เห็นหลายๆกระทู้ เล่าถึงความลำบากในการตกงาน
วันนี้อยากจะลองแชร์ประสบการณ์ เผื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่ตกงานอยู่ครับ
1. ชีวิตช่วงที่ 1 เด็กจบใหม่ไร้ประสบการณ์
ชีวิตช่วงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ที่ไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ
ตอนนั้นผมจบ พระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิศวไฟฟ้า และได้ทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่ง โรม อินทริเกรตซิสเตมส์ นวนคร ปทุม เงินเดือน 17,000 baht
สวัสดิการถือว่าระดับดีพอตัว โบนัส2-3 เดือน มีห้องให้อยู่ฟรีกับรูมเมท บวกสวัสดิการและโอทีผมได้อยู่ประมาณ 23,000 baht และไม่มีภาระอะไรเลย
ทำงานในส่วนของ Test engineer ทำหน้าที่ Dbug ตัวIC และเก็บข้อมูลทำ CPK และมีประชุมกับ Plant ที่ Philipines ในส่วนของงานผมถือว่าโชคดีมีรุ่น พี่ที่จบจากสถาบันเดียวกัน ใน 3 พระจอม ลาดกระบัง บางมด และพระนครเหนือ ที่ช่วยซัพพอร์ตในเรื่องงานและให้คำปรึกษาที่ดี แต่เป็นตัวผมเอง ที่ทำตัวเองให้มีชีวิตที่ต่ำลง เนื่องจากตัวเองที่ไม่มีภาระอะไร ได้เงินมาก็ไม่ได้ให้พ่อให้แม่ ตกเย็นหลังเลิกงานผมไปเที่ยว ผับ ย่านๆรังสิต นวนคร อยู่เป็นประจำ
สมัยนั้นถ้าใครอยูปทุม ก็จะรู้จัก แสงจันทร์ เวียงจันทร์ ไม้หอม ชายคา เวอร์จิ้น บังกะโล คลองเพลง คือไปมาหมดและ หมดกับการเที่ยวเตร่และผู้หญิงเดือนละเกือบหมื่น หวย 2 งวดอีก 4-5 พัน เหลือเงินแค่พอกินพอใช้ในโรงงาน จนมีบัตรเครดิตที่โทรมาจากธนาคาร เสนอมาให้ทำ ไอ้เราตอนนั้นคิดว่าเขาเอาเงินมาให้เราใช้ ก็เลยสมัครเล่นๆไป 4-5 ที่ Kbank , KTC , CIMB , BAY จนทุกที่โทรมาว่าผมผ่านหมด ใช้เงินจนมือเติบ ต้องเอาโบนัสมาจ่ายหนี้ พอผมเริ่มไม่ไหวจึงมองหางานที่เงินเดือนสูงกว่าเดิม จนเปลี่ยนงานมาหลายๆที่ ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ HANA , SVI ,CANON , STARS MICRO ในระยะเวลา 4-5 ปีผมเปลี่ยนงานที่ละปี บางที่ ทำอยู่ 4-5 เดือน เพราะความเหลวกแหลกของตัวเองล้วนๆ ที่เป็นชีวิตส่วนตัว ที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานเลย
2. ชีวิตช่วงที่ 2 จากหายนะ สู่ นรก ตอนนั้นออกจากงานที่สตาร์ ไมโคร ผมตกงานอยู่ 3เดือน
นรกของจริงเพราะผมมีเงินเหลืออยู่ 5000 บาท เดือนแรกผมกลับมาอยู่บ้าน พ่อก็ด่า แม่ก็ด่า ผมก็ไม่มีรถไปสัมภาษณ์งาน
ผมไประยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา นั่งรถตู้จากฟิวเจอร์รังสิต ไปทีก็หมดไปประมาณ 500-1000 บาท
สัมภาษณ์กับบริษัทชื่อดัง แต่ก็ไม่ได้สักที่ อาจเป็นเพราะประสบการณ์ผมไม่มีทักษะกับนายจ้างที่เขาต้องการ เช่น PLC , solidwork , auto cad
ผมใช้ไม่เป็นสักอย่าง เงินเก็บผมหมด ผมเคว้งคว้าง ขอเงินแม่ไปร้านอินเตอร์เนตวันละ 100 บาทเพื่อส่ง Resume ในหลายๆเวบ ทั้ง jobthai , jobtopgun , jobsdb มีเรียกไปสัมภาษณ์ 20 ที่ในะระยะเวลา 3 เดือน แต่ไม่ได้สักที่ ผมท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่กล้าสู้หน้าพ่อกับแม่ จนผมได้อ่านกระทู้นึงในพันทิพ ที่เป็นจุดเปลี่ยน คือเวลาไปสัมภาษณ์ ให้ตอบความจริง รู้ตอบรู้ ไม่รู้ตอบไม่รู้ จนผมได้รับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่เข้าได้งานกับบริษัท ด้านยานยนตร์ ย่านวังน้อย และหัวหน้าผมก็จบพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่เดียวกัน หัวหน้าผมคนนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของผม
3. จากนรก สู่ ดินแดนสวรรค์
ผมได้ทำงานในส่วน Improvement engineer แต่ ทักษะผมตอนนั้นต่ำเตี้ยรากดินมาก แต่หัวหน้าผมนั้นคือ Mr.perfect
คือแกคอยเป็นพี่เลี้ยงผม เทรนผมด้านโปรแกรม PLC เบื้องต้น ให้ผมเรียนรู้ทักษะการ Assembly machine , ให้ผมวาดเขียนแบบวงจรไฟฟ้า
หัวหน้าผม แกออกแบบ Machine part ด้วย Solidwork เขียนโปรแกรม PLC ได้เอง แต่ยี่ห้อเดียวคือออมรอน ผมยอมรับว่าอยากเป็นเหมือนแก
มาก คืออยากเก่งแบบหัวหน้าผม ผมได้ประสบการณ์ตรงนั้นๆเต็มๆอยู่ 2 ปี และคิดว่าถึงเวลาที่ผมควรจะมองหางานที่เหมาะสมกับทักษะเรา
ผมเดินไปบอกหัวหน้าว่า " พี่ครับ ใบลาออกครับ " ตอนแรกผมนึกว่าหัวหน้าจะรั้งผมไว้ด้วยคำพูดบางอย่างเหมือนหลายๆที่ที่ผมเคยอยู่ แต่หัวหน้ากลับ เอ่ยขึ้นมาว่า " ทุกคนก็อยากมีเงินเดือนสูงๆ แต่พี่ไม่ได้อยากให้แกออกไปเพราะเงินเดือนนะ พี่อยากให้แกออกไปแล้วเก่งกว่าพี่ ทำได้ดีกว่าพี่ ฝึกฝีมือให้เยอะนะ ไว้สักวันเองเก่งกว่าพี่แน่นอน " ยอมรับตามตรงตอนนั้นว่าผมกลั้นน้ำใจแทบไม่อยู่ น้ำตาของหัวหน้ากับลูกน้องที่อายุห่างกันไม่กี่ปี น้ำตาของพี่กับน้องที่เคยเรียนสถาบันเดียวกัน
4. จากสวรรค์ สู่ การเดินทางไปในอวกาศ
หลังจากที่ได้ออกจากบริษัทนั้น ผมก็เปลี่ยนงานมาอีก 2-3 ที่ ยอมรับตรงๆเพราะเงินทั้งสิ้น
และระหว่างนั้นผมก็ใช้พื้นที่โซเชียล ในการค้นหาข้อมูลเพื่อเพิ่มทักษะให้กับตัวเอง ( หลายคนมักใช้ในความบันเทิง facebook , IG ,line youtube )
แต่ผมมองกลับมุมที่ว่ามันเป็นสังคมแห่งองค์ความรู้ทั้งนั้น ในเฟซบุ๊กมีกลุ่มทั้ง Thai plc , automation traning , CAD-CAM , วิศวกรไฟฟ้า
หลายคนใช้วันหยุดพักผ่อน ไปกับการเที่ยวตจว ดูหนังออนไลน์ ช๊อปปิ้ง ซึ่งก็ไม่ผิดในการหาความสุขให้ตัวเอง แต่ผมจะแบ่งเวลาในแต่ละเดือน เพื่อมองว่าทักษะไหนจำเป็นกับงานที่เกี่ยวข้องในอนาคต แะเทรนด์อุตสาหกรรมไปในทิศทางไหน จนได้พบกับคำตอบ E Factory , AI automaton ,Robot
ผมได้เดินทางไปหาประสบการณ์ กับ พี่ๆที่มากความสามารถ ในหลายๆบริษัท ซึ่งบางคนใจดีมาก สอนผม เทรนผมแบบไม่กั๊กวิชาความรู้ ตอนนั้นผมไม่มีรถ ผมนั่งรถตู้จากรังสิต ไปพระราม 2 ซอยบางกระดี่10 เพื่อไปหาพี่คนนึงที่เทรน PLC ให้ฟรี จาก Basic ถึง Advance ผมไปหาพี่ที่เป็นAplication engineer ของบริษัท Siemens เพื่อให้เขาลงโปรแกรม และเทรนจอ HMI proface , ผมได้ไปเรียน Solidwork ฟรีกับพี่ที่ยอมสละเวลามาสอนผม ผมเคยถามพี่เหล่านั้นว่าทำไมถึงสอนผม หลายๆคนตอบกลับมาว่า พี่เห็นในความพยายาม ความมุ่งมานะของเอง ตอนแรกพี่จะเก็บตังนะ แต่เองมาก็มีค่าใช้จ่ายงั้นพี่เลี้ยงเบียร์แกเอง กลับกลายเป็นว่าควรเป็นผมที่จะต้องเลี้ยงข้าวแก กลับกลายเป็นพี่ที่สอนผมเลี้ยงข้าวผม ทุกวันนี้ผมกลับไปก็ซื้อเบียร์ไปให้แกเสมอ
ผมได้อะไรเยอะมากช่วง2-3 ปีนี้ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเหนื่อย แต่มีความสุขทุกครั้งที่เจอคนที่เก่งๆ คนที่สอนเราแบบไม่หวงคามรู้
ปัจจุบัน เงินเดือนผมเพิ่มจาก 30,000 กระโดดมาที่ 43,000 แต่รายรับรวมผมได้อยู่ที่ 52,000 กับบริษัท ยางรถยนตร์ชื่อดังที่ยอดขายเยอะที่สุดในโลก
ผมเชื่อว่ามีคนที่เงินเดือนมากกว่าผมเยอะ แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้ได้มาแบบฟลุคๆหรอกครับ ความสามารถทั้งนั้น
หลายคนคิดว่าเป็นเพราะต้นทุนเราน้อย จบแค่ปวช ปวส มหาลัยไม่ดัง เลยมองคุณค่าของตัวเองน้อยเกินไป แต่อยากให้ทุกคนสร้างคุณค่าของตัวเองขึ้นมาจากประสบการณ์ชีวิต เราต้องสร้างทักษะด้วยตัวเราเองและหาตัวเองให้เจอไวๆ อย่าเสียเวลา ไปกับสิ่งอบายมุขมากนัก บางทีมันอาจเป็นช่วงของเวลาวัยรุ่น วัยคึกคะนอง แต่อยากให้กลับตัวให้ไว เที่ยวได้ เมาได้ ปี้ได้ แต่ก็แบ่งเวลาให้เหมาะสมกับชีวิตเรา พยายามมอง Internet , google ,youtube , facebook คือแหล่งความรู้ชั้นยอด และเมื่อเราได้โอกาสไปสัมภาษณ์งานเราก็จะมีโอกาสจากการสร้างคุณค่าในตัวเรา
ในส่วนของการสมัครงานควรทำตัวเองให้โดเด่นใน Resume เช่น ผลงานที่เคยทำมา ทักษะที่มีและสามารถต่อยอดได้อนาคต ภาษาอังกฤษมีส่วนสำคัญอย่างมากครับสมัยนี้พยายามเพิ่มทักษะตรงนี้ให้มากๆครับ หวังว่าบทความนี้ช่วยให้ทุกคนมีกำลังใจในการหางานต่อไปนะครับ
