เราจะปฏิบัติตนอย่างไร? ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
ขั้นที่ ๑ ความจริงระดับปรมัตถ์ เราต้องยอมรับความจริง ทีแรกเราไม่ยอมรับ เราต้องค่อยๆ สังเกต ค่อยๆ สัมผัส จึงจะเกิดทักษะ ก็จะเกิดการยอมรับของจริง ความจริง เพราะว่าเป็นจริงเช่นนั้นจริงๆ จริงแท้เลย
ขั้นที่ ๒ เป็นความจริงระดับมายาธรรม เราต้องศึกษาตำราต่างๆ เราจึงเกิดองค์ความรู้ว่าเราจะปฏิบัติอย่างไร เราก็ต้องยอมรับในตำราที่ว่ามีคนยอมรับพอสมควร หรือคุยกับบุคคลที่คนทั่วไปยอมรับกัน เราก็ต้องเชื่อแบบอนุมานก่อน
อย่าไปบอกว่า อ้างอิงเอากาลามสูตร แม้แต่อาจารย์ก็เชื่อไม่ได้ ตำราก็เชื่อไม่ได้ อะไรๆ ก็เชื่อไม่ได้ เอาแต่พึ่งตนเอง เหมือนกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ท่านกล่าวว่า เราจะพึ่งตนเอง แล้วเรามีอะไรที่จะให้ตนเองพึ่งได้บ้าง เรามีความรู้เพียงพอไหม? ถ้าเราไม่รู้ หรือไม่มีความรู้ทางด้านนี้เพียงพอ เราก็ต้องไปพึ่งพาคนอื่น พึ่งผู้รู้
ทีนี้ความจริงอย่างมายาธรรม เป็นความจริงมาจากไหน? เป็นความจริงมาจากของเราเอง ถ้าเป็นความจริงของเรา ก็ต้องรอการพิสูจน์ แล้วยอมบริหาร ถ้าไม่เป็นไปอย่างนั้น จะต้องแก้ เราก็ต้องแก้ความจริง อย่าไปทู่ซี้ตรงนั้นซึ่งทำอย่างนั้นไม่ได้
เช่นครั้งหนึ่งบอกว่าน้ำมันพืชนี้ดี แต่ปรากฏว่าเวลานี้น้ำมันพืชไม่ดี แล้วเราพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ดี เราก็ต้องเปลี่ยนความคิด
หรือสิ่งเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนอีกก็ได้ ไม่แน่?
นี่แหละเป็นไปตามปรากฏการณ์ของธรรม เป็นภาวะๆหนึ่งเท่านั้น
ฉะนั้น การรู้ความจริงก็ต้องรู้จักบริหารความจริง ถ้าไม่รู้จักบริหารความจริง ตัวเองก็ต้องทุกข์
ความจริงเราทุกข์ เราก็ต้องมาดูว่า เราจะบริหารความจริงเราทุกข์เป็นเพราะอะไร? ถ้าไปทุกข์ในเรื่องที่ไม่น่าจะทุกข์แล้วเราจะทุกข์ไปทำไม? พอเราไม่รู้เราก็จะทุกข์ แต่พอเราได้เรียนรู้เราก็ไม่เห็นว่าจะต้องทุกข์
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
เราจะปฏิบัติตนอย่างไร? ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
ขั้นที่ ๑ ความจริงระดับปรมัตถ์ เราต้องยอมรับความจริง ทีแรกเราไม่ยอมรับ เราต้องค่อยๆ สังเกต ค่อยๆ สัมผัส จึงจะเกิดทักษะ ก็จะเกิดการยอมรับของจริง ความจริง เพราะว่าเป็นจริงเช่นนั้นจริงๆ จริงแท้เลย
ขั้นที่ ๒ เป็นความจริงระดับมายาธรรม เราต้องศึกษาตำราต่างๆ เราจึงเกิดองค์ความรู้ว่าเราจะปฏิบัติอย่างไร เราก็ต้องยอมรับในตำราที่ว่ามีคนยอมรับพอสมควร หรือคุยกับบุคคลที่คนทั่วไปยอมรับกัน เราก็ต้องเชื่อแบบอนุมานก่อน
อย่าไปบอกว่า อ้างอิงเอากาลามสูตร แม้แต่อาจารย์ก็เชื่อไม่ได้ ตำราก็เชื่อไม่ได้ อะไรๆ ก็เชื่อไม่ได้ เอาแต่พึ่งตนเอง เหมือนกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ท่านกล่าวว่า เราจะพึ่งตนเอง แล้วเรามีอะไรที่จะให้ตนเองพึ่งได้บ้าง เรามีความรู้เพียงพอไหม? ถ้าเราไม่รู้ หรือไม่มีความรู้ทางด้านนี้เพียงพอ เราก็ต้องไปพึ่งพาคนอื่น พึ่งผู้รู้
ทีนี้ความจริงอย่างมายาธรรม เป็นความจริงมาจากไหน? เป็นความจริงมาจากของเราเอง ถ้าเป็นความจริงของเรา ก็ต้องรอการพิสูจน์ แล้วยอมบริหาร ถ้าไม่เป็นไปอย่างนั้น จะต้องแก้ เราก็ต้องแก้ความจริง อย่าไปทู่ซี้ตรงนั้นซึ่งทำอย่างนั้นไม่ได้
เช่นครั้งหนึ่งบอกว่าน้ำมันพืชนี้ดี แต่ปรากฏว่าเวลานี้น้ำมันพืชไม่ดี แล้วเราพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ดี เราก็ต้องเปลี่ยนความคิด
หรือสิ่งเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนอีกก็ได้ ไม่แน่?
นี่แหละเป็นไปตามปรากฏการณ์ของธรรม เป็นภาวะๆหนึ่งเท่านั้น
ฉะนั้น การรู้ความจริงก็ต้องรู้จักบริหารความจริง ถ้าไม่รู้จักบริหารความจริง ตัวเองก็ต้องทุกข์
ความจริงเราทุกข์ เราก็ต้องมาดูว่า เราจะบริหารความจริงเราทุกข์เป็นเพราะอะไร? ถ้าไปทุกข์ในเรื่องที่ไม่น่าจะทุกข์แล้วเราจะทุกข์ไปทำไม? พอเราไม่รู้เราก็จะทุกข์ แต่พอเราได้เรียนรู้เราก็ไม่เห็นว่าจะต้องทุกข์
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต