สวัสดีค่ะ ตอนนี้เราเรียนระดับบัณฑิตศึกษา (โท-เอก) อยู่ค่ะ เรียนแบบหลักสูตรเต็มเวลานะคะ ไม่ได้ทำงานไปด้วย
เราเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาท่านนี้เพราะหัวข้อวิจัยค่ะ โดยอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนคิดหัวข้อวิจัยและภาพรวมของงาน
แต่ในขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยเราต้องพึ่งพาตัวเองในการศึกษาค้นคว้า และหากมีปัญหาที่ปรึกษาจะมีหน้าที่ในการให้คำแนะนำค่ะ
ในตอนแรกเราเข้าใจว่าการเรียนบัณฑิตศึกษาคงไม่ต่างจากเรียนตรีมากนัก หากเราขยันตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จเอง
แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ แค่ตัวเราเองขยันนั้นไม่เพียงพอ เพราะเราเองก็ทำงานวิจัยทุกวันทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้เรียนจบตามเวลา
แต่บางครั้งเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สามารถควบคุมให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้
และบวกกับอาจารย์เองก็ไม่ได้มาดูแลให้คำปรึกษาเท่าที่ควร ทำให้เราใช้เวลาในการเรียนนานกว่าที่ควร
และเมื่อเราทำงานวิจัยเสร็จแล้ว ต้องสอบจบ
ซึ่งในขั้นตอนนี้ต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาช่วยอ่านและอาจมีข้อเสนอแนะปรับปรุงแก้ไขงานของเราค่ะ
ซึ่งเราก็ส่งงานให้อาจารย์ที่ปรึกษาตามระยะเวลาและเผื่อเวลาให้พอสำหรับทั้งเราและที่ปรึกษาปรับแก้นะคะ
แต่ที่ปรึกษาเราเค้าไม่ยอมอ่านเล่มผลงานเราค่ะ เราก็รอเพราะเราคิดว่าบางทีอาจารย์เค้าน่าจะงานยุ่งเพราะมีต้องสอนน้องๆป.ตรี
(เราเข้าใจนะ) สุดท้ายเค้าก็ตรวจเล่มให้เรานะ ตรวจให้แบบเฉียดฉิวมากเลยค่ะ
***แต่ๆๆๆ เรื่องเกิดหลังจากตอนที่เราสอบจบค่ะ
ซึ่งกรรมการสอบและอาจารย์ที่ปรึกษาให้เราแก้ไขเนื้อหาบางส่วนของวิทยานิพนธ์ ซึ่งเราก็แก้ไขตามข้อเสนอแนะทุกอย่าง
แต่อาจารย์ที่ปรึกษาเราเค้าไม่ยอมให้เล่มเราผ่านค่ะ ถ้าเราไม่ยอมส่งข้อมูลและวิธีทำงานทุกอย่างแบบละเอียดมากๆให้
เราเข้าใจนะคะว่าจริงๆแล้วโดยหลักการอาจารย์มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้
แต่ที่เรากังวลมากในขณะนี้คือเรากลัวว่าจะไม่มีชื่อเราอยู่ในงานวิจัยที่เราทำทั้งๆที่เราทุ่มเทมาก
เรากลัวว่าอาจารย์ที่ปรึกษาเราจะเอางานของเราไปตีพิมพ์เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการให้กับตัวเองโดยที่ไม่มีชื่อเราค่ะ
(เรารู้สึกเสียความรู้สึกมาก) เพราะเรื่องการตีพิมพ์ก็เป็นสัญญาใจค่ะ ไม่มีลายลักษณ์อักษร
ซึ่งตอนแรกอาจารย์บอกว่าจะให้เราเป็นคนเขียนแล้วส่งให้อาจารย์ตรวจและแก้ไขค่ะ
แต่ตอนนี้อาจารย์ไม่พูดถึงเรื่องของงานที่จะใช้ตีพิมพ์เลยค่ะ อาจารย์ต้องการเพียงแค่ข้อมูลดิบและวิธีการทั้งหมด
(เราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้นะคะ เพราะเราเห็นรุ่นพี่โดนมาแบบนี้หลายคนค่ะ)
จากเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราทำให้เราอยากบอกทุกคนที่ต้องการจะเรียนต่อว่าให้พึงระลึกว่าการที่เราจะเรียนจบได้นั้น
ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเราเองเท่านั้นที่ต้องขยัน แต่ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือที่ปรึกษาเราค่ะ
ตอนแรกก่อนที่จะเริ่มเรียนมีคนเคยบอกเรานะคะว่าเลือกที่ปรึกษาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เราไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่เค้าบอกกันมา (ถ้าเราไม่เจอกับตัวเอง)
ซึ่งจากการที่อาจารย์ละเลยเราจนทำให้งานหลายอย่างต้องล่าช้า และจบการศึกษาช้า
รวมทั้งคำพูดบางอย่างของอาจารย์ทำให้เราต้องไปพบจิตแพทย์ค่ะ
ตอนนั้นเราไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเราจะเป็นโรคซึมเศร้า คิดว่าคงแค่เครียดมาก
ตอนนั้นเราก็ตัดสินใจคุยกับเค้านะคะว่าเราเป็นขนาดนี้ เค้าก็ถามเราว่าเป็นเพราะเรื่องเรียนหรอ
เราบอกว่าใช่ และนาทีนั้นก็ตัดสินใจพูดไปว่าอยากให้อาจารย์ใส่ใจมากขึ้น
ณ ตอนนั้นเค้าก็รับปากนะคะ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ค่ะ
เค้าก็ยังมีคำพูดและการกระทำที่ทำให้เรารู้สึกแย่อยู่ค่ะ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันเราเครียดมาก
ยิ่งมีปัญหานี้เกิดขึ้นเราก็ยิ่งรู้สึกแย่ค่ะ ไม่รู้จะหาทางออกยังไงดี
เลยอยากปรึกษาว่ามีกฎหมายอะไรที่จะช่วยปกป้องผลงานเราได้บ้างไหมคะ?
หรือท่านใดมีประสบการณ์แบบนี้บ้าง และจัดการอย่างไรคะ?
ป.ล. ด้วยอะไรหลายๆอย่าง เราไม่สามารถพึ่งพาผู้มีอำนาจในคณะได้ค่ะ
กังวลว่าอาจารย์ที่ปรึกษาจะนำผลงานวิจัยที่ทำไปเป็นของตัวเองทั้งหมดจะทำอย่างไรได้บ้างคะ? + มุมมืด โท-เอก
เราเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาท่านนี้เพราะหัวข้อวิจัยค่ะ โดยอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนคิดหัวข้อวิจัยและภาพรวมของงาน
แต่ในขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยเราต้องพึ่งพาตัวเองในการศึกษาค้นคว้า และหากมีปัญหาที่ปรึกษาจะมีหน้าที่ในการให้คำแนะนำค่ะ
ในตอนแรกเราเข้าใจว่าการเรียนบัณฑิตศึกษาคงไม่ต่างจากเรียนตรีมากนัก หากเราขยันตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จเอง
แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ แค่ตัวเราเองขยันนั้นไม่เพียงพอ เพราะเราเองก็ทำงานวิจัยทุกวันทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้เรียนจบตามเวลา
แต่บางครั้งเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สามารถควบคุมให้เป็นอย่างที่เราต้องการได้
และบวกกับอาจารย์เองก็ไม่ได้มาดูแลให้คำปรึกษาเท่าที่ควร ทำให้เราใช้เวลาในการเรียนนานกว่าที่ควร
และเมื่อเราทำงานวิจัยเสร็จแล้ว ต้องสอบจบ
ซึ่งในขั้นตอนนี้ต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาช่วยอ่านและอาจมีข้อเสนอแนะปรับปรุงแก้ไขงานของเราค่ะ
ซึ่งเราก็ส่งงานให้อาจารย์ที่ปรึกษาตามระยะเวลาและเผื่อเวลาให้พอสำหรับทั้งเราและที่ปรึกษาปรับแก้นะคะ
