[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ให้สังเกตดูอารมณ์จิตของตัวเองว่าตัดละสังโยชน์ในข้อใดได้ "อย่างเด็ดขาด" บ้าง ถึงขั้นไหนแล้ว
พระอริยะเจ้าจะมีอารมณ์เด็ดขาดในทุกระดับ สิ่งใดที่ตัดละได้แล้ว จะไม่มีอาการกำเริบของจิตอีก
ถ้ายังมีอารมณ์ กลับไป-กลับมา นั่นแสดงว่ายังไม่ได้ในข้อนั้น
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับกระทู้นี้จะพูดเจาะเน้นเฉพาะเรื่อง
กามฉันทะ (ความพอใจใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง, และสัมผัสระหว่างเพศ) เป็นหลัก
(ความต้องการทางเพศก็อยู่ในข้อนี้) (กามฉันทะ เป็นทั้งสังโยชน์ และ เป็นทั้งนิวรณ์)
กามฉันทะ ไม่ได้หมายถึงความต้องการทางเพศแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่หมายรวมถึงความพอใจ อะไรที่เป็นรูปทั้งหมด อะไรที่เป็นรสทั้งหมด อะไรที่เป็นกลิ่นทั้งหมด อะไรที่เป็นเสียงทั้งหมด และสัมผัสระหว่างเพศทั้งหมด
ถือว่าเป็น กามฉันทะ ทั้งสิ้น (แม้แต่เสียงฝนตกใส่สังกะสีหลังคาบ้านคุณ ถ้าคุณพอใจในเสียงนี้ ก็ถือว่าเป็น กามฉันทะ เหมือนกัน)
เรื่อง กามฉันทะ นี้จะต้องพูดไล่เป็นระดับๆลงไป จะได้เข้าใจได้ง่ายๆ
ผู้ที่จะตัดละกามฉันทะได้หมดจด ก็คือ พระอนาคามี ขึ้นไป "
เท่านั้น"
เพราะฉนั้น ระดับที่ต่ำลงมาจากนี้ จะเป็นผู้ที่ตัดละกามฉันทะ ยังไม่ได้เด็ดขาดหมดจด "
ทั้งสิ้น"
แต่ พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามี นั้น
แม้จะตัดละกามฉันทะ ยังไม่ได้เด็ดขาดหมดจด แต่เป็นผู้ที่เคร่งครัดในศีล(
มีอธิศีล) พอใจแต่ในคู่ครองของตนเอง จึงไม่ยอมทำผิดศีล แม้จะมีโอกาส
และ พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามี
ก็ยังสามารถแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวได้อยู่ (เพราะยังตัดละกามฉันทะไม่ได้หมดจด)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าต่ำลงมากว่านี้เราเรียกว่าเป็น "
ผู้ทรงฌานโลกีย์" หรือ โลกียฌาน (เป็นปุถุชนที่มีฌานสมาธิ แต่จิตยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้า)
แม้คนผู้นั้นจะมีฌานสมาธิ หรือ มีอภิญญาแสดงฤทธิ์ได้ก็ตาม
แต่ถ้าจิตของเขายังตัดละสังโยชน์ 3 ข้อแรกไม่ได้ จิตของเขาจึงยังเป็นแค่จิตของปุถุชน ผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส
ผู้ที่ทรงฌานโลกีย์ ที่เป็นจิตปุถุชนนี้ ยังไม่มีความเด็ดขาดในการถือศีลเหมือนพระอริยะเจ้า จึงยังอาจจะเผลอทำผิดศีลได้อยู่
เมื่อเข้าฌานได้ อารมณ์ฌานจะมากดให้อารมณ์ กามฉันทะ และ ปฏิฆะ ให้สงบระงับชั่วคราวเหมือนหายไป
