามประสาคนเค็ม) ทีนี้ ด้วยความแค้น ช่างคนนี้ไปไหน ก็จะเล่าแต่เรื่องร้ายๆ ของเฮียแก ทุกที่ ทุกเวลา นี่ก็ ผ่านมา 2 ปีแล้ว แก ยัง เล่า ต่อไป 555555+ ...... จบค่ะ ร้านเฮีย เงียบเป็นเป่าสาก
ร้านค้าร้านหนึ่ง ชาวบ้านลือกันว่าลูกน้องลักของออกมาขายเป็นแสน แต่ไม่มีใครไปบอกเฮีย ด้วยความคิดของชาวบ้าน ว่าเฮียเขารวยแล้ว สมควรโดน 5555 คิดได้ไง เราฟังแล้วหลอนมาก
ร้านค้าร้านหนึ่ง เจ้แกเป็นคนประหยัดมาก ไปซื้อของร้านไหนก็ต่อแล้วต่ออีก ต้องได้ราคาถูกที่สุด ของแถมต้องได้ คือ บุคคลิกกลายเป็นคนอยากได้ เป็นคนโลภ เป็นโลโก้และสโลแกนติดตัวแกไปแล้ว คือ เห็นหน้าแก แล้ว มีคำว่าเค็มอยู่บนหน้า ทีนี้แกเปิดร้านอะไร ขายอะไร มันก็ขายยาก ขายไม่ได้ เพราะ ชาวบ้านก็ฝังใจไปแล้ว ว่าแก โลภ ขายแพงแน่ๆ ไม่น่าไว้ใจ ..... และใช่ แกบ่น เช้า กลางวันเย็น ว่าเดี๋ยวนี้ทำมาค้าขายรำบาค (สมัยก่อนแกขายดีเพราะมีแค่ร้านแกร้านเดียว)
ร้านค้าร้านนึง เอาใจใส่ลูกค้าดี โฆษณาตัวเองได้ดี ขายดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุด ขายไม่ทัน ลูกน้องไม่พอ ที่อยู่มาก็ออกไปอีก เลยคิดว่า ทำเองได้ ขายเอง ทำเองทุกอย่าง ต่อมาเริ่ม ขาดสติ ตะคอกลูกค้า เริ่มส่งสินค้าให้ลูกค้าผิดๆถูกๆ อากาศร้อนยิ่งแล้วใหญ่ ชุลมุน กับการขาย การสั่งสินค้า อารมณ์แปลปรวน ความอดทนต่ำลง ลูกค้าพูดอะไรก็ผิดหู ไปหมด ลูกน้องเข้ามาใหม่ ก็ไม่ได้ดั่งใจเพราะทำได้ไม่เท่าตัวเอง และลูกน้องก็ออกไป เริ่ม ขายไม่ทัน เครียด เริ่มเกรี้ยวกราดคนในบ้าน จนในที่สุด ยอดขาย ก็หายไป ....... อันนี้แม่เราเอง 5555555 ทุกเช้า แม่จะตะคอกน้องเรา หรือ เรา ว่าโง่ ต่อหน้าลูกค้าตลอด 55555.... ปัญหาคือ แม่เราสร้างระบบมารับความเติมโตไม่ทัน และติดกับนิสัย เถ้าแก่ต้องทำเองทุกขั้นตอน ฝึกลูกน้อง หรือสร้างระบบงานไม่ได้ ..... เพราะแม่เราเป็นเถ้าแก่ที่ปั้นร้านมาจนขายดี ทำให้แม่ คิดเสมอว่า ต้องแบบฉันเท่านั้น ถึงจะถูก แบบอื่นคือผิด ทำให้การทำงานในครอบครัวยากมาก ....