แต่ที่ปรึกษาเราเค้าไม่ยอมอ่านเล่มผลงานเราค่ะ เราก็รอเพราะเราคิดว่าบางทีอาจารย์เค้าน่าจะงานยุ่งเพราะมีต้องสอนน้องๆป.ตรี
(เราเข้าใจนะ) สุดท้ายเค้าก็ตรวจเล่มให้เรานะ ตรวจให้แบบเฉียดฉิวมากเลยค่ะ
***แต่ๆๆๆ เรื่องเกิดหลังจากตอนที่เราสอบจบค่ะ
ซึ่งกรรมการสอบและอาจารย์ที่ปรึกษาให้เราแก้ไขเนื้อหาบางส่วนของวิทยานิพนธ์ ซึ่งเราก็แก้ไขตามข้อเสนอแนะทุกอย่าง
แต่อาจารย์ที่ปรึกษาเราเค้าไม่ยอมให้เล่มเราผ่านค่ะ ถ้าเราไม่ยอมส่งข้อมูลและวิธีทำงานทุกอย่างแบบละเอียดมากๆให้
เราเข้าใจนะคะว่าจริงๆแล้วโดยหลักการอาจารย์มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้
แต่ที่เรากังวลมากในขณะนี้คือเรากลัวว่าจะไม่มีชื่อเราอยู่ในงานวิจัยที่เราทำทั้งๆที่เราทุ่มเทมาก
เรากลัวว่าอาจารย์ที่ปรึกษาเราจะเอางานของเราไปตีพิมพ์เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการให้กับตัวเองโดยที่ไม่มีชื่อเราค่ะ
(เรารู้สึกเสียความรู้สึกมาก) เพราะเรื่องการตีพิมพ์ก็เป็นสัญญาใจค่ะ ไม่มีลายลักษณ์อักษร
ซึ่งตอนแรกอาจารย์บอกว่าจะให้เราเป็นคนเขียนแล้วส่งให้อาจารย์ตรวจและแก้ไขค่ะ
แต่ตอนนี้อาจารย์ไม่พูดถึงเรื่องของงานที่จะใช้ตีพิมพ์เลยค่ะ อาจารย์ต้องการเพียงแค่ข้อมูลดิบและวิธีการทั้งหมด
(เราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้นะคะ เพราะเราเห็นรุ่นพี่โดนมาแบบนี้หลายคนค่ะ)
จากเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราทำให้เราอยากบอกทุกคนที่ต้องการจะเรียนต่อว่าให้พึงระลึกว่าการที่เราจะเรียนจบได้นั้น
ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเราเองเท่านั้นที่ต้องขยัน แต่ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือที่ปรึกษาเราค่ะ
ตอนแรกก่อนที่จะเริ่มเรียนมีคนเคยบอกเรานะคะว่าเลือกที่ปรึกษาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เราไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่เค้าบอกกันมา (ถ้าเราไม่เจอกับตัวเอง)
ซึ่งจากการที่อาจารย์ละเลยเราจนทำให้งานหลายอย่างต้องล่าช้า และจบการศึกษาช้า
รวมทั้งคำพูดบางอย่างของอาจารย์ทำให้เราต้องไปพบจิตแพทย์ค่ะ
ตอนนั้นเราไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเราจะเป็นโรคซึมเศร้า คิดว่าคงแค่เครียดมาก
ตอนนั้นเราก็ตัดสินใจคุยกับเค้านะคะว่าเราเป็นขนาดนี้ เค้าก็ถามเราว่าเป็นเพราะเรื่องเรียนหรอ
เราบอกว่าใช่ และนาทีนั้นก็ตัดสินใจพูดไปว่าอยากให้อาจารย์ใส่ใจมากขึ้น
ณ ตอนนั้นเค้าก็รับปากนะคะ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ค่ะ
เค้าก็ยังมีคำพูดและการกระทำที่ทำให้เรารู้สึกแย่อยู่ค่ะ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันเราเครียดมาก
ยิ่งมีปัญหานี้เกิดขึ้นเราก็ยิ่งรู้สึกแย่ค่ะ ไม่รู้จะหาทางออกยังไงดี
เลยอยากปรึกษาว่ามีกฎหมายอะไรที่จะช่วยปกป้องผลงานเราได้บ้างไหมคะ?
หรือท่านใดมีประสบการณ์แบบนี้บ้าง และจัดการอย่างไรคะ?
ป.ล. ด้วยอะไรหลายๆอย่าง เราไม่สามารถพึ่งพาผู้มีอำนาจในคณะได้ค่ะ