***เนื่องจากใช้ระยะนานในการเขียนกะทู้นี้ขึ้นมา สามารถอ่านเรื่องราวทั้งหมด ได้ที่ความคิดเห็นที่ 4, 5, 23, 116, 117,121,126 ค่ะ***
" ชีวิตของมนุษย์ทุกคนต้องพบกับความสูญเสีย การพลัดพราก แต่มันคงมีไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เรียกว่ามันคือที่สุดของความสูญเสีย
นั่นคือการสูญเสียคนที่ บุพการี ผู้ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต "
เรารู้ว่ากระทู้นี้มันยาวมากก่อนอื่นเลยเราเลยอยากจะสรุปสิ่งที่ได้หรือข้อคิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในวันนี้
- ชีวิตไม่อะไรแน่นอน ทำทุกอย่างให้เต็มที่และดีที่สุดในทุกๆหน้าที่ เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเราจะไม่รู้สึกเสียใจว่าเรายังทำหน้าที่ไม่ครบถ้วน "ทำทุกวันให้เหมือนวันของสุดท้ายในชีวิต" ข้อความนี้มันยังใช้เตือนใจได้จริงเสมอ
- ดูแลพ่อแม่ และคนในครอบครัวให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ เพราะในวันที่เราโตขึ้นท่านก็แก่ลงไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่รู้ว่าวาระสุด้ทายจะมาถึงเมื่อไร
- หากใครที่กำลังฟูมฟายเสียใจในเรื่องของความรัก เราอยากจะบอกว่า ถ้าวันนี้คุณรักตัวเอง และรู้ว่าพ่อแม่รักและห่วงคุณมากขนาดไหน ที่คุณเสียใจมาทั้งหมด มันจะใช้เวลาแค่แปปเดียวจริงๆ
- ในทุกๆสถานการณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติ ค่อยคิดๆ ค่อยๆตัดสินใจ ใช้ชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท
สวัสดีค่ะ จากชื่อกระทู้หลายๆคนคงพอจะคาดเดาได้ เราได้สูญเสียแม่ไปด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันเจากกล้ามเนื้อหัวใจโต มันเป็นการสูญเสียที่กะทันหันมากจริงๆ ผ่านมาแล้วประมาณสองสัปดาห์แต่ความรู้สึกในวันนั้นมันยังคงชัดเจนอยู่เสมอ เราอยากเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ สถานการณ์ที่เราได้พบเจอ อยากให้เป็นแนวทางในการให้กำลังคนใจหรือทำความเข้าใจคนที่เจอเหตุการณ์แบบเรา และที่สำคัญที่สุดเราอยากระบายเพราะหลายวันที่ผ่านมาเราไม่สามารถพูดหรือคุยอะไรกับใครได้ มันจุก แค่คิดก็น้ำตาไหล เราเลยเลือกที่จะเขียนเพื่อเป็นไดอารี่ของตัวเองหรืออาจจะเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังเจอสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียหรือพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักเช่นเรา
