สวัสดีค่ะเพื่อนชาวพันทิป วันนี้เราอยากมาแชร์เรื่องราวชีวิตการทำงานในรูปแบบคนออฟฟิศ สิ่งที่เราเจอตลอดการทำงาน 3 ปีกว่า
เรามีโอกาสทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ในตำแหน่ง Accounting &financing ในปีแรกการทำงานค่อนข้างกดดัน ทำงาน 08.30-20.00. โดยเฉลี่ย งานไม่เสร็จไม่สามารถกลับบ้านได้ ตำแหน่งนี้มีแค่เราคนเดียว
ทำไปสักสี่เดือนเราได้รับหน้าที่ความรับผิดชอบเพิ่มเติมคือ ตำแหน่ง Human supervisor ดูแลพนักงานเกือบ 20 คน นั่นแสดงว่า ควบสองตำแหน่ง เพียงคนเดียว นอกเหนือจากงานประจำสองตำแหน่งนี้ เรายังต้องคอยซัพพอร์ทงานของผู้บริหารสูงสุดในบริษัท ในช่วงวันหยุด เราต้องถืออุปกรณ์การทำงานไปด้วยทุกครั้ง เพราะงานด่วน มักเข้ามาเสมอ
ช่วงพีคสุดคือ ช่วงปลายปีที่ 3 ก่อนจะลาออก เราทำงาน 08.30-22.00 วันเสาร์อาทิตย์ยังต้องมาเคลียร์งานโดยไม่ได้รับเงินค่าล่วงเวลา (บริษัทไม่มีโอที)
กลางเดือนกันยายน เราป่วยจนต้องหยุดงาน 1สัปดาห์ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ตามมาด้วยโรคงูสวัด จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้งานโหลดและผิดพลาดครั้งใหญ่ จนเป็นเหตุให้เจ้านายตำหนิ โดนด่าสารพัด
ในช่วงนี้เราเหมือนร่างที่ไร้จิตวิญญาณ เพราะนอนน้อย บางทีห้าทุ่มเที่ยงคืนเจ้านายยังต้องไลน์มาถามงาน เราเป็นคนชอบเคลียร์ให้จบ ขออะไรเราก็ทำให้
ปลายเดือนพฤศจิกายน เราตัดสินใจลาออกเพราะรู้สึกสุขภาพเริ่มไม่ไหว นอนหลับยาก มีความเครียดสูง แต่เจ้านายให้เหตุผลว่าขอคิดดูก่อน
กลางเดือนธันวาคม เราขอคุยเรื่องลาออกอีกครั้ง เจ้านายเริ่มไม่รั้งไว้ เรารู้สึกโล่งใจมาก
สิ่งที่น่าเศร้าใจมากที่สุดคือ เราไม่คิดว่าการทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่มันไม่ได้มีความหมายหรือการเห็นอกเห็นจากบริษัท ในวันที่เจอความผิดพลาด งานโหลด เรากลับโดนต่อว่าราวกับฆ่าคนตาย
ต้นเดือนมกราคม เราสิ้นสุดบทบาทของการเป็นพนักงานของบริษัท เริ่มนอนหลับเป็นปกติ ความวิตกกังวลน้อยลง
ช่วงนี้ใช้เวลาพักผ่อนค่ะ เลยลองคิดเล่นๆว่า ถ้าเรายังใช้ชีวิตโหมงานหนักแบบเดิม วันละ 8-12 ชม. ก็ไม่รู้ว่าร่างจะพังไปอีกระดับไหน อนาคตวางไว้ว่า ขอออกมาทำอะไรเล็กๆของตัวเองดีกว่า ไม่มีหนี้สินอะไรค่ะ
จริงๆมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอแยะค่ะ มีทาง manager ชอบฟ้องด้วยนะคะ เราไม่อยากเอ่ยถึง เพราะไม่อยากผูกจิตไว้กับคนประเภทนี้ ไม่ค่อยชอบคนประเภทนี้เท่าไหร่ แต่ช่างเถอะค่ะ มันจบแล้ว แค่อยากแชร์ให้คนที่กำลังทำงานหนักแบบไม่คิดชีวิต กลับมารักสุขภาพบ้าง ร่างกายเป็นของเรานะคะ พังแล้วไม่มีอะไหล่เปลี่ยนนะคะ