แชร์ประสบการณ์จากคนตกงาน สู่ วิศกรเงินเดือนครึ่งแสน
วันนี้อยากจะลองแชร์ประสบการณ์ เผื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่ตกงานอยู่ครับ
1. ชีวิตช่วงที่ 1 เด็กจบใหม่ไร้ประสบการณ์
ชีวิตช่วงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ที่ไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ
ตอนนั้นผมจบ พระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิศวไฟฟ้า และได้ทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่ง โรม อินทริเกรตซิสเตมส์ นวนคร ปทุม เงินเดือน 17,000 baht
สวัสดิการถือว่าระดับดีพอตัว โบนัส2-3 เดือน มีห้องให้อยู่ฟรีกับรูมเมท บวกสวัสดิการและโอทีผมได้อยู่ประมาณ 23,000 baht และไม่มีภาระอะไรเลย
ทำงานในส่วนของ Test engineer ทำหน้าที่ Dbug ตัวIC และเก็บข้อมูลทำ CPK และมีประชุมกับ Plant ที่ Philipines ในส่วนของงานผมถือว่าโชคดีมีรุ่น พี่ที่จบจากสถาบันเดียวกัน ใน 3 พระจอม ลาดกระบัง บางมด และพระนครเหนือ ที่ช่วยซัพพอร์ตในเรื่องงานและให้คำปรึกษาที่ดี แต่เป็นตัวผมเอง ที่ทำตัวเองให้มีชีวิตที่ต่ำลง เนื่องจากตัวเองที่ไม่มีภาระอะไร ได้เงินมาก็ไม่ได้ให้พ่อให้แม่ ตกเย็นหลังเลิกงานผมไปเที่ยว ผับ ย่านๆรังสิต นวนคร อยู่เป็นประจำ
สมัยนั้นถ้าใครอยูปทุม ก็จะรู้จัก แสงจันทร์ เวียงจันทร์ ไม้หอม ชายคา เวอร์จิ้น บังกะโล คลองเพลง คือไปมาหมดและ หมดกับการเที่ยวเตร่และผู้หญิงเดือนละเกือบหมื่น หวย 2 งวดอีก 4-5 พัน เหลือเงินแค่พอกินพอใช้ในโรงงาน จนมีบัตรเครดิตที่โทรมาจากธนาคาร เสนอมาให้ทำ ไอ้เราตอนนั้นคิดว่าเขาเอาเงินมาให้เราใช้ ก็เลยสมัครเล่นๆไป 4-5 ที่ Kbank , KTC , CIMB , BAY จนทุกที่โทรมาว่าผมผ่านหมด ใช้เงินจนมือเติบ ต้องเอาโบนัสมาจ่ายหนี้ พอผมเริ่มไม่ไหวจึงมองหางานที่เงินเดือนสูงกว่าเดิม จนเปลี่ยนงานมาหลายๆที่ ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ HANA , SVI ,CANON , STARS MICRO ในระยะเวลา 4-5 ปีผมเปลี่ยนงานที่ละปี บางที่ ทำอยู่ 4-5 เดือน เพราะความเหลวกแหลกของตัวเองล้วนๆ ที่เป็นชีวิตส่วนตัว ที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานเลย
2. ชีวิตช่วงที่ 2 จากหายนะ สู่ นรก ตอนนั้นออกจากงานที่สตาร์ ไมโคร ผมตกงานอยู่ 3เดือน
นรกของจริงเพราะผมมีเงินเหลืออยู่ 5000 บาท เดือนแรกผมกลับมาอยู่บ้าน พ่อก็ด่า แม่ก็ด่า ผมก็ไม่มีรถไปสัมภาษณ์งาน
ผมไประยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา นั่งรถตู้จากฟิวเจอร์รังสิต ไปทีก็หมดไปประมาณ 500-1000 บาท