ตอนนี้ยอดขายแม่ก็หายไปครึ่งนึงแล้ว แกเลยเริ่มๆ เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนวิธีการทำงานบ้าง และเมื่อ แม่เห็น สาขาเราไปได้ดี เลย เอาวิธีที่เราใช้ ไปปรับใช้บ้าง จากที่เราเคยอยากหนีออกจากบ้านตอนช่วยงานแม่ และแม่ ด่าเราเช้ากลางวันเย็น แต่พอเราออกไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ที่อื่น แม่เราก็สงสารเราพยายามจะช่วยเราทุกอย่าง ในวันที่แม่เห็นส้นเท้าเรา ว่ามันแตกจน เป็นเท้ากอลั่มกับโฟรโด้ แม่เราถึงกลับร้องไห้ออกมา ไปบนบานศาลกล่าวไปทั่วให้เรา ขายได้ ...... แม่ก็คือแม่ ยิ่งดูกรงกรรม ก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่คือเจ้ย้อย 55555 พลังรักของแม่ มหาศาล จริงๆ แต่การทำงานกับแม่ก็เหมือนนรกบนดินชัดๆ 55555
เป็นเถ้าแก่บ้านนอก ทำอย่างไงให้รอดในการเปลี่ยนแปลง ตอน 5 Checklist ที่ต้องทำหลังเลือกตั้ง
เราอยากแนะนำอะไรพวกท่านหลายๆอย่าง แต่มันยาก เพราะเราเป็นเด็ก แต่การที่มีบทความในพันทิป หรือตามLine แชร์ ไปจากใครที่ไม่ใช่คนรู้จัก พวกท่านจะเชื่อ และ ใส่ใจมากกว่า บางที ไกล้กันมากไปก็เกิดกำแพง ทำให้พวกท่านไม่ได้ยินในสิ่งที่ พวกเราคนรุ่นใหม่จะสื่อสารไม่ได้ค่ะ
อีกอย่างตามต่างจังหวัด เราจะอยู่รวมกันเป็นชุมชนตลาด ดังนั้น จะเป็นทำเลทองรึเปล่า จำเป็นมากที่ต้องมีร้านค้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูด เพื่อที่ลูกค้าที่ออกมาจากไร่จากนา เลือกขับรถมา ตลาดบ้านเรา มากกว่า ตลาดถัดไป ดังนั้น ต้องร่วมใจกัน ค้าขาย ไม่ใช่ ร่วมกันท้อแท้นะคะ .... สู้ๆไปด้วยกันค่ะ
หัวข้อต่อไปนี้ ขอให้กลับไปทำเลยทันที นะคะ ทำด้วยใจหึกเหิม สนุกกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และ การขายของเรา อย่าทำด้วยความเครียด หรือหดหู่ เพราะมันจะไม่ได้ผลค่ะ
1. ลองทำใจกลางๆขับรถผ่านร้านตัวเอง
ร้านเราน่าเข้าไหม? มีผ้าใบบังแดดรุงรัง บังจนไม่รู้ว่าขายอะไรรึปล่า? มีอะไรบังร้านเราบ้าง? ถ้าลูกค้าขับรถผ่านแบบเราจะสังเกตุเห็นร้านหรือไม่? มองเข้าไปดูมีชีวิตชีวา หรือเงียบเหงา มืด ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่
คนเรา ชอบอะไรที่คึกคัก ยิ่งร้านไหนดูคนเยอะ ดูมีการเคลื่อนไหว ภายใน เราก็จะตีความทันทีว่า ร้านนี้น่าเข้า หลายคนเถียงว่าจะไปเอามาจากไหนคนคึกคัก เราบอกเลยว่าก็ต้องหาทาง ตอนเราเองมาเปิดสาขาแยกจากแม่ บอกเลยว่าผีแทบหลอก คนขับรถเลยไปตลอดไม่แวะเลย ใครแวะมาที เราก็ดีใจแทบเข้าไปอุ้มเดิน วันๆนึ่ง ชะเง้อคอไปมา หวังว่าจะมีคนเข้า จุดธูปไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเช้า มำวัตรเย็น แถม คำแปล และแถมคาถาบูชา เจ้าแม่นางกวักชุดใหญ่ จนจบ ก็ยังไม่มีใครมา 55555 คือ ถูร้านรอลูกค้าจนกระเบื้องจะถลอก 5555 แต่พอเรามาคิดดู เราเองก็ไม่เข้าร้านตัวเองเหมือนกัน เพราะ ไม่รู้จักและไม่อยากเสียเวลาแวะ เราเลย ปรับปรุงดังนี้
1.1 ทาสี หน้าร้านให้สดใสใหม่
1.2 ป้ายหน้าร้านต้อง ใหญ่ชัดเจนว่าขายอะไร ขับรถผ่านไวๆ ก็ยังต้องเห็น ป้ายตัวหนังสือไม่ต้องเยอะ แต่ต้องเป็นรูป สิ่งที่เราจะขายตัวเด่นๆหลักๆ ราคาพิเศษ
1.3 ในร้านเราเปิดเพลงลูกทุ่งคลอๆ(อย่าให้ดังเกินไป) พวกเพลงยุคยอดรัก ยุค ศรเพร็ช (คือ เป้าหมายหลักของลูกค้าเรา อายุประมาณ 40 ปีขึ้น(เถ้าแก่ไร่อ้อย หรือ ชาวนาชาวไร่ ) และเพลงพวกนี้ชอบเปิดตามงานบวช งานแต่ง งานขึ้นบ้าน ซึ่ง ให้ความรู้สึกถึงความสังสรรค์ สดใส และ เพลงยุคนี้ก็ ทำนองไม่กระโชกโหกฮากไล่ลูกค้า )
1.4 เราเอารถ พ่อ รถน้อง รถพี่ มาจอด ทำคล้ายคนแวะเยอะ 55555+
1.5 หน้าร้าน ต้องจัดให้เป็นระเบียบ ของขายต้องเต็มชั้น ไม่มีฝุ่น บริเวณที่ลูกค้ามองเห็นต้องไม่มี ของใช้ส่วนตัวเช่น ราวตากผ้า เตียงนอน คือ หลายร้านมาก ที่พอเข้าไปแล้วเจอเฮีย นอนดูทีวีขายของอยู่ 55555 คือ รู้สึก เกรงใจเฮีย ไม่กล้ารบกวนซื้อ 5555) ตัวเราคนขายก็ควรอยู่หน้าร้าน พร้อมขายพร้อมบริการ แต่ต้องไม่ถึงขนาดยัดเยียด
2. ร้านเราจอดรถสะดวกหรือไม่ หรือ ไม่มีที่ให้จอดรถเลย?
ตอนนี่ทุกครัวเรือนในบ้านนอกขับรถกระบะรถเก๋งนะคะ แถมรถรุ่นใหม่ๆ อย่าง ฟอร์ด หรือ เชฟโรเล็ต ก็กำลังนิยม และรถเขาใหญ่มาก ร้านเรามีที่จอดรถสะดวกหรือไม่ ถ้ามีแล้วมันเพียงพอหรือเปล่า มีมอเตอร์ไซด์จอดสะเปะสะปะ ขวางหรือไม่?
ถ้าลูกค้าไม่สะดวก หรือมีความยุ่งยากที่จะเจ้าถึงร้านเรา เขาไม่มีความอดทนพอนะคะ คนเดียวนี้ใจร้อน ต้องการความง่าย สะดวก
3. สังเกตุ ลูกค้า ที่เข้าร้านเราต้องนี้ เป็นคนรุ่นไหน? อาชีพอะไร? จำนวนลดลงรึเปล่า?
อย่างใครที่เคย อ่านตอนเก่าๆมาจะรู้ว่า เราเปิดสาขา แยกออกมาจาก ร้านของแม่ และเวลาที่เราไปช่วยร้านแม่ เราสังเกตุเห็นชัดเจนมากว่า มีแต่ลูกค้าขาประจำ ที่แก่มาก มากมาก แทบไม่มีคนอายุ 15-30 เข้าร้านแม่เราเลย แล้วแม่เราก็บ่นตลอดว่ายอดขาย ตกมาก เครียด นั่นก็เพราะลูกค้าของแม่หลายคน ปลดเกษียนแล้วรุ่นลูกขึ้นมาแทน และเขาไม่เลือกใช้บริการบ้านเรา เหมือนที่พ่อเขาเคย ลูกค้าที่สนิทกันและมีกำลังซื้อสูงหลายลาย ทะยอยตายจากเราไป และเรา ไม่เคยได้เจ้าใหม่เข้ามาแทน
นั่นหมายถึง เราตกรุ่น ไปซะแล้ว ต้องหันมาปรับภาพลักษณ์ และ เข้าถึงคนรุ่นใหม่ๆ เราต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ลูกค้ารุ่นใหม่ๆ หันมามองมาสังเกตุ และ ต้องพัฒนาแบรนด์หรือร้านเรา ให้ถูกใจเขาให้ได้
4. ของที่เราขาย กับ ของที่ตลาดนัดขาย เหมือนกันไหม? ราคาใครถูกกว่า? ใครมีรุ่นใหม่ หรือ มีให้เลือกมากกว่า?
ถ้าคุณตอบว่า สินค้าที่คุณขาย ตลาดนัดก็ขาย แถมถูกกว่าคุณมาก คุณต้อง พิจารณาร้านตัวเองใหม่ ว่าทำยังไง ให้ถูกกว่า หลากหลาย กว่า ทันกระแสมากกว่า และทำให้ลูกค้ารู้ด้วย !!! ( หลายร้านพยายาม ปรับปรุงขายถูกกว่า แบบใหม่กว่า ร้านติดแอร์เดินสบายกว่า แต่..... ใครจะรู้หล่ะ ถ้าไม่ประกาศตัวออกไปดังๆ หลายร้านมัวแต่รอลูกค้าให้มาเจอ ซึ่งกว่าจะมาเจอ ทุนจมหมดแล้ว )
5. ร้านคุณ สมาชิกในร้านสามัคคี รักกัน หรือ ด่าทอกันเช้ากลางวันเย็น ถ้าครอบครัวไม่พร้อม อย่าคิดจะไปสู้ ศึกค้าขาย หลายบ้านมัวแต่ตามจับเมียน้อย มัวแต่ทะเลาะกับลูก ไปๆมาๆรู้ตัวอีกที การค้าซบเซาไปซะแล้ว เพราะขาดความใส่ใจ บางร้าน พอขายดีมาก ร่ำรวย ก็เริ่มมีปัญหาผัวน้อยเมียน้อย หรือ ลูกเขย ลูกสะใภ้ ทุกคนหยิบเงินกันทีละร้อยทีละพัน ทีละหมื่น เหมือนไม่มาก ผ่องถ่ายเงินสดออกไปใช้กับเรื่องส่วนตัวกันเต็มที่ (หลายร้านไม่ทำบัญชี เงินหายไม่รู้ตัว) รู้ตัวอีกที ไม่มีเงินซื้อของเข้าร้านแล้ว
ทำบัญชี ควบคุมเงินและสินค้าทั้งหมด ซะ ความขี้เกียจคีย์ข้อมูล หรือ เอาสินค้าเข้าระบบ มันไม่คุ้มกับความเสียหาย ที่ซ่อนอยู่หลอกค่ะ
เงินร้าน คือเงินร้าน และ ทุกคนควรใช้เงิน เป็นเงินเดือน จ่ายอะไรต้องจด ต้องนับ ต้องตัดบัญชี บ่อยๆ หารูรั่วเสมอ
6. คุณรู้รึเปล่า ว่าร้านคุณจะอยู่ได้ ต้องขายของขั้นต่ำ กี่ชิ้น
หลายคนไม่รู้ ขายไปวันๆ ขายไปนานๆ หมดไฟ นั่งท้าวคางรอหน้าร้าน ให้ลูกค้าเข้า แต่ถ้ามันมีเป้า ว่าวันนี้ ต้องขายไม่ต่ำกว่า เท่านี้ อย่างน้อย มันเป็นตัวกระตุ้น คุณ ให้ กระตือลือร้นมากขึ้น
และจะรู้ได้ คุณต้องรู้ก่อนว่า รายจ่ายต่อเดือน ของคุณ เท่าไหร่ ต่อปีเท่าไหร่ เป็นค่าใช้จ่าย ที่คงที่ หรือ มีปัจจัยอื่น ซึ่ง ส่วนมากไม่มีข้อมูล ไม่เคยรู้?
บางร้าน ค่าใช้จ่ายในการขายของร้าน แค่ 30-40% แต่ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเถ้าแก่ 70 - 60 % ของรายจ่าย อย่างงี้ จะไปทำราคาสู้กับร้านอื่นเขาได้อย่างไร? เถ้าแก่ ควรปรับระดับค้าใช้จ่ายลง
เช่น เคยจ่ายค่า รีเจนซี่ ทุกวัน วันละกลม ตกเดือนละ 15000 บาท เงินตรงนี้ สามารถ เอาไป ทำการตลาดได้สบายๆ
7. คุณเคย ประเมินไหม ว่าร้านคุณ มีคนรู้จักรึเปล่า เวลาชาวบ้านในละแวก เขาจะซื้อของประเภทที่คุณขาย เขานึกถึงชื่อร้านคุณบ้างไหม? และ เวลาคุณไปติดต่อที่ไหน หรือใคร ว่าคุณเป็นเจ้าของร้านนี้ เขาร้องอ๋อ หรือ ถามว่าอยู่ส่วนไหนของโลก?
