ทริปนี้เกิดจากการเปิด Route บินใหม่ของ Thai Lion air เส้นทางบินตรง BKK-Tokyo(Narita) และราคารวมกระเป๋าแล้วตกอยู่ที่เก้าพันบาท จัดซิคะรออะไร....มีวันลาไปเที่ยวรวมวันหยุดแล้ว 4 วัน และมีเพื่อนขอไปด้วย1 คน ก็น่าจะเพียงพอ คิดแค่ว่าตั๋วถูกเที่ยวสี่วันก็ถือว่าคุ้ม เลยจัดการจองตั๋ว....ซึ่งนั่นคือจองล่วงหน้าแค่หนึ่งเดือน ที่พักและอย่างอื่นยังไม่หา ไม่แพลนอะไรทั้งสิ้น คิดว่าพอจองตั๋วเสร็จทุกอย่างจะตามมาเอง 555+
เดิมคืออยากไป AKITA พอไปถึงแล้วดันไม่ได้เข้าไปเที่ยวในเมือง AKITA ซะงั้น ได้แต่เที่ยวใกล้ๆ AKITