เพื่อนหลายๆ คนที่ทำประกันชั้น 1 คงเคยได้ยินคำถามจากนายหน้าที่ขายประกันกับเรามาบ้างแน่ๆ ว่า “พี่จะเลือก ซ่อมอู่ หรือ ซ่อมห้าง ครับ” คำถามนี้คงทำให้เพื่อนๆ หลายคนเกิดความสงสัยว่ามันต่างกันอย่างไร การเคลมมีความแตกต่างกันแค่ไหน และเลือกแบบไหนดีกว่ากัน
วันนี้ K-Expert จึงอยากจะมาแชร์ข้อมูลการเลือกประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ระหว่าง ซ่อมห้าง และ ซ่อมอู่ เพื่อให้เพื่อนๆ สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์กันครับ มาดูกันเลย
ประกันชั้น 1 แบบซ่อมห้าง
หากเราเลือกประกันประเภทนี้ เราสามารถนำรถของเราไปซ่อมในศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อที่เราใช้บริการได้เลย หรือก็คือ Showroom ขายรถยี่ห้อที่เราซื้อนั่นเองครับ แต่ บาง Showroom ก็ไม่มีแผนกซ่อมนะครับ ต้องสอบถามบริษัทประกันให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกศูนย์ที่จะเอารถเข้าไปซ่อม ถ้าเป็น Showroom ที่มีแผนกซ่อมสามารถซ่อมที่ศูนย์ได้เลย แต่กรณีที่ Showroom ไม่มีแผนกซ่อม ทาง Showroom จะส่งต่อรถของเราให้กับศูนย์ซ่อมที่ได้มาตรฐาน อะไหลแท้ มีโรงอบสี พ่นสีครบวงจร ให้กับเราครับ แต่หากเราไม่สะดวกเราก็ยังคงสามารถนำรถไปซ่อมที่อู่ที่ใกล้เคียงได้เช่นเดียวกันครับ
ข้อดี
อันดับแรกเลย คือ ความน่าเชื่อ มีมาตรฐานในการบริการ รวมถึงมั่นใจได้ว่าใช้อะไหล่แท้ในการเปลี่ยน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องสี หรือเรื่องเครื่องยนต์ การนำไปซ่อมห้างที่มีความพร้อมในเรื่องการซ่อมสีและตัวถัง จะทำให้สบายใจกว่า ได้งานที่เนี้ยบกว่า และสีรถไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้งยังมีทางเลือกในการซ่อมที่มากขึ้นอีกด้วย
ข้อเสีย
เรื่องของเบี้ยประกันที่แพงกว่า ค่าเบี้ยประกันจะสูงกว่าการรับประกันแบบซ่อมอู่ประมาณ 30% ระยะเวลารอซ่อมที่นานกว่า 1- 6 เดือน และเวลาที่นำรถไปซ่อมก็รอนานกว่าเช่นกัน อาจจะต้องเตรียมสำรองรถไว้ใช้ถ้าจะนำรถเข้าไปซ่อม และที่สำคัญที่สุดคือ ก่อนที่จะทำประกันแบบซ่อมห้าง ต้องถามตัวแทนประกันก่อนว่า ถ้าทำประกันชั้น 1 แบบซ่อมห้าง มีศูนย์ไหนใกล้บ้านเราบ้าง เพราะรถยี่ห้อเดียวกัน บางบริษัทประกันอาจจะซ่อมไม่ได้ทุกศูนย์ แล้วแต่ว่าศูนย์ไหนได้ทำสัญญากับบริษัทประกันไว้
ประกันชั้น 1 แบบซ่อมอู่
หลักๆ การซ่อมอู่จะประกอบไปด้วย การซ่อมอู่ในเครือบริษัท และ การซ่อมอู่นอกเครือบริษัท ซึ่งสิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ การนำรถไปซ่อมอู่ในเครือ เราไม่จำเป็นต้องสำรองเงินออกไปก่อนในการซ่อม เพียงแค่ต้องเช็กให้ดีว่า อู่นี้คืออู่ในเครือของบริษัทประกันที่ใช้หรือไม่ แต่หากเรานำรถเข้าซ่อมอู่นอกเครือ ที่ทางบริษัทกำหนดเราต้องสำรองเงินออกไปก่อน หลังจากนั้นจึงนำใบเสร็จไปเคลมจากประกันของเราอีกที ซึ่งเงื่อนไขการของเบิกเงินคืน จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัย
ข้อดี
แน่นอนว่าเบี้ยประกันถูกกว่าซ่อมห้าง และระยะเวลาในการรอซ่อมมักจะน้อยกว่าการซ่อมห้าง โดยสามารถเลือกอู่ที่อยู่ในเครือที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านซึ่งเดินทางได้สะดวก หรือจะเลือกจากอู่ที่มีประวัติในการซ่อมที่ดี มีมาตรฐานการให้บริการสูง และอะไหล่แท้เมื่อมีการซ่อม คุยกันง่ายหากมีปัญหาตามมา ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ข้อเสีย
เพื่อนๆ อาจจะเจออู่ที่ซ่อมงานไม่ดี งานไม่เป็นที่น่าพอใจ อะไหล่ปลอม อะไหล่มือสอง ทำสีแล้วสีไม่เสมอกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความชำนาญของช่างแต่ละอู่ แต่สามารถโทรเช็กกับตัวแทนบริษัทประกันได้ว่ามีอู่น่าเชื่อถือ งานดี งานละเอียดแถวบ้านหรือไม่ หรืออาจจะลองดูเองคร่าวๆ ว่ามีห้องเครื่อง โรงอบและห้องพ่นสี หรือมีเครื่องมือครบถ้วนหรือไม่
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ทราบถึงความแตกต่างระหว่างการ ซ่อมห้าง กับ ซ่อมอู่ ว่าแตกต่างกันในเรื่องใดบ้าง ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดี และข้อด้อยไม่เหมือนกัน การที่เราจะเลือกประกันแบบใด ควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละคน เช่น บางคนอาจจะเลือก ซ่อมอู่ เพราะมีอู่ที่มีชื่อเสียงในเครืออยู่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวกมากกว่าที่จะเลือกซ่อมห้าง ก่อนจะตัดสินใจอย่าลืมอ่านเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกันภัยกันด้วยนะครับ
ซ่อมห้างหรือซ่อมอู่ ประกันชั้น 1 เลือกแบบไหนให้ถูกใจกว่ากัน ???
ประกันชั้น 1 แบบซ่อมห้าง
หากเราเลือกประกันประเภทนี้ เราสามารถนำรถของเราไปซ่อมในศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อที่เราใช้บริการได้เลย หรือก็คือ Showroom ขายรถยี่ห้อที่เราซื้อนั่นเองครับ แต่ บาง Showroom ก็ไม่มีแผนกซ่อมนะครับ ต้องสอบถามบริษัทประกันให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกศูนย์ที่จะเอารถเข้าไปซ่อม ถ้าเป็น Showroom ที่มีแผนกซ่อมสามารถซ่อมที่ศูนย์ได้เลย แต่กรณีที่ Showroom ไม่มีแผนกซ่อม ทาง Showroom จะส่งต่อรถของเราให้กับศูนย์ซ่อมที่ได้มาตรฐาน อะไหลแท้ มีโรงอบสี พ่นสีครบวงจร ให้กับเราครับ แต่หากเราไม่สะดวกเราก็ยังคงสามารถนำรถไปซ่อมที่อู่ที่ใกล้เคียงได้เช่นเดียวกันครับ
ข้อดี
อันดับแรกเลย คือ ความน่าเชื่อ มีมาตรฐานในการบริการ รวมถึงมั่นใจได้ว่าใช้อะไหล่แท้ในการเปลี่ยน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องสี หรือเรื่องเครื่องยนต์ การนำไปซ่อมห้างที่มีความพร้อมในเรื่องการซ่อมสีและตัวถัง จะทำให้สบายใจกว่า ได้งานที่เนี้ยบกว่า และสีรถไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้งยังมีทางเลือกในการซ่อมที่มากขึ้นอีกด้วย