เราเองเปิดร้านใหม่ๆ ก็เบื่อมาก ที่จะต้องอธิบาย ร้านไหน? ใช่หรอ? ไม่เคยเห็น ? ตรงนั้นมีร้านค้าด้วยหรอ? 555555 คือ ดูไร้ตัวตนมาก ไม่ต้องถามว่าแล้วชาวบ้านเขาจะนึกถึงเรารึเปล่า เวลาจะซื้อ 5555
สร้างแบรนด์ สร้างตัวตน สร้างการรับรู้ ซะ
1. โลโก้ + ชื่อร้านที่ติดหูง่ายจำง่าย
2. ในร้าน แสดง โลโก้ไว้ ให้เห็นชัดๆ บ่อยๆ
3. เช่า สถานี วิทยุ ( เดือนละ 2000 บาท) โฆษณา กรอกหู ล้างสมองลูกค้าไป
4. เสื้อผ้า ทั้งใส่เอง ทั้งของลูกน้อง ต้องเป็นยูนิฟอร์ม โลโก้ที่สกรีน ต้องสดใส่ สวย ใหญ่ เห็นแต่ไกล (เวลาลูกน้องขี่มอเตอร์ไซด์ไปไหน จะได้สร้างการรับรู้ โฆษณาไปในตัว)
5. เปิด เพจ เฟสบุค ซะ ซื้อโฆษณา ไป อาทิตย์ละ 200 บาทพอ เอาเฉพาะคนในจังหวัด กับพื้นที่ไกล้เคียง
6. ทำป้ายไวนิล ไปติดข้างถนนบ้าง ลักษณะคล้ายป้ายหาเสียง (ต้องขออนุญาติ หมวดการทางก่อนนะคะ) ค่าป้ายไม่แพง ถ้าจำไม่ผิด พร้อมโครงไม้ด้วยประมาณ 500 บาท
7. สนับสนุนกิจกรรม ในท้องที่บ้าง ตามกำลัง จะทำให้ชุมชน รู้สึก เรากับเขา เป็นพวกเดียวกัน รักกัน แล้วเขาก็จะสนับสนุนเราเช่นกัน อย่างร้านเรา จะให้ทุนการศึกษา เด็ก ( ทุนละ 500 บาท โรงเรียนละ 4 ทุน 3 โรงเรียน ไม่เยอะก็จริง แต่ให้เป็นกำลังใจเด็ก ให้พวกทุน เด็กชอบช่วยเหลือ คนอื่น เด็กรักการอ่าน เด็กมีวินัย และเราจะขอคุยขอชื่นชมเด็กที่ได้ทุน กลายเป็นทำความรู้จักกับเด็กๆรุ่นใหม่ สนิทกัน สนับสนุนกันต่อไป) ให้เสื้อทีมฟุตบอล วัยรุ่นในชุมชน สนับสนุนกลุ่มวัยรุ่นในชุมชน เวลาน้องๆเขาไปทำกิจกรรมต่างๆ ความสัมพันธ์เหล่านี้ เราให้ด้วยใจ น้องๆเขาก็จะรักเราด้วยใจ หมดปัญหา วัยรุ่นมายกล้อรถในร้านเลยค่ะ
8. เคยสืบบ้างไหม ว่าตอนนี้ ชาวบ้านเขาพูดถึงเราอย่างไงบ้าง?
อาหารของชาวบ้านคือการนินทา และการนินทาที่แซบสุดคือความชิปหายของคนรวย 55555 เงี่ยหูฟังเสมอนะคะ เราเอง จะผูกสมัครรักใครกับป้าหมอนวดบ้าง ป้าร้านก๋วยเตี๋ยวบ้าน พอมีอะไร ถ้าเขารักเราแล้ว มีอะไรเขาจะบอกเรา
หลายร้าน เจ็บมาก เกิดปัญหาร้ายแรงมาก แต่ไม่รู้ตัว
เช่น
ร้านขายวัสดุก่อสร้างร้านหนึ่ง เจอเฮียแกทีไรก็บ่น ไม่ไหว เศรษฐกิจแย่ ตายๆ แกบ่นทุกรอบที่เจอ แต่ความจริง แกโดน แบนด์ จากกลุ่มช่าง เนื่องจาก แกชอบขายของแพง แถมจัดของมาผิด แต่กลับไปเปลี่ยนไม่ได้ ไม่รับคืน เป็นแบบนี้บ่อยๆ จน ช่าง เขาพูดปากต่อปาก แถมจ้างช่างมาต่อเติมร้าน แต่ไปหักคอเขา จ่ายแค่ครึ่งเดียว(ตามประสาคนเค็ม) ทีนี้ ด้วยความแค้น ช่างคนนี้ไปไหน ก็จะเล่าแต่เรื่องร้ายๆ ของเฮียแก ทุกที่ ทุกเวลา นี่ก็ ผ่านมา 2 ปีแล้ว แก ยัง เล่า ต่อไป 555555+ ...... จบค่ะ ร้านเฮีย เงียบเป็นเป่าสาก
