สนช.เชิญชาวนาถก กม.ข้าวยันพิจารณารอบคอบ ไม่เอาชาวนาติดคุกแน่


สนช.เชิญชาวนาถกกฎหมายข้าว “พรเพชร” ยันสภาพิจารณารอบคอบเพื่อช่วยชาวนา กมธ.แจงไม่ทำกฎหมายเอาชาวนาติดคุก

วันนี้ (18 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ข้าว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เชิญตัวแทนเกษตรกรมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าว ก่อนที่ที่ประชุม สนช.จะพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 20 ก.พ.

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวระหว่างร่วมการประชุมว่า ข้อวิจารณ์ต่างๆ เกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ สนช.กำลังพิจารณาดูอยู่ ส่วนถ้อยคำที่เกิดการตีความคลุมเครือนั้น สนช.จะแก้ไขให้เกิดความชัดเจนต่อไป

นายพรเพชรกล่าวว่า เมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาแล้ว สมาชิก สนช.ที่เหลือจะตรวจสอบให้รอบคอบอีกครั้ง โดยนำเอาความคิดเห็นของเกษตรกรมาเป็นตัวตั้ง

“เชื่อได้ว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และเป็นครั้งแรกที่เราเขียนขึ้นโดยลงลึกไปถึงวิถีชีวิตของชาวนา” นายพรเพชรกล่าว

ขณะที่ภาพรวมของการประชุม กลุ่มเกษตรกรได้สลับกันสอบถามถึงความชัดเจนเกี่ยวกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยกันเองได้หรือไม่ โดยไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย โดยคณะ กมธ.ชี้แจงว่า ร่างกฎหมายยังเปิดโอกาสให้ชาวนาที่มีเมล็ดพันธุ์ข้าวสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อย่างอิสระ

ภายหลังร่วมประชุมกันกว่า 2 ชั่วโมง คณะ กมธ.ได้จัดทำเอกสารชี้แจงในสาระสำคัญหลายประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ดังนี้

1. ประเด็นการที่มีการระบุว่า ชาวนาต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ หากเก็บเมล็ดพันธุ์เองจะต้องโทษจำคุก และปรับ 1 แสนบาท นับตั้งแต่ร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสภาตั้งแต่แรก กฎหมายได้เขียนยกเว้นในกรณีชาวที่เก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ใช้กันเองแล้วอย่างชัดเจน โดยไม่ถือเป็นความผิด และไม่มีการลงโทษจำคุกหรือปรับใดๆ นอกจากนี้ ถ้าชาวนามีเม็ดพันธุ์ข้าวที่ดีก็สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อย่างอิสระ เว้นแต่ชาวนาจะไปทำในลักษณะที่เป็นผู้ประกอบการเพื่อค้ากำไรเสียเอง เช่นนี้ก็ต้องขอรับรองพันธุ์ข้าวก่อนเท่านั้น

ขณะเดียวกัน คณะ กมธ.ยังได้กำหนดบทเฉพาะกาล โดยให้มีการทยอยปรับตัวของผู้ที่ยังไม่รับรองพันธุ์ เพื่อเข้าสู่ระบบภายในเวลา 3 ปี โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ประกอบการที่จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ได้พันธุ์รับรองยังขายได้ตามปกติและให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อครบ 3 ปีแล้วสามารถพิจารณาทบทวนว่าจะต้องขยายเวลาออกไป หรือจะพิจารณาอย่างอื่นใดที่เห็นว่าจำเป็นเหมาะสมก็ได้

2. ร่าง พ.ร.บ.ข้าว จัดทำขึ้นและเสนออย่างเร่งรีบและไม่รอบคอบ ร่างกฎหมายฉบับนี้เสนอโดยกลุ่ม สนช.ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2561 แต่เนื่องจากเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน จึงต้องให้รัฐบาลรับรองก่อนที่จะกลับมาเสนอให้ สนช.เมื่อเดือน พ.ย. 2561 ดังนั้น ขั้นตอนการดำเนินการจึงเป็นไปตามกลไกปกติ ไม่มีการเร่งรัดในช่วงท้ายการทำงานของ สนช.แต่อย่างใด

3. ประเด็นที่มีการระบุว่าร่าง พ.ร.บ.ข้าว กำหนดการขึ้นทะเบียนชาวนาทุกรส และให้ผู้ประกอบการโรงสีต้องออกใบรับรองข้าวเปลือก ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะการขึ้นทะเบียนชาวนาไม่มีการระบุเอาไว้ในกฎหมาย มีแต่เพียงมาตรา 19 ว่าด้วยการให้กรมการข้าวเชื่อมโยงข้อมูลเกษตรกรกับฐานข้อมูลที่มีอยู่ของภาครัฐ ส่วนกรณีของผู้ประกอบการโรงสีนั้น ในร่างกฎหมายกำหนดให้ผู้ซื้อข้าวเปลือกต้องออกใบรับซื้อข้าวเปลือก ซึ่งเป็นหลักฐานการรับซื้อข้าวเปลือกที่เกิดขึ้ตามความเป็นจริง และส่งสำเนาให้กรมการข้าวเพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดทำฐานข้อมูลดท่านั้น

4. ประเด็นที่มีการรายงานว่า มีการให้อำนาจเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเกษตรฯ เข้าไปตรวจสอบโรงสีโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้านั้น ในเรื่องนี้เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะไม่ใช่เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯมาตรวจใบรับซื้อ แต่ความจริงคือ เจ้าพนักงานที่ถูกตั้งขึ้นโดยรัฐมนตรี ตาม พ.ร.บ.ข้าว มีหน้าที่ดูแล กำกับเรื่องเมล็ดพันธุ์พืชเท่านั้น ไม่ใช่การไปตรวจใบรับซื้อ เพราะร่าง พ.ร.บ.ข้าว ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการค้าข้าว เนื่องจากกรณีการค้าข้าวจะเป็นไปตาม พ.ร.บ.ค้าข้าว พ.ศ. 2489 โดยกระทรวงพาณิชย์และเป็นกฎหมายคนละฉบับกัน

ที่สำคัญ อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามร่าง พ.ร.บ.ข้าว ได้กำหนดไว้เช่นเดียวกับบทบัญญัติว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.พันธุ์พืช ไม่ได้มีการเพิ่มเติมหรือกำหนดให้มีอำนาจไว้เป็นกรณีพิเศษแต่อย่างใด



ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9620000017034
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่