ข้อเสีย
เรื่องของเบี้ยประกันที่แพงกว่า ค่าเบี้ยประกันจะสูงกว่าการรับประกันแบบซ่อมอู่ประมาณ 30% ระยะเวลารอซ่อมที่นานกว่า 1- 6 เดือน และเวลาที่นำรถไปซ่อมก็รอนานกว่าเช่นกัน อาจจะต้องเตรียมสำรองรถไว้ใช้ถ้าจะนำรถเข้าไปซ่อม และที่สำคัญที่สุดคือ ก่อนที่จะทำประกันแบบซ่อมห้าง ต้องถามตัวแทนประกันก่อนว่า ถ้าทำประกันชั้น 1 แบบซ่อมห้าง มีศูนย์ไหนใกล้บ้านเราบ้าง เพราะรถยี่ห้อเดียวกัน บางบริษัทประกันอาจจะซ่อมไม่ได้ทุกศูนย์ แล้วแต่ว่าศูนย์ไหนได้ทำสัญญากับบริษัทประกันไว้
ประกันชั้น 1 แบบซ่อมอู่
หลักๆ การซ่อมอู่จะประกอบไปด้วย การซ่อมอู่ในเครือบริษัท และ การซ่อมอู่นอกเครือบริษัท ซึ่งสิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ การนำรถไปซ่อมอู่ในเครือ เราไม่จำเป็นต้องสำรองเงินออกไปก่อนในการซ่อม เพียงแค่ต้องเช็กให้ดีว่า อู่นี้คืออู่ในเครือของบริษัทประกันที่ใช้หรือไม่ แต่หากเรานำรถเข้าซ่อมอู่นอกเครือ ที่ทางบริษัทกำหนดเราต้องสำรองเงินออกไปก่อน หลังจากนั้นจึงนำใบเสร็จไปเคลมจากประกันของเราอีกที ซึ่งเงื่อนไขการของเบิกเงินคืน จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัย
ข้อดี
แน่นอนว่าเบี้ยประกันถูกกว่าซ่อมห้าง และระยะเวลาในการรอซ่อมมักจะน้อยกว่าการซ่อมห้าง โดยสามารถเลือกอู่ที่อยู่ในเครือที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านซึ่งเดินทางได้สะดวก หรือจะเลือกจากอู่ที่มีประวัติในการซ่อมที่ดี มีมาตรฐานการให้บริการสูง และอะไหล่แท้เมื่อมีการซ่อม คุยกันง่ายหากมีปัญหาตามมา ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ข้อเสีย
เพื่อนๆ อาจจะเจออู่ที่ซ่อมงานไม่ดี งานไม่เป็นที่น่าพอใจ อะไหล่ปลอม อะไหล่มือสอง ทำสีแล้วสีไม่เสมอกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความชำนาญของช่างแต่ละอู่ แต่สามารถโทรเช็กกับตัวแทนบริษัทประกันได้ว่ามีอู่น่าเชื่อถือ งานดี งานละเอียดแถวบ้านหรือไม่ หรืออาจจะลองดูเองคร่าวๆ ว่ามีห้องเครื่อง โรงอบและห้องพ่นสี หรือมีเครื่องมือครบถ้วนหรือไม่
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ทราบถึงความแตกต่างระหว่างการ ซ่อมห้าง กับ ซ่อมอู่ ว่าแตกต่างกันในเรื่องใดบ้าง ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดี และข้อด้อยไม่เหมือนกัน การที่เราจะเลือกประกันแบบใด ควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละคน เช่น บางคนอาจจะเลือก ซ่อมอู่ เพราะมีอู่ที่มีชื่อเสียงในเครืออยู่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวกมากกว่าที่จะเลือกซ่อมห้าง ก่อนจะตัดสินใจอย่าลืมอ่านเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกันภัยกันด้วยนะครับ