สัมภาษณ์กับบริษัทชื่อดัง แต่ก็ไม่ได้สักที่ อาจเป็นเพราะประสบการณ์ผมไม่มีทักษะกับนายจ้างที่เขาต้องการ เช่น PLC , solidwork , auto cad
ผมใช้ไม่เป็นสักอย่าง เงินเก็บผมหมด ผมเคว้งคว้าง ขอเงินแม่ไปร้านอินเตอร์เนตวันละ 100 บาทเพื่อส่ง Resume ในหลายๆเวบ ทั้ง jobthai , jobtopgun , jobsdb มีเรียกไปสัมภาษณ์ 20 ที่ในะระยะเวลา 3 เดือน แต่ไม่ได้สักที่ ผมท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่กล้าสู้หน้าพ่อกับแม่ จนผมได้อ่านกระทู้นึงในพันทิพ ที่เป็นจุดเปลี่ยน คือเวลาไปสัมภาษณ์ ให้ตอบความจริง รู้ตอบรู้ ไม่รู้ตอบไม่รู้ จนผมได้รับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่เข้าได้งานกับบริษัท ด้านยานยนตร์ ย่านวังน้อย และหัวหน้าผมก็จบพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่เดียวกัน หัวหน้าผมคนนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของผม
3. จากนรก สู่ ดินแดนสวรรค์
ผมได้ทำงานในส่วน Improvement engineer แต่ ทักษะผมตอนนั้นต่ำเตี้ยรากดินมาก แต่หัวหน้าผมนั้นคือ Mr.perfect
คือแกคอยเป็นพี่เลี้ยงผม เทรนผมด้านโปรแกรม PLC เบื้องต้น ให้ผมเรียนรู้ทักษะการ Assembly machine , ให้ผมวาดเขียนแบบวงจรไฟฟ้า
หัวหน้าผม แกออกแบบ Machine part ด้วย Solidwork เขียนโปรแกรม PLC ได้เอง แต่ยี่ห้อเดียวคือออมรอน ผมยอมรับว่าอยากเป็นเหมือนแก
มาก คืออยากเก่งแบบหัวหน้าผม ผมได้ประสบการณ์ตรงนั้นๆเต็มๆอยู่ 2 ปี และคิดว่าถึงเวลาที่ผมควรจะมองหางานที่เหมาะสมกับทักษะเรา
ผมเดินไปบอกหัวหน้าว่า " พี่ครับ ใบลาออกครับ " ตอนแรกผมนึกว่าหัวหน้าจะรั้งผมไว้ด้วยคำพูดบางอย่างเหมือนหลายๆที่ที่ผมเคยอยู่ แต่หัวหน้ากลับ เอ่ยขึ้นมาว่า " ทุกคนก็อยากมีเงินเดือนสูงๆ แต่พี่ไม่ได้อยากให้แกออกไปเพราะเงินเดือนนะ พี่อยากให้แกออกไปแล้วเก่งกว่าพี่ ทำได้ดีกว่าพี่ ฝึกฝีมือให้เยอะนะ ไว้สักวันเองเก่งกว่าพี่แน่นอน " ยอมรับตามตรงตอนนั้นว่าผมกลั้นน้ำใจแทบไม่อยู่ น้ำตาของหัวหน้ากับลูกน้องที่อายุห่างกันไม่กี่ปี น้ำตาของพี่กับน้องที่เคยเรียนสถาบันเดียวกัน
4. จากสวรรค์ สู่ การเดินทางไปในอวกาศ
หลังจากที่ได้ออกจากบริษัทนั้น ผมก็เปลี่ยนงานมาอีก 2-3 ที่ ยอมรับตรงๆเพราะเงินทั้งสิ้น
และระหว่างนั้นผมก็ใช้พื้นที่โซเชียล ในการค้นหาข้อมูลเพื่อเพิ่มทักษะให้กับตัวเอง ( หลายคนมักใช้ในความบันเทิง facebook , IG ,line youtube )
แต่ผมมองกลับมุมที่ว่ามันเป็นสังคมแห่งองค์ความรู้ทั้งนั้น ในเฟซบุ๊กมีกลุ่มทั้ง Thai plc , automation traning , CAD-CAM , วิศวกรไฟฟ้า