- อารมณ์กามฉันทะ (ความพอใจใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง,และสัมผัสระหว่างเพศ)
จะโดนอารมณ์ฌานมากดไว้ให้สงบระงับชั่วคราวเหมือนหายไป (ความกระสันอยากหายไป ไม่มีอารมณ์ฟูของกามรมณ์)
- อารมณ์ปฏิฆะ (ความรู้สึกโกรธ และอารมณ์ขุ่นใจ)
จะโดนอารมณ์ฌานมากดไว้ให้สงบระงับชั่วคราวเหมือนหายไป (ด่าไม่ออก ถึงด่าก็ไม่มีอารมณ์ฟูของจิต เพราะไม่มีอารมณ์โกรธ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาพระธรรมทั่วไป (ที่ยังเข้าฌานไม่ได้)
เมื่อจิตเกาะอารมณ์ที่เป็นกุศลอยู่เป็นประจำ อารมณ์ที่เป็นอกุศลจึงเบาบางลง จึงอาจจะเกิดอาการเบื่อหน่ายในกามฉันทะลงได้ชั่วคราว
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตัดละกามฉันทะลงได้อย่างเด็ดขาด เป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่อารมณ์เบาบางจากกิเลสลงได้ชั่วคราวเท่านั้น
ความต้องการทางเพศจึงเบาบางลงแค่ในช่วงระยะเวลานั้นเท่านั้น
ระดับนี้ กามฉันทะ และ ปฏิฆะ จะถูกกระตุ้นให้ฟูกำเริบได้ง่าย เพราะจิตยังไม่ได้สงบระงับนิวรณ์5ถึงขั้นเข้าฌานได้ หรือ เป็นผู้ทรงฌาน
- แต่ถ้าเป็นผู้ที่ทำสมาธิเข้าฌานได้ (แบบขั้นต้น คือ บางครั้งเข้าได้ - บางครั้งเข้าไม่ได้)
เมื่อครั้งใดที่เขาทำสมาธิเข้าฌานได้ จะสามารถสงบระงับนิวรณ์ 5 ลงได้ชั่วคราวในขณะนั้น-ครั้งนั้น
แม้จะออกจากฌานสมาธิมาแล้ว แต่ก็ยังมีอารมณ์ฌานที่ติดค้างออกมาจากสมาธิ ทำให้ไม่สนใจในกามฉันทะเหมือนคนทั่วไป
เพราะอารมณ์ฌาน จะมากดให้ อารมณ์กามฉันทะ และ อารมณ์ปฏิฆะ สงบระงับชั่วคราวเหมือนหายไป (มีความหนักแน่นมากกว่าคนที่เข้าฌานไม่ได้)
แต่ไม่นานเมื่ออารมณ์ฌานคลายตัวหายไป จิตใจก็จะกลับมาสนใจในเรื่องกามรมณ์เหมือนเดิม และมีโทสะอารมณ์โกรธ(ปฏิฆะ)เหมือนคนทั่วไป
- แต่ถ้ามีความชำนาญ มีความสามารถในการทรงอารมณ์ฌานต่อเนื่องไปได้ยาวนาน (ผู้ทรงฌาน)
เมื่อมาถึงจุดนี้ บางคนหลงคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีไปแล้วก็มี
เพราะด้วยความที่มีความชำนาญในการเข้าฌานที่มากขึ้น สามารถเข้าฌานได้ง่ายขึ้น จึงมีระยะเวลาในการทรงอารมณ์ฌานที่ต่อเนื่องกันยาวนาน
จึงมีการสงบระงับของ กามฉันทะ ยาวนานตามระยะเวลาที่ทรงฌานได้ (เข้าฌานต่อเนื่องประจำได้ เลยหลงคิดว่ากามฉันทะของตัวเองหมดไปแล้ว)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่แม้จะเก่งทำสมาธิได้ถึงขีดสุดของฌานโลกีย์ก็ตาม จะมีฤทธิ์อภิญญามากมายเพียงไร แต่ถ้าจิตใจของเขายังตัดละสังโยชน์ 3 ข้อแรกไม่ได้