เริ่มกันเลยแล้วกันนะคะ เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนใน กทม ชีวิตตั้งตั้งแต่เล็กคนโต เราค่อนข้างสนิทกับแม่ เหมือนทั้งชีวิตมีแค่แม่นั่นแหละ ฐานะทางบ้านเราก็ปานกลางค่ะ มีกินมีใช้บ้าง ไม่ถึงกับลำบาก แม่เราเป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นเพื่อน เรามีน้องช่าย 1 คน แต่เนื่องจากห่างกันถึง 12 ปีก็เลยไม่ค่อยสนิทมากนัก เหมือนแม่กับลูกมากกว่าพี่กับน้อง เราใช้ชีวิตเรียนทั้งตรี และโท จนทำงานอยู่ที่ กทม ทั้งหมด แทบจะเรียกได้กว่าไม่คิดจะกลับไปทำงานที่บ้านเลย ทำใจไม่ได้กับเงินเดือนที่ได้รับ ตั้งแต่เราเรียนจบเมื่อปี 55 เราได้ทำงานที่ค่ายรถยนต์ที่นึ่งที่สีรถสีแดงสวยๆ แต่ทำได้ปีนึงก็ลาออกเพราะทนสังคมที่จ้องจะแทงข้างหลังตลอดเวลาไม่ไหว คือลาออกเลยแบบกลับไปอยู่บ้านเลยงานใหม่ก็ยังไม่มีนะ แม่เราก็น่ารักที่สุดอีกนั่นแหละ บอกว่ากลับมาพักแล้วค่อยหางานใหม่ ผ่านไปสามเดือนเราได้งานที่ใหม่ เป็นองค์กรที่มั่นคง มีชื่อเสียงในระดับนึง ตั้งแต่เราทำงานที่นี่ด้วยสวัสดิการต่างๆ หรือการทำงานตลอดจนสภาพแวดล้อมในการทำงานมันดีมาก เราก็เลยเริ่มวางแผนซื้อคอนโด กลับบ้านก็จะพาแม่ไปกินข้าว ไปชอปปิ้ง มันอาจจะไม่ได้เยอะเท่ากับคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ตลอด แต่ในส่วนของเรา เราเต็มที่แล้ว หลังจากโบนัสปีแรกออก เราซื้อทองให้แม่ หลังจากนั้นตั้งใจว่าทุกปี จะพาแม่เที่ยวต่างจังหวัด ตลอดระยะเวลา 5 ปีเราทำได้แบบที่ตั้งใจ หรูบ้าง ธรรมดาบ้าง แต่ก็พยายามจะพาไป
จนมาในปีนี้วันที่โบนัสออกในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เราก็ทำเหมือนทุกครั้ง โทรหาแม่ บอกแม่ว่า " โบนัสหนูออก 27 กุมภานี้นะ เราไปเที่ยวกันมั้ย" เสียงที่แม่ตอบมาว่า ไปๆ ทั้งที่เราก็ยังไม่รู้จะไปไหน มันทำให้เราร้องให้ มันดีใจอย่างบอกไม่ถูก ปกติแม่เราไม่ชอบไปไหนเท่าไร แต่ตั้งแต่เราทำงานดูแลตัวเองได้ ชวนไปไหน ก็ไปหมด แต่ละทริปนอนห้าดาวบ้าง ธรรมดาบ้าง แต่เราไม่เคยให้แม่ลำบากเลยเรามีความสุขทุกครั้งที่เห็นแม่ยิ้ม มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ หลังจากที่แม่ขึ้นมาหาเราที่ กทมในวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมพาพันธ์ แต่เรายังต้องทำงานอยู่ในวันศุกร์เนื่องจากมีงานด่วนที่ต้องส่ง เราก็ให้แม่อยู่ที่คอนโด ซื้ออาหาร ผลไม้ ขนม นม ทุกอย่างไว้ พอวันเสาร์เราก็พาแม่ไปท่องกรุงเทพ พาไปนั่งเรือเจ้าพระยา พาไปไหว้พระ วัดอรุณราชวราราม วัดโพธิ์ และวัดระฆัง พอช่วงบ่ายเราก็จัดการโทรจองโต๊ะ เพื่อจะพาแม่กินข้าวเพื่อชมวิววัดอรุณ ที่ร้าน The Deck by arun residence ก็นั่งกินข้าวไปดูวิวไป
วันนั้นเป็นอีก 1 วันที่เราโครตรมีความสุข แต่เราไม่รู้เลยว่า ความสุขแบบนี้มันจะอยู่กับเราอีกไม่นาน หลังจากวันที่เราไปวัดกัน เราก็ต้องไปทำงานอีกในวันจันทร์ก็ทำเหมือนเดิมเตรียมอาหาร ขนม นม น้ำผลไม้ทุกสิ่งที่เราหันไปเห็นแล้วคว้าติดมือมาไว้ให้แม่ มาใส่ตู้เย็นไว้ เราก็ไปทำงานปกติ กลับมาตอนเย็นก็มาพร้อมกับ ของกินเต็มไม้เต็มมือเช่นเดิม และในวันอังคารและพุธเราลาพักร้อนไว้เพื่อจะพาแม่ไปเที่ยว เราตัดสินใจพาแม่ไปเกาะล้าน