#คนทำงาน
ตัดสินใจลาออกเพราะเจอปัญหาความเครียดในที่ทำงาน
เรามีโอกาสทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ในตำแหน่ง Accounting &financing ในปีแรกการทำงานค่อนข้างกดดัน ทำงาน 08.30-20.00. โดยเฉลี่ย งานไม่เสร็จไม่สามารถกลับบ้านได้ ตำแหน่งนี้มีแค่เราคนเดียว
ทำไปสักสี่เดือนเราได้รับหน้าที่ความรับผิดชอบเพิ่มเติมคือ ตำแหน่ง Human supervisor ดูแลพนักงานเกือบ 20 คน นั่นแสดงว่า ควบสองตำแหน่ง เพียงคนเดียว นอกเหนือจากงานประจำสองตำแหน่งนี้ เรายังต้องคอยซัพพอร์ทงานของผู้บริหารสูงสุดในบริษัท ในช่วงวันหยุด เราต้องถืออุปกรณ์การทำงานไปด้วยทุกครั้ง เพราะงานด่วน มักเข้ามาเสมอ
ช่วงพีคสุดคือ ช่วงปลายปีที่ 3 ก่อนจะลาออก เราทำงาน 08.30-22.00 วันเสาร์อาทิตย์ยังต้องมาเคลียร์งานโดยไม่ได้รับเงินค่าล่วงเวลา (บริษัทไม่มีโอที)
กลางเดือนกันยายน เราป่วยจนต้องหยุดงาน 1สัปดาห์ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ตามมาด้วยโรคงูสวัด จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้งานโหลดและผิดพลาดครั้งใหญ่ จนเป็นเหตุให้เจ้านายตำหนิ โดนด่าสารพัด
ในช่วงนี้เราเหมือนร่างที่ไร้จิตวิญญาณ เพราะนอนน้อย บางทีห้าทุ่มเที่ยงคืนเจ้านายยังต้องไลน์มาถามงาน เราเป็นคนชอบเคลียร์ให้จบ ขออะไรเราก็ทำให้
ปลายเดือนพฤศจิกายน เราตัดสินใจลาออกเพราะรู้สึกสุขภาพเริ่มไม่ไหว นอนหลับยาก มีความเครียดสูง แต่เจ้านายให้เหตุผลว่าขอคิดดูก่อน
กลางเดือนธันวาคม เราขอคุยเรื่องลาออกอีกครั้ง เจ้านายเริ่มไม่รั้งไว้ เรารู้สึกโล่งใจมาก
สิ่งที่น่าเศร้าใจมากที่สุดคือ เราไม่คิดว่าการทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่มันไม่ได้มีความหมายหรือการเห็นอกเห็นจากบริษัท ในวันที่เจอความผิดพลาด งานโหลด เรากลับโดนต่อว่าราวกับฆ่าคนตาย
ต้นเดือนมกราคม เราสิ้นสุดบทบาทของการเป็นพนักงานของบริษัท เริ่มนอนหลับเป็นปกติ ความวิตกกังวลน้อยลง
ช่วงนี้ใช้เวลาพักผ่อนค่ะ เลยลองคิดเล่นๆว่า ถ้าเรายังใช้ชีวิตโหมงานหนักแบบเดิม วันละ 8-12 ชม. ก็ไม่รู้ว่าร่างจะพังไปอีกระดับไหน อนาคตวางไว้ว่า ขอออกมาทำอะไรเล็กๆของตัวเองดีกว่า ไม่มีหนี้สินอะไรค่ะ
จริงๆมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอแยะค่ะ มีทาง manager ชอบฟ้องด้วยนะคะ เราไม่อยากเอ่ยถึง เพราะไม่อยากผูกจิตไว้กับคนประเภทนี้ ไม่ค่อยชอบคนประเภทนี้เท่าไหร่ แต่ช่างเถอะค่ะ มันจบแล้ว แค่อยากแชร์ให้คนที่กำลังทำงานหนักแบบไม่คิดชีวิต กลับมารักสุขภาพบ้าง ร่างกายเป็นของเรานะคะ พังแล้วไม่มีอะไหล่เปลี่ยนนะคะ
#คนทำงาน