จิตของเขาก็ยังเป็นแค่จิตของปุถุชน (อย่างเช่นพระเทวทัต ได้ฌานโลกีย์ มีอภิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่จิตยังคิดทำร้ายพระพุทธเจ้าอยู่)
แต่ทั้งหมดที่เป็นผู้ทรงฌานโลกีย์นี้ ยังมีความต้องการทางเพศซ่อนอยู่ภายในจิตใจอยู่เสมอ
แม้แต่ผู้ที่บรรลุธรรมเป็น พระโสดาบัน และ พระสกิทาคามี ก็ตาม ก็ยังมีความต้องการทางเพศซ่อนอยู่ภายในจิต
เพียงแต่พระอริยะเจ้าเช่น พระโสดาบัน และ พระสกิทาคามี นั้น เป็นผู้ที่เคร่งครัดในศีล พอใจแต่ในคู่ครองของตนเอง จึงไม่มีพิษไม่มีภัยกับใคร
แต่สำหรับปุถุชนคนธรรมดาๆ ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ทรงฌานโลกีย์ ย่อมมีความต้องการทางเพศอยู่เต็มเปี่ยม และไวต่อการกระตุ้นให้ฟูกำเริบมาก
(แม้จะตัดอวัยวะเพศทิ้ง หรือขาดไปเพราะอุบัติเหตุ ก็ไม่ได้หมายความว่าความพอใจในสัมผัสระหว่างเพศจะหมดไป)
(กิเลสความอยากในเรื่องเพศก็ยังมีอยู่เสมอ ถ้าเขาคนนั้นยังตัดละความพอใจในกามฉันทะไม่ได้อย่างเด็ดขาดหมดจด)
คนบางคนมีโรคภัยไข้เจ็บอยู่ จนไม่สามารถมีกิจกรรมทางเพศได้ แม้จะโดนกระตุ้น ก็ไม่สามารถทำได้ แต่ในใจก็ยังมีความต้องการทางเพศอยู่เสมอ
เพราะจิตใจภายในยังไม่ได้บรรลุธรรมถึงขั้นพระอนาคามี (ร่างกายไม่อำนวย แต่จิตใจภายในมันยังอยากอยู่)
หรือแม้จะเป็นคนแก่เฒ่าหัวหงอก หูตาฝ้าฟาง ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นแล้วก็ตาม
แต่ถ้าตัดละกามฉันทะไม่ได้เด็ดขาดหมดจด เขาก็ยังมีความต้องการทางเพศอยู่เสมอ ยังพอใจต่อการสัมผัสระหว่างเพศอยู่เสมอ (จึงต้องเกิดอยู่เสมอ)
เพราะฉนั้น แม้จะเป็นผู้ที่ทรงฌานโลกีย์แล้วก็ตาม แต่จิตใจภายในก็ยังตัดละความพอใจใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง,และสัมผัสระหว่างเพศ ไม่ได้เด็ดขาด
เป็นเพียงแค่กิเลสสงบระงับไปได้ชั่วคราวเพราะกำลังของฌานสมาธิมากดไว้เท่านั้น และก็ยังไม่ได้มีความเด็ดขาดในการถือศีล จึงอาจจะยังทำผิดศีลอยู่
(เช่น ผู้ทรงฌาน ที่เป็นหมอทำเสน่ห์ ถ้าเห็นสาวสวยมาจ้างให้ทำ เขาก็อาจจะทำเสน่ห์ใส่สาวสวยให้หลงไหลในตัวเขาเองแทน)
แต่แม้จะไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้า แต่การล่วงเกิน ผู้ทรงศีล-ผู้ทรงฌาน ก็เป็นบาปเหมือนกัน
แต่ไม่ต้องถึงขนาดไปยกระดับเขาให้สูงขึ้น หรือกราบไหว้เขาแบบพระ (ถ้าเขาไม่ใช่พระสงฆ์)
ถ้าเขาเป็นฆราวาส การทำความเคารพ ก็ทำเหมือนคนปกติทั่วไปเขาทำกันตามธรรมเนียม
แต่ควรจะละเว้นการพูดปรามาส เพราะเป็นการเซฟตัวเองไว้ก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าใครคนไหนเป็นของแท้ หรือว่าใครคนไหนเป็นของปลอม