เราไม่อยากให้แม่ต้องเดินทางเยอะ แล้วเราเองก็ไม่ได้มีรถส่วนตัว เราก็เลยตัดสินใจพาแม่ไปเกาะล้าน ออกเดินทางตั้งแต่เช้า ขึ้นรถตู้ที่เอกมัย ไปถึงท่าเรือก็ลงเรือได้เลย ถึงเกาะล้านก็ประมานเกือบเที่ยง เราเลือกที่พัก แบบ sew view เป็นห้องพักที่มีสองชั้นสำหรับนั่งดูวิว เราเห็นแม่ยิ้ม แม่มีความสุข เราดีใจ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ บางครั้งชีวิตเราต้องการแค่นี้จริงๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่เกาะล้าน แม่เรากินได้ปกติ เรียกว่ากินเก่งเลยล่ะ ซื้ออะไรให้กินได้หมด นอนหลับ ไม่มีอาการใดเลยว่า เหนื่อยหรือไม่สบาย แต่แม่เรามีโรคประจำตัวนะ คือเบาหวานและความดัน แต่ก็กินยาตลอด ในส่วนของทริปเกาะล้านในวันนั้นเราถ่ารูปกับแม่แบบสนุกสนานมาก ถ่ายจนโทรศัพท์เมมเต็มเลย ตอนนั้นไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ซึ่งปกติเราไปเที่ยวก็ถ่ายรูปกันแบบนิดๆหน่อยๆ แต่วันนั้นเราอยากถ่าย อยากถ่ายเก็บไว้เยอะๆ ทุกๆ มุมนั่นคือความคิดตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พอมาตอนนี้ขอบคุณที่ตอนนั้นถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะมันเป็นทริปสุดท้ายที่เราจะได้ไปเที่ยวกับแม่
จบทริปเกาะล้านเราก็พาแม่กลับกรุงเทพถึงกรุงเทพช่วงบ่ายของวันพุธ รีบกลับมาเพราะไม่อยากให้แม่เพลีย วันพฤหัสบดีเราต้องไปทำงานปกติ และเราก็ถามแม่นะว่า อยากกลับบ้านหรือยัง เดี๋ยววันเสาร์ค่อยกลับนะจะได้ไปส่ง เช้าวันพฤหัสบดีเราตื่นเช้ามาอุ่นน้ำเต้าหู้ กับข้าวและขนมไว้ให้แม่ ก่อนออกจากห้องก็ถามเหมือนทุกครั้งอยากกินเป็นพิเศษมั้ย เดี๋ยวตอนเย็นแวะซื้อก่อนเข้ามา แม่บอกว่าเจอแก้วมังกรซื้อเข้ามาด้วยนะนั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ก็ขึ้นรถไปทำงานปกติ ภาพก่อนออกจากห้องแม่นั่งยิ้มดูข่าวอยู่ที่โซฟา จิ๊บน้ำเต้าหู้ ตอนเที่ยงเราก็โทรหาแม่ปกติ แต่ไม่ได้รับสาย ด้วยความที่เราหยุดงานไปสองวันงานก็ค่อนข้าเยอะ ก็ไม่ได้คุยกับแม่ในแชทเท่าไร จนบ่ายกว่า ก็พยายามโทรๆ แต่ก้ยังไม่รับคิดว่าแม่หลับอยู่เดี๋ยวตอนเลิกงานโทรใหม่ เพื่อจะถามแม่ว่าอยากกิน ข้าวต้ม โจ๊ก ก๋วยจั๊บ หรืออะไรอีกมั้ย แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น เราทักไปในไลน์ ในเฟส โทรเป็นสิบๆ สาย พอเลิกงาน ระหว่างทางจากอารีย์ถึงอ่อนนุช เรารู้แล้วว่ามันผิดปกติ แม่ไม่เคยไม่ตอบแชท ไม่อ่านเลยแบบนี้เพราะปกติแม่จะชอบดูคลิปหมาแมวใน Tablet ลงจากบีทีเอส วิ่งไปขึ้นวินมอไซต์ มาถึงคอนโด แม่ก็ยังไม่รับสายอีก ใจคอเราไม่ดีแล้ว น้าตาคลอตลอดเวลา มันกลัวไปหมดแต่ก็ภาวนาว่าให้แม่แค่นอนหลับอยู่ เราอาจจะเผลอไปปิดเสียงโทรศัพท์แม่ไว้ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะคิดเข้าข้างตัวเองได้เวลานั้น