เพื่อนชาวฝรั่งเศลจัดตั้งบริษัทเพื่อซื้อที่ดินจำนวน 1 ไร่บนเกาะ จำนวน 4 ล้านบาท เมื่อ 7 พค. 61 วางมัดจำไป 400,000 เพราะต้องรอการแบ่งโฉนดและเจ้าของที่ทำทางเข้าถนนคอนกรีต โดยถนนนี้ระบุว่าจะซื้อจากเจ้าของข้างเคียง สัญญาหมดอายุ 15 ตค. 61 เพื่อนบินมาเตรียมโอนและจ่ายที่เหลือเดือน พ.ย 61 แต่มาพบว่าไม่มีการดำเนินการใดๆเลยในระยะเวลาระบุในสัญญา
เพื่อนก็สอบถามไปทางผู้เกี่ยวข้อง ก็ผลัดเรื่อยมา เหมือนซื้อเวลา แล้วอยู่ๆ เมื่อ ต้นเดือน กพ ได้ติดต่อกลับไปสอบถาม ทางผู้เกี่ยวข้องแจ้งว่าจะขอคืนเงินมัดจำทั้งหมด แต่ขอไม่ให้ปรับตามระบุในสัญญา คืออีก 400,000 เป็นยอดรวม 800,000 บาท
โดยตลอดมาทางเพื่อนไม่เคยได้ติดต่อเจ้าของที่โดยตรง ทราบแต่ว่าจดในนามบริษัทและเป็นนักธุรกิจอยู่กรุงเทพ มีธุรกิจเยอะ 17 บริษัท จึงมอบอำนาจให้ผู้ดูแลผลประโยชน์กระทำการต่างๆแทน
ทาง จขกท ไม่ได้รู้เรื่องใดๆตั้งแต่ต้น จนตอนหลังเพื่อนพึ่งนำเอกสารสัญญามาปรึกษา จึงได้ทำการสืบ 555
พบว่า ชื่อ กรรมการบริษัทเป็นผู้หญิง แต่เจ้าของจริงๆเป็นผู้ชาย ทางผู้ดูแลบอกเป็นหลานสาว เรากะแอบคิดทำไมไม่เอาตัวเองหรือ ลูก ตัวเองเป็นกรรมการ จึงสืบต่อจากที่อยู่บริษัทในสัญญา และพบว่า มีบริษัทที่ใช้ที่อยู่นี้อีกหลายบริษัท แต่ที่พีคคือ เจ้าของบริษัทถูกฟ้องล้มละลายด้วยหนี้กว่า 800 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของน่าจะมีการมาจัดตั้งบริษัทใหม่โดยใช้บุคคลอื่นมาเป็นนอมินีเพื่อจะได้ล้มบนฟูก เพราะตามรายละเอียดเหมือนโดยฟ้งยกบ้าน เพราะมีชื่อลูกและภรรยาในบริษัทต่างๆ
ประเด็นคือ ถ้าที่แปลงดังกล่าวมีการซื้อ-ขายจริง จะมีปัญหากับผู้ซื้อต่อไหมค่ะ เพราะบริษัทจดใหม่ กรรมการก็คนใหม่ แต่ดันมีที่อยู่เดิมกับอีก 17 บริษัทที่ล้มละลายอยู่ เขาจะมาสืบแล้วมีโอกาสตามมายึดคืนไหมค่ะ เหมือนการซื้อขายนั้นจะเป็นโมฆะอะไรแบบนี้ กลายเป็นคนซื้อซวยรับกรรมไป
รบกวนผู้มีความรู้สละเวลาแนะนำหรือชี้แจงนิดนะค่ะ และถ้าเขาไม่ยอมคืนค่าปรับ เราฟ้องได้ไหมค่ะ และคุ้มไหมที่จะฟ้อง เพราะเพื่อนทิ้งงานและกู้เงินมาจากเมืองนอกเพื่อจะเริ่มทำธุรกิจบนที่แปลงนี้ แต่ระยะเวลาที่เสียไปฟรีๆคือจะ 4 เดือนแล้ว และเหมือนต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ เพราะต้องตระเวนหาซื้อที่แปลงใหม่
การซื้อทรัพย์สินของบุคคลล้มละลาย
เพื่อนก็สอบถามไปทางผู้เกี่ยวข้อง ก็ผลัดเรื่อยมา เหมือนซื้อเวลา แล้วอยู่ๆ เมื่อ ต้นเดือน กพ ได้ติดต่อกลับไปสอบถาม ทางผู้เกี่ยวข้องแจ้งว่าจะขอคืนเงินมัดจำทั้งหมด แต่ขอไม่ให้ปรับตามระบุในสัญญา คืออีก 400,000 เป็นยอดรวม 800,000 บาท
โดยตลอดมาทางเพื่อนไม่เคยได้ติดต่อเจ้าของที่โดยตรง ทราบแต่ว่าจดในนามบริษัทและเป็นนักธุรกิจอยู่กรุงเทพ มีธุรกิจเยอะ 17 บริษัท จึงมอบอำนาจให้ผู้ดูแลผลประโยชน์กระทำการต่างๆแทน
ทาง จขกท ไม่ได้รู้เรื่องใดๆตั้งแต่ต้น จนตอนหลังเพื่อนพึ่งนำเอกสารสัญญามาปรึกษา จึงได้ทำการสืบ 555
พบว่า ชื่อ กรรมการบริษัทเป็นผู้หญิง แต่เจ้าของจริงๆเป็นผู้ชาย ทางผู้ดูแลบอกเป็นหลานสาว เรากะแอบคิดทำไมไม่เอาตัวเองหรือ ลูก ตัวเองเป็นกรรมการ จึงสืบต่อจากที่อยู่บริษัทในสัญญา และพบว่า มีบริษัทที่ใช้ที่อยู่นี้อีกหลายบริษัท แต่ที่พีคคือ เจ้าของบริษัทถูกฟ้องล้มละลายด้วยหนี้กว่า 800 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของน่าจะมีการมาจัดตั้งบริษัทใหม่โดยใช้บุคคลอื่นมาเป็นนอมินีเพื่อจะได้ล้มบนฟูก เพราะตามรายละเอียดเหมือนโดยฟ้งยกบ้าน เพราะมีชื่อลูกและภรรยาในบริษัทต่างๆ
ประเด็นคือ ถ้าที่แปลงดังกล่าวมีการซื้อ-ขายจริง จะมีปัญหากับผู้ซื้อต่อไหมค่ะ เพราะบริษัทจดใหม่ กรรมการก็คนใหม่ แต่ดันมีที่อยู่เดิมกับอีก 17 บริษัทที่ล้มละลายอยู่ เขาจะมาสืบแล้วมีโอกาสตามมายึดคืนไหมค่ะ เหมือนการซื้อขายนั้นจะเป็นโมฆะอะไรแบบนี้ กลายเป็นคนซื้อซวยรับกรรมไป
รบกวนผู้มีความรู้สละเวลาแนะนำหรือชี้แจงนิดนะค่ะ และถ้าเขาไม่ยอมคืนค่าปรับ เราฟ้องได้ไหมค่ะ และคุ้มไหมที่จะฟ้อง เพราะเพื่อนทิ้งงานและกู้เงินมาจากเมืองนอกเพื่อจะเริ่มทำธุรกิจบนที่แปลงนี้ แต่ระยะเวลาที่เสียไปฟรีๆคือจะ 4 เดือนแล้ว และเหมือนต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ เพราะต้องตระเวนหาซื้อที่แปลงใหม่