เพราะผลกรรมจากการปรามาส ผู้ทรงศีล-ผู้ทรงฌาน หรือ พระอริยะเจ้า อาจจะมาปิดกั้นโอกาสในการบรรลุธรรมของคุณให้เนิ่นช้าออกไปได้
บทความเรื่อง "ความต้องการทางเพศ กับ การบรรลุธรรม"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับกระทู้นี้จะพูดเจาะเน้นเฉพาะเรื่อง กามฉันทะ (ความพอใจใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง, และสัมผัสระหว่างเพศ) เป็นหลัก
(ความต้องการทางเพศก็อยู่ในข้อนี้) (กามฉันทะ เป็นทั้งสังโยชน์ และ เป็นทั้งนิวรณ์)
กามฉันทะ ไม่ได้หมายถึงความต้องการทางเพศแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่หมายรวมถึงความพอใจ อะไรที่เป็นรูปทั้งหมด อะไรที่เป็นรสทั้งหมด อะไรที่เป็นกลิ่นทั้งหมด อะไรที่เป็นเสียงทั้งหมด และสัมผัสระหว่างเพศทั้งหมด
ถือว่าเป็น กามฉันทะ ทั้งสิ้น (แม้แต่เสียงฝนตกใส่สังกะสีหลังคาบ้านคุณ ถ้าคุณพอใจในเสียงนี้ ก็ถือว่าเป็น กามฉันทะ เหมือนกัน)
เรื่อง กามฉันทะ นี้จะต้องพูดไล่เป็นระดับๆลงไป จะได้เข้าใจได้ง่ายๆ
ผู้ที่จะตัดละกามฉันทะได้หมดจด ก็คือ พระอนาคามี ขึ้นไป "เท่านั้น"
เพราะฉนั้น ระดับที่ต่ำลงมาจากนี้ จะเป็นผู้ที่ตัดละกามฉันทะ ยังไม่ได้เด็ดขาดหมดจด "ทั้งสิ้น"
แต่ พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามี นั้น
แม้จะตัดละกามฉันทะ ยังไม่ได้เด็ดขาดหมดจด แต่เป็นผู้ที่เคร่งครัดในศีล(มีอธิศีล) พอใจแต่ในคู่ครองของตนเอง จึงไม่ยอมทำผิดศีล แม้จะมีโอกาส
และ พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามี ก็ยังสามารถแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวได้อยู่ (เพราะยังตัดละกามฉันทะไม่ได้หมดจด)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าต่ำลงมากว่านี้เราเรียกว่าเป็น "ผู้ทรงฌานโลกีย์" หรือ โลกียฌาน (เป็นปุถุชนที่มีฌานสมาธิ แต่จิตยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้า)
แม้คนผู้นั้นจะมีฌานสมาธิ หรือ มีอภิญญาแสดงฤทธิ์ได้ก็ตาม
แต่ถ้าจิตของเขายังตัดละสังโยชน์ 3 ข้อแรกไม่ได้ จิตของเขาจึงยังเป็นแค่จิตของปุถุชน ผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส
ผู้ที่ทรงฌานโลกีย์ ที่เป็นจิตปุถุชนนี้ ยังไม่มีความเด็ดขาดในการถือศีลเหมือนพระอริยะเจ้า จึงยังอาจจะเผลอทำผิดศีลได้อยู่
เมื่อเข้าฌานได้ อารมณ์ฌานจะมากดให้อารมณ์ กามฉันทะ และ ปฏิฆะ ให้สงบระงับชั่วคราวเหมือนหายไป
- อารมณ์กามฉันทะ (ความพอใจใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง,และสัมผัสระหว่างเพศ)
จะโดนอารมณ์ฌานมากดไว้ให้สงบระงับชั่วคราวเหมือนหายไป (ความกระสันอยากหายไป ไม่มีอารมณ์ฟูของกามรมณ์)
- อารมณ์ปฏิฆะ (ความรู้สึกโกรธ และอารมณ์ขุ่นใจ)
จะโดนอารมณ์ฌานมากดไว้ให้สงบระงับชั่วคราวเหมือนหายไป (ด่าไม่ออก ถึงด่าก็ไม่มีอารมณ์ฟูของจิต เพราะไม่มีอารมณ์โกรธ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาพระธรรมทั่วไป (ที่ยังเข้าฌานไม่ได้)
เมื่อจิตเกาะอารมณ์ที่เป็นกุศลอยู่เป็นประจำ อารมณ์ที่เป็นอกุศลจึงเบาบางลง จึงอาจจะเกิดอาการเบื่อหน่ายในกามฉันทะลงได้ชั่วคราว
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตัดละกามฉันทะลงได้อย่างเด็ดขาด เป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่อารมณ์เบาบางจากกิเลสลงได้ชั่วคราวเท่านั้น
ความต้องการทางเพศจึงเบาบางลงแค่ในช่วงระยะเวลานั้นเท่านั้น
ระดับนี้ กามฉันทะ และ ปฏิฆะ จะถูกกระตุ้นให้ฟูกำเริบได้ง่าย เพราะจิตยังไม่ได้สงบระงับนิวรณ์5ถึงขั้นเข้าฌานได้ หรือ เป็นผู้ทรงฌาน
- แต่ถ้าเป็นผู้ที่ทำสมาธิเข้าฌานได้ (แบบขั้นต้น คือ บางครั้งเข้าได้ - บางครั้งเข้าไม่ได้)
เมื่อครั้งใดที่เขาทำสมาธิเข้าฌานได้ จะสามารถสงบระงับนิวรณ์ 5 ลงได้ชั่วคราวในขณะนั้น-ครั้งนั้น
แม้จะออกจากฌานสมาธิมาแล้ว แต่ก็ยังมีอารมณ์ฌานที่ติดค้างออกมาจากสมาธิ ทำให้ไม่สนใจในกามฉันทะเหมือนคนทั่วไป
เพราะอารมณ์ฌาน จะมากดให้ อารมณ์กามฉันทะ และ อารมณ์ปฏิฆะ สงบระงับชั่วคราวเหมือนหายไป (มีความหนักแน่นมากกว่าคนที่เข้าฌานไม่ได้)
แต่ไม่นานเมื่ออารมณ์ฌานคลายตัวหายไป จิตใจก็จะกลับมาสนใจในเรื่องกามรมณ์เหมือนเดิม และมีโทสะอารมณ์โกรธ(ปฏิฆะ)เหมือนคนทั่วไป
- แต่ถ้ามีความชำนาญ มีความสามารถในการทรงอารมณ์ฌานต่อเนื่องไปได้ยาวนาน (ผู้ทรงฌาน)
เมื่อมาถึงจุดนี้ บางคนหลงคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีไปแล้วก็มี
เพราะด้วยความที่มีความชำนาญในการเข้าฌานที่มากขึ้น สามารถเข้าฌานได้ง่ายขึ้น จึงมีระยะเวลาในการทรงอารมณ์ฌานที่ต่อเนื่องกันยาวนาน
จึงมีการสงบระงับของ กามฉันทะ ยาวนานตามระยะเวลาที่ทรงฌานได้ (เข้าฌานต่อเนื่องประจำได้ เลยหลงคิดว่ากามฉันทะของตัวเองหมดไปแล้ว)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่แม้จะเก่งทำสมาธิได้ถึงขีดสุดของฌานโลกีย์ก็ตาม จะมีฤทธิ์อภิญญามากมายเพียงไร แต่ถ้าจิตใจของเขายังตัดละสังโยชน์ 3 ข้อแรกไม่ได้
จิตของเขาก็ยังเป็นแค่จิตของปุถุชน (อย่างเช่นพระเทวทัต ได้ฌานโลกีย์ มีอภิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่จิตยังคิดทำร้ายพระพุทธเจ้าอยู่)