แต่ทันทีที่เราลงจากวินมอไชต์มองเข้าไปในคอนโด ไฟห้องเราปิดสนิท ตอนนั้นระยะเวลาเกือบทุ่มแล้ว ข้างนอกเริ่มมืดหมดแล้ว แต่ไปในห้องเรามืดสนิท เราวิ่งขึ้นห้องโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งไวขนาดไหน สมองสั่งแค่ไปห้องให้ไวที่สุด และเหตุการณ์หลังจากนั้นมันจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล
ทันทีที่เราไปกุญแจเข้าไปในห้อง ภาพที่เราเห็นคือแม่นอนอยู่ที่โซฟา พัดลมยังเปิดอยู่ คิดว่าแม่นอนหลับ ถามแม่ว่าทำไมไม่เปิดไฟ หลับหรอ แต่แม่ไม่ตอบเรา เปิดไฟเสร็จเราก็จับตัวแม่ วินาทีที่มือเราไปแตะแม่ แม่ตัวแข็งแล้ว วินาทีนั้นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตพังทลายลงมาตรงหน้า ตกใจทำอะไรไม่ถูกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไม่รู้จะโทรไปไหน ยืนงง แล้วมองแม่ที่นอนหลับ ถามตัวเองว่ามันเรื่องจริงใช่มั้ย ตั้งสติได้ก็โทรหารุ่นพี่คนนึงเพราะเราคิดว่าเค้าน่าจะตั้งสติได้ดีที่สุด สามารถช่วยเราได้ในช่วงเวลานั้น เราบอกเค้าว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ได้ยินกลับมาบอกว่า ตั้งสตินะ โทรหาตำรวจ วางสายจากตำรวจเราก็โทรหาเจ้านาย เพราะในเวลาแบบนั้นเรานึกถึงใครไม่ออกจริงๆ โทรบอกญาติ และโทรหาน้องชายที่อยู่ที่ตราด มันพูดออกไปยากมาก พูดไม่ออกน้ำตาไม่รู้มาจากไหน หลังจากที่โทรบอกญาติ สายโทรศัพท์กระหน่ำโทรเข้ามาไม่หยุด ทั้งเครื่องแม่และเครื่องตัวเอง เราไม่รู้ว่าตอนนั้นใครถามอะไรบ้าง หูอื้อ ตาลาย สมองอึนไปหมด มีคำพูดจากญาติๆ ที่ถามว่า ทำไมทิ้งแม่ไว้ห้อง ทำไมไม่อยู่กับแม่ ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมๆ และทำไม เรารู้ว่าทุกคนตกใจกับเรื่องที่ขึ้น มันกะทันหันมาก มากจนแม้แต่ตัวเราเองก็ยังทำอะไรไม่ถูก ถ้าบอกถึงความเสียใจในฐานะของลูกเราคงเสียใจที่สุดแล้ว ญาติๆที่กระหน่ำโทรเข้ามาไม่ใครถามเราว่าเราอยู่กับใคร เราไหวมั้ย เรามีใครมั้ย ทุกคนต่อว่ามากกว่าที่จะห่วง กลายเป็นเพื่อนๆ พี่ๆ หรือคนรอบตัวเราที่คอยถามว่ามีใครอยู่ด้วยมั้ย รีบมาทันทีที่เราโทรหา หลังจากที่รุ่นพี่คนนั้นมาถึง เราเข้ากอดเค้าทันที มันไม่ไหวแล้วจริงๆ เค้าช่วยแจ้งนิติคอนโดให้ โทรเช็คตำรวจให้อีกรอบ ตอนนั้นเรานั่งมองแม่ที่นอนอยู่บนโซฟา สมองบอกแต่ว่าแม่นอนหลับ น้ำตาไหลตลอดเวลา ไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่มาถึงสอบถามอะไรนิดหน่อย ในช่วงเวลานั้นพี่ๆ ที่ทำงานเจ้านายก็เดินทางมาถึง อยากเข้าไปกอดอยากร้องให้ แต่ทำได้แค่ส่งยิ้มพร้อมน้ำตา ขอบคุณพี่ๆ ที่มาหาทันที่ที่รู้ข่าว มาอยู่เป็นกำลังใจในช่วงที่โหดร้ายที่สุดของชีวิตเราเลยก็ว่าได้
เรื่องราวในแต่ละวันหรือสิ่งต่างๆ ที่เราทำ อยู่ในคอมเม้นต่อด้านล่างนะคะ
แชร์ประสบการณ์ความสูญเสียของชีวิตในวันที่ต้องส่งผู้หญิงที่รักที่สุดในชีวิตออกเดินทางไปในที่อันไกลแสนไกล
" ชีวิตของมนุษย์ทุกคนต้องพบกับความสูญเสีย การพลัดพราก แต่มันคงมีไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เรียกว่ามันคือที่สุดของความสูญเสีย
นั่นคือการสูญเสียคนที่ บุพการี ผู้ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต "
เรารู้ว่ากระทู้นี้มันยาวมากก่อนอื่นเลยเราเลยอยากจะสรุปสิ่งที่ได้หรือข้อคิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในวันนี้
- ชีวิตไม่อะไรแน่นอน ทำทุกอย่างให้เต็มที่และดีที่สุดในทุกๆหน้าที่ เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเราจะไม่รู้สึกเสียใจว่าเรายังทำหน้าที่ไม่ครบถ้วน "ทำทุกวันให้เหมือนวันของสุดท้ายในชีวิต" ข้อความนี้มันยังใช้เตือนใจได้จริงเสมอ
- ดูแลพ่อแม่ และคนในครอบครัวให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ เพราะในวันที่เราโตขึ้นท่านก็แก่ลงไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่รู้ว่าวาระสุด้ทายจะมาถึงเมื่อไร
- หากใครที่กำลังฟูมฟายเสียใจในเรื่องของความรัก เราอยากจะบอกว่า ถ้าวันนี้คุณรักตัวเอง และรู้ว่าพ่อแม่รักและห่วงคุณมากขนาดไหน ที่คุณเสียใจมาทั้งหมด มันจะใช้เวลาแค่แปปเดียวจริงๆ
- ในทุกๆสถานการณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติ ค่อยคิดๆ ค่อยๆตัดสินใจ ใช้ชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท
สวัสดีค่ะ จากชื่อกระทู้หลายๆคนคงพอจะคาดเดาได้ เราได้สูญเสียแม่ไปด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันเจากกล้ามเนื้อหัวใจโต มันเป็นการสูญเสียที่กะทันหันมากจริงๆ ผ่านมาแล้วประมาณสองสัปดาห์แต่ความรู้สึกในวันนั้นมันยังคงชัดเจนอยู่เสมอ เราอยากเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ สถานการณ์ที่เราได้พบเจอ อยากให้เป็นแนวทางในการให้กำลังคนใจหรือทำความเข้าใจคนที่เจอเหตุการณ์แบบเรา และที่สำคัญที่สุดเราอยากระบายเพราะหลายวันที่ผ่านมาเราไม่สามารถพูดหรือคุยอะไรกับใครได้ มันจุก แค่คิดก็น้ำตาไหล เราเลยเลือกที่จะเขียนเพื่อเป็นไดอารี่ของตัวเองหรืออาจจะเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังเจอสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียหรือพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักเช่นเรา