ร้านค้าร้านหนึ่ง ชาวบ้านลือกันว่าลูกน้องลักของออกมาขายเป็นแสน แต่ไม่มีใครไปบอกเฮีย ด้วยความคิดของชาวบ้าน ว่าเฮียเขารวยแล้ว สมควรโดน 5555 คิดได้ไง เราฟังแล้วหลอนมาก
ร้านค้าร้านหนึ่ง เจ้แกเป็นคนประหยัดมาก ไปซื้อของร้านไหนก็ต่อแล้วต่ออีก ต้องได้ราคาถูกที่สุด ของแถมต้องได้ คือ บุคคลิกกลายเป็นคนอยากได้ เป็นคนโลภ เป็นโลโก้และสโลแกนติดตัวแกไปแล้ว คือ เห็นหน้าแก แล้ว มีคำว่าเค็มอยู่บนหน้า ทีนี้แกเปิดร้านอะไร ขายอะไร มันก็ขายยาก ขายไม่ได้ เพราะ ชาวบ้านก็ฝังใจไปแล้ว ว่าแก โลภ ขายแพงแน่ๆ ไม่น่าไว้ใจ ..... และใช่ แกบ่น เช้า กลางวันเย็น ว่าเดี๋ยวนี้ทำมาค้าขายรำบาค (สมัยก่อนแกขายดีเพราะมีแค่ร้านแกร้านเดียว)
ร้านค้าร้านนึง เอาใจใส่ลูกค้าดี โฆษณาตัวเองได้ดี ขายดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุด ขายไม่ทัน ลูกน้องไม่พอ ที่อยู่มาก็ออกไปอีก เลยคิดว่า ทำเองได้ ขายเอง ทำเองทุกอย่าง ต่อมาเริ่ม ขาดสติ ตะคอกลูกค้า เริ่มส่งสินค้าให้ลูกค้าผิดๆถูกๆ อากาศร้อนยิ่งแล้วใหญ่ ชุลมุน กับการขาย การสั่งสินค้า อารมณ์แปลปรวน ความอดทนต่ำลง ลูกค้าพูดอะไรก็ผิดหู ไปหมด ลูกน้องเข้ามาใหม่ ก็ไม่ได้ดั่งใจเพราะทำได้ไม่เท่าตัวเอง และลูกน้องก็ออกไป เริ่ม ขายไม่ทัน เครียด เริ่มเกรี้ยวกราดคนในบ้าน จนในที่สุด ยอดขาย ก็หายไป ....... อันนี้แม่เราเอง 5555555 ทุกเช้า แม่จะตะคอกน้องเรา หรือ เรา ว่าโง่ ต่อหน้าลูกค้าตลอด 55555.... ปัญหาคือ แม่เราสร้างระบบมารับความเติมโตไม่ทัน และติดกับนิสัย เถ้าแก่ต้องทำเองทุกขั้นตอน ฝึกลูกน้อง หรือสร้างระบบงานไม่ได้ ..... เพราะแม่เราเป็นเถ้าแก่ที่ปั้นร้านมาจนขายดี ทำให้แม่ คิดเสมอว่า ต้องแบบฉันเท่านั้น ถึงจะถูก แบบอื่นคือผิด ทำให้การทำงานในครอบครัวยากมาก ....
ตอนนี้ยอดขายแม่ก็หายไปครึ่งนึงแล้ว แกเลยเริ่มๆ เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนวิธีการทำงานบ้าง และเมื่อ แม่เห็น สาขาเราไปได้ดี เลย เอาวิธีที่เราใช้ ไปปรับใช้บ้าง จากที่เราเคยอยากหนีออกจากบ้านตอนช่วยงานแม่ และแม่ ด่าเราเช้ากลางวันเย็น แต่พอเราออกไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ที่อื่น แม่เราก็สงสารเราพยายามจะช่วยเราทุกอย่าง ในวันที่แม่เห็นส้นเท้าเรา ว่ามันแตกจน เป็นเท้ากอลั่มกับโฟรโด้ แม่เราถึงกลับร้องไห้ออกมา ไปบนบานศาลกล่าวไปทั่วให้เรา ขายได้ ...... แม่ก็คือแม่ ยิ่งดูกรงกรรม ก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่คือเจ้ย้อย 55555 พลังรักของแม่ มหาศาล จริงๆ แต่การทำงานกับแม่ก็เหมือนนรกบนดินชัดๆ 55555