แต่ทั้งหมดที่เป็นผู้ทรงฌานโลกีย์นี้ ยังมีความต้องการทางเพศซ่อนอยู่ภายในจิตใจอยู่เสมอ
แม้แต่ผู้ที่บรรลุธรรมเป็น พระโสดาบัน และ พระสกิทาคามี ก็ตาม ก็ยังมีความต้องการทางเพศซ่อนอยู่ภายในจิต
เพียงแต่พระอริยะเจ้าเช่น พระโสดาบัน และ พระสกิทาคามี นั้น เป็นผู้ที่เคร่งครัดในศีล พอใจแต่ในคู่ครองของตนเอง จึงไม่มีพิษไม่มีภัยกับใคร
แต่สำหรับปุถุชนคนธรรมดาๆ ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ทรงฌานโลกีย์ ย่อมมีความต้องการทางเพศอยู่เต็มเปี่ยม และไวต่อการกระตุ้นให้ฟูกำเริบมาก
(แม้จะตัดอวัยวะเพศทิ้ง หรือขาดไปเพราะอุบัติเหตุ ก็ไม่ได้หมายความว่าความพอใจในสัมผัสระหว่างเพศจะหมดไป)
(กิเลสความอยากในเรื่องเพศก็ยังมีอยู่เสมอ ถ้าเขาคนนั้นยังตัดละความพอใจในกามฉันทะไม่ได้อย่างเด็ดขาดหมดจด)
คนบางคนมีโรคภัยไข้เจ็บอยู่ จนไม่สามารถมีกิจกรรมทางเพศได้ แม้จะโดนกระตุ้น ก็ไม่สามารถทำได้ แต่ในใจก็ยังมีความต้องการทางเพศอยู่เสมอ
เพราะจิตใจภายในยังไม่ได้บรรลุธรรมถึงขั้นพระอนาคามี (ร่างกายไม่อำนวย แต่จิตใจภายในมันยังอยากอยู่)
หรือแม้จะเป็นคนแก่เฒ่าหัวหงอก หูตาฝ้าฟาง ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นแล้วก็ตาม
แต่ถ้าตัดละกามฉันทะไม่ได้เด็ดขาดหมดจด เขาก็ยังมีความต้องการทางเพศอยู่เสมอ ยังพอใจต่อการสัมผัสระหว่างเพศอยู่เสมอ (จึงต้องเกิดอยู่เสมอ)
เพราะฉนั้น แม้จะเป็นผู้ที่ทรงฌานโลกีย์แล้วก็ตาม แต่จิตใจภายในก็ยังตัดละความพอใจใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง,และสัมผัสระหว่างเพศ ไม่ได้เด็ดขาด
เป็นเพียงแค่กิเลสสงบระงับไปได้ชั่วคราวเพราะกำลังของฌานสมาธิมากดไว้เท่านั้น และก็ยังไม่ได้มีความเด็ดขาดในการถือศีล จึงอาจจะยังทำผิดศีลอยู่
(เช่น ผู้ทรงฌาน ที่เป็นหมอทำเสน่ห์ ถ้าเห็นสาวสวยมาจ้างให้ทำ เขาก็อาจจะทำเสน่ห์ใส่สาวสวยให้หลงไหลในตัวเขาเองแทน)
แต่แม้จะไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้า แต่การล่วงเกิน ผู้ทรงศีล-ผู้ทรงฌาน ก็เป็นบาปเหมือนกัน
แต่ไม่ต้องถึงขนาดไปยกระดับเขาให้สูงขึ้น หรือกราบไหว้เขาแบบพระ (ถ้าเขาไม่ใช่พระสงฆ์)
ถ้าเขาเป็นฆราวาส การทำความเคารพ ก็ทำเหมือนคนปกติทั่วไปเขาทำกันตามธรรมเนียม
แต่ควรจะละเว้นการพูดปรามาส เพราะเป็นการเซฟตัวเองไว้ก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าใครคนไหนเป็นของแท้ หรือว่าใครคนไหนเป็นของปลอม
เพราะผลกรรมจากการปรามาส ผู้ทรงศีล-ผู้ทรงฌาน หรือ พระอริยะเจ้า อาจจะมาปิดกั้นโอกาสในการบรรลุธรรมของคุณให้เนิ่นช้าออกไปได้