เริ่มกันเลยแล้วกันนะคะ เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนใน กทม ชีวิตตั้งตั้งแต่เล็กคนโต เราค่อนข้างสนิทกับแม่ เหมือนทั้งชีวิตมีแค่แม่นั่นแหละ ฐานะทางบ้านเราก็ปานกลางค่ะ มีกินมีใช้บ้าง ไม่ถึงกับลำบาก แม่เราเป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นเพื่อน เรามีน้องช่าย 1 คน แต่เนื่องจากห่างกันถึง 12 ปีก็เลยไม่ค่อยสนิทมากนัก เหมือนแม่กับลูกมากกว่าพี่กับน้อง เราใช้ชีวิตเรียนทั้งตรี และโท จนทำงานอยู่ที่ กทม ทั้งหมด แทบจะเรียกได้กว่าไม่คิดจะกลับไปทำงานที่บ้านเลย ทำใจไม่ได้กับเงินเดือนที่ได้รับ ตั้งแต่เราเรียนจบเมื่อปี 55 เราได้ทำงานที่ค่ายรถยนต์ที่นึ่งที่สีรถสีแดงสวยๆ แต่ทำได้ปีนึงก็ลาออกเพราะทนสังคมที่จ้องจะแทงข้างหลังตลอดเวลาไม่ไหว คือลาออกเลยแบบกลับไปอยู่บ้านเลยงานใหม่ก็ยังไม่มีนะ แม่เราก็น่ารักที่สุดอีกนั่นแหละ บอกว่ากลับมาพักแล้วค่อยหางานใหม่ ผ่านไปสามเดือนเราได้งานที่ใหม่ เป็นองค์กรที่มั่นคง มีชื่อเสียงในระดับนึง ตั้งแต่เราทำงานที่นี่ด้วยสวัสดิการต่างๆ หรือการทำงานตลอดจนสภาพแวดล้อมในการทำงานมันดีมาก เราก็เลยเริ่มวางแผนซื้อคอนโด กลับบ้านก็จะพาแม่ไปกินข้าว ไปชอปปิ้ง มันอาจจะไม่ได้เยอะเท่ากับคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ตลอด แต่ในส่วนของเรา เราเต็มที่แล้ว หลังจากโบนัสปีแรกออก เราซื้อทองให้แม่ หลังจากนั้นตั้งใจว่าทุกปี จะพาแม่เที่ยวต่างจังหวัด ตลอดระยะเวลา 5 ปีเราทำได้แบบที่ตั้งใจ หรูบ้าง ธรรมดาบ้าง แต่ก็พยายามจะพาไป
จนมาในปีนี้วันที่โบนัสออกในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เราก็ทำเหมือนทุกครั้ง โทรหาแม่ บอกแม่ว่า " โบนัสหนูออก 27 กุมภานี้นะ เราไปเที่ยวกันมั้ย" เสียงที่แม่ตอบมาว่า ไปๆ ทั้งที่เราก็ยังไม่รู้จะไปไหน มันทำให้เราร้องให้ มันดีใจอย่างบอกไม่ถูก ปกติแม่เราไม่ชอบไปไหนเท่าไร แต่ตั้งแต่เราทำงานดูแลตัวเองได้ ชวนไปไหน ก็ไปหมด แต่ละทริปนอนห้าดาวบ้าง ธรรมดาบ้าง แต่เราไม่เคยให้แม่ลำบากเลยเรามีความสุขทุกครั้งที่เห็นแม่ยิ้ม มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ หลังจากที่แม่ขึ้นมาหาเราที่ กทมในวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมพาพันธ์ แต่เรายังต้องทำงานอยู่ในวันศุกร์เนื่องจากมีงานด่วนที่ต้องส่ง เราก็ให้แม่อยู่ที่คอนโด ซื้ออาหาร ผลไม้ ขนม นม ทุกอย่างไว้ พอวันเสาร์เราก็พาแม่ไปท่องกรุงเทพ พาไปนั่งเรือเจ้าพระยา พาไปไหว้พระ วัดอรุณราชวราราม วัดโพธิ์ และวัดระฆัง พอช่วงบ่ายเราก็จัดการโทรจองโต๊ะ เพื่อจะพาแม่กินข้าวเพื่อชมวิววัดอรุณ ที่ร้าน The Deck by arun residence ก็นั่งกินข้าวไปดูวิวไป
วันนั้นเป็นอีก 1 วันที่เราโครตรมีความสุข แต่เราไม่รู้เลยว่า ความสุขแบบนี้มันจะอยู่กับเราอีกไม่นาน หลังจากวันที่เราไปวัดกัน เราก็ต้องไปทำงานอีกในวันจันทร์ก็ทำเหมือนเดิมเตรียมอาหาร ขนม นม น้ำผลไม้ทุกสิ่งที่เราหันไปเห็นแล้วคว้าติดมือมาไว้ให้แม่ มาใส่ตู้เย็นไว้ เราก็ไปทำงานปกติ กลับมาตอนเย็นก็มาพร้อมกับ ของกินเต็มไม้เต็มมือเช่นเดิม และในวันอังคารและพุธเราลาพักร้อนไว้เพื่อจะพาแม่ไปเที่ยว เราตัดสินใจพาแม่ไปเกาะล้าน