หลายคนใช้วันหยุดพักผ่อน ไปกับการเที่ยวตจว ดูหนังออนไลน์ ช๊อปปิ้ง ซึ่งก็ไม่ผิดในการหาความสุขให้ตัวเอง แต่ผมจะแบ่งเวลาในแต่ละเดือน เพื่อมองว่าทักษะไหนจำเป็นกับงานที่เกี่ยวข้องในอนาคต แะเทรนด์อุตสาหกรรมไปในทิศทางไหน จนได้พบกับคำตอบ E Factory , AI automaton ,Robot
ผมได้เดินทางไปหาประสบการณ์ กับ พี่ๆที่มากความสามารถ ในหลายๆบริษัท ซึ่งบางคนใจดีมาก สอนผม เทรนผมแบบไม่กั๊กวิชาความรู้ ตอนนั้นผมไม่มีรถ ผมนั่งรถตู้จากรังสิต ไปพระราม 2 ซอยบางกระดี่10 เพื่อไปหาพี่คนนึงที่เทรน PLC ให้ฟรี จาก Basic ถึง Advance ผมไปหาพี่ที่เป็นAplication engineer ของบริษัท Siemens เพื่อให้เขาลงโปรแกรม และเทรนจอ HMI proface , ผมได้ไปเรียน Solidwork ฟรีกับพี่ที่ยอมสละเวลามาสอนผม ผมเคยถามพี่เหล่านั้นว่าทำไมถึงสอนผม หลายๆคนตอบกลับมาว่า พี่เห็นในความพยายาม ความมุ่งมานะของเอง ตอนแรกพี่จะเก็บตังนะ แต่เองมาก็มีค่าใช้จ่ายงั้นพี่เลี้ยงเบียร์แกเอง กลับกลายเป็นว่าควรเป็นผมที่จะต้องเลี้ยงข้าวแก กลับกลายเป็นพี่ที่สอนผมเลี้ยงข้าวผม ทุกวันนี้ผมกลับไปก็ซื้อเบียร์ไปให้แกเสมอ
ผมได้อะไรเยอะมากช่วง2-3 ปีนี้ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเหนื่อย แต่มีความสุขทุกครั้งที่เจอคนที่เก่งๆ คนที่สอนเราแบบไม่หวงคามรู้
ปัจจุบัน เงินเดือนผมเพิ่มจาก 30,000 กระโดดมาที่ 43,000 แต่รายรับรวมผมได้อยู่ที่ 52,000 กับบริษัท ยางรถยนตร์ชื่อดังที่ยอดขายเยอะที่สุดในโลก
ผมเชื่อว่ามีคนที่เงินเดือนมากกว่าผมเยอะ แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้ได้มาแบบฟลุคๆหรอกครับ ความสามารถทั้งนั้น
หลายคนคิดว่าเป็นเพราะต้นทุนเราน้อย จบแค่ปวช ปวส มหาลัยไม่ดัง เลยมองคุณค่าของตัวเองน้อยเกินไป แต่อยากให้ทุกคนสร้างคุณค่าของตัวเองขึ้นมาจากประสบการณ์ชีวิต เราต้องสร้างทักษะด้วยตัวเราเองและหาตัวเองให้เจอไวๆ อย่าเสียเวลา ไปกับสิ่งอบายมุขมากนัก บางทีมันอาจเป็นช่วงของเวลาวัยรุ่น วัยคึกคะนอง แต่อยากให้กลับตัวให้ไว เที่ยวได้ เมาได้ ปี้ได้ แต่ก็แบ่งเวลาให้เหมาะสมกับชีวิตเรา พยายามมอง Internet , google ,youtube , facebook คือแหล่งความรู้ชั้นยอด และเมื่อเราได้โอกาสไปสัมภาษณ์งานเราก็จะมีโอกาสจากการสร้างคุณค่าในตัวเรา
ในส่วนของการสมัครงานควรทำตัวเองให้โดเด่นใน Resume เช่น ผลงานที่เคยทำมา ทักษะที่มีและสามารถต่อยอดได้อนาคต ภาษาอังกฤษมีส่วนสำคัญอย่างมากครับสมัยนี้พยายามเพิ่มทักษะตรงนี้ให้มากๆครับ หวังว่าบทความนี้ช่วยให้ทุกคนมีกำลังใจในการหางานต่อไปนะครับ