เราไม่อยากให้แม่ต้องเดินทางเยอะ แล้วเราเองก็ไม่ได้มีรถส่วนตัว เราก็เลยตัดสินใจพาแม่ไปเกาะล้าน ออกเดินทางตั้งแต่เช้า ขึ้นรถตู้ที่เอกมัย ไปถึงท่าเรือก็ลงเรือได้เลย ถึงเกาะล้านก็ประมานเกือบเที่ยง เราเลือกที่พัก แบบ sew view เป็นห้องพักที่มีสองชั้นสำหรับนั่งดูวิว เราเห็นแม่ยิ้ม แม่มีความสุข เราดีใจ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ บางครั้งชีวิตเราต้องการแค่นี้จริงๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่เกาะล้าน แม่เรากินได้ปกติ เรียกว่ากินเก่งเลยล่ะ ซื้ออะไรให้กินได้หมด นอนหลับ ไม่มีอาการใดเลยว่า เหนื่อยหรือไม่สบาย แต่แม่เรามีโรคประจำตัวนะ คือเบาหวานและความดัน แต่ก็กินยาตลอด ในส่วนของทริปเกาะล้านในวันนั้นเราถ่ารูปกับแม่แบบสนุกสนานมาก ถ่ายจนโทรศัพท์เมมเต็มเลย ตอนนั้นไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ซึ่งปกติเราไปเที่ยวก็ถ่ายรูปกันแบบนิดๆหน่อยๆ แต่วันนั้นเราอยากถ่าย อยากถ่ายเก็บไว้เยอะๆ ทุกๆ มุมนั่นคือความคิดตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พอมาตอนนี้ขอบคุณที่ตอนนั้นถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะมันเป็นทริปสุดท้ายที่เราจะได้ไปเที่ยวกับแม่
จบทริปเกาะล้านเราก็พาแม่กลับกรุงเทพถึงกรุงเทพช่วงบ่ายของวันพุธ รีบกลับมาเพราะไม่อยากให้แม่เพลีย วันพฤหัสบดีเราต้องไปทำงานปกติ และเราก็ถามแม่นะว่า อยากกลับบ้านหรือยัง เดี๋ยววันเสาร์ค่อยกลับนะจะได้ไปส่ง เช้าวันพฤหัสบดีเราตื่นเช้ามาอุ่นน้ำเต้าหู้ กับข้าวและขนมไว้ให้แม่ ก่อนออกจากห้องก็ถามเหมือนทุกครั้งอยากกินเป็นพิเศษมั้ย เดี๋ยวตอนเย็นแวะซื้อก่อนเข้ามา แม่บอกว่าเจอแก้วมังกรซื้อเข้ามาด้วยนะนั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ก็ขึ้นรถไปทำงานปกติ ภาพก่อนออกจากห้องแม่นั่งยิ้มดูข่าวอยู่ที่โซฟา จิ๊บน้ำเต้าหู้ ตอนเที่ยงเราก็โทรหาแม่ปกติ แต่ไม่ได้รับสาย ด้วยความที่เราหยุดงานไปสองวันงานก็ค่อนข้าเยอะ ก็ไม่ได้คุยกับแม่ในแชทเท่าไร จนบ่ายกว่า ก็พยายามโทรๆ แต่ก้ยังไม่รับคิดว่าแม่หลับอยู่เดี๋ยวตอนเลิกงานโทรใหม่ เพื่อจะถามแม่ว่าอยากกิน ข้าวต้ม โจ๊ก ก๋วยจั๊บ หรืออะไรอีกมั้ย แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น เราทักไปในไลน์ ในเฟส โทรเป็นสิบๆ สาย พอเลิกงาน ระหว่างทางจากอารีย์ถึงอ่อนนุช เรารู้แล้วว่ามันผิดปกติ แม่ไม่เคยไม่ตอบแชท ไม่อ่านเลยแบบนี้เพราะปกติแม่จะชอบดูคลิปหมาแมวใน Tablet ลงจากบีทีเอส วิ่งไปขึ้นวินมอไซต์ มาถึงคอนโด แม่ก็ยังไม่รับสายอีก ใจคอเราไม่ดีแล้ว น้าตาคลอตลอดเวลา มันกลัวไปหมดแต่ก็ภาวนาว่าให้แม่แค่นอนหลับอยู่ เราอาจจะเผลอไปปิดเสียงโทรศัพท์แม่ไว้ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะคิดเข้าข้างตัวเองได้เวลานั้น แต่ทันทีที่เราลงจากวินมอไชต์มองเข้าไปในคอนโด ไฟห้องเราปิดสนิท ตอนนั้นระยะเวลาเกือบทุ่มแล้ว ข้างนอกเริ่มมืดหมดแล้ว แต่ไปในห้องเรามืดสนิท เราวิ่งขึ้นห้องโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งไวขนาดไหน สมองสั่งแค่ไปห้องให้ไวที่สุด และเหตุการณ์หลังจากนั้นมันจะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล
ทันทีที่เราไปกุญแจเข้าไปในห้อง ภาพที่เราเห็นคือแม่นอนอยู่ที่โซฟา พัดลมยังเปิดอยู่ คิดว่าแม่นอนหลับ ถามแม่ว่าทำไมไม่เปิดไฟ หลับหรอ แต่แม่ไม่ตอบเรา เปิดไฟเสร็จเราก็จับตัวแม่ วินาทีที่มือเราไปแตะแม่ แม่ตัวแข็งแล้ว วินาทีนั้นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตพังทลายลงมาตรงหน้า ตกใจทำอะไรไม่ถูกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไม่รู้จะโทรไปไหน ยืนงง แล้วมองแม่ที่นอนหลับ ถามตัวเองว่ามันเรื่องจริงใช่มั้ย ตั้งสติได้ก็โทรหารุ่นพี่คนนึงเพราะเราคิดว่าเค้าน่าจะตั้งสติได้ดีที่สุด สามารถช่วยเราได้ในช่วงเวลานั้น เราบอกเค้าว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ได้ยินกลับมาบอกว่า ตั้งสตินะ โทรหาตำรวจ วางสายจากตำรวจเราก็โทรหาเจ้านาย เพราะในเวลาแบบนั้นเรานึกถึงใครไม่ออกจริงๆ โทรบอกญาติ และโทรหาน้องชายที่อยู่ที่ตราด มันพูดออกไปยากมาก พูดไม่ออกน้ำตาไม่รู้มาจากไหน หลังจากที่โทรบอกญาติ สายโทรศัพท์กระหน่ำโทรเข้ามาไม่หยุด ทั้งเครื่องแม่และเครื่องตัวเอง เราไม่รู้ว่าตอนนั้นใครถามอะไรบ้าง หูอื้อ ตาลาย สมองอึนไปหมด มีคำพูดจากญาติๆ ที่ถามว่า ทำไมทิ้งแม่ไว้ห้อง ทำไมไม่อยู่กับแม่ ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมๆ และทำไม เรารู้ว่าทุกคนตกใจกับเรื่องที่ขึ้น มันกะทันหันมาก มากจนแม้แต่ตัวเราเองก็ยังทำอะไรไม่ถูก ถ้าบอกถึงความเสียใจในฐานะของลูกเราคงเสียใจที่สุดแล้ว ญาติๆที่กระหน่ำโทรเข้ามาไม่ใครถามเราว่าเราอยู่กับใคร เราไหวมั้ย เรามีใครมั้ย ทุกคนต่อว่ามากกว่าที่จะห่วง กลายเป็นเพื่อนๆ พี่ๆ หรือคนรอบตัวเราที่คอยถามว่ามีใครอยู่ด้วยมั้ย รีบมาทันทีที่เราโทรหา หลังจากที่รุ่นพี่คนนั้นมาถึง เราเข้ากอดเค้าทันที มันไม่ไหวแล้วจริงๆ เค้าช่วยแจ้งนิติคอนโดให้ โทรเช็คตำรวจให้อีกรอบ ตอนนั้นเรานั่งมองแม่ที่นอนอยู่บนโซฟา สมองบอกแต่ว่าแม่นอนหลับ น้ำตาไหลตลอดเวลา ไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่มาถึงสอบถามอะไรนิดหน่อย ในช่วงเวลานั้นพี่ๆ ที่ทำงานเจ้านายก็เดินทางมาถึง อยากเข้าไปกอดอยากร้องให้ แต่ทำได้แค่ส่งยิ้มพร้อมน้ำตา ขอบคุณพี่ๆ ที่มาหาทันที่ที่รู้ข่าว มาอยู่เป็นกำลังใจในช่วงที่โหดร้ายที่สุดของชีวิตเราเลยก็ว่าได้
เรื่องราวในแต่ละวันหรือสิ่งต่างๆ ที่เราทำ อยู่ในคอมเม้นต่อด้านล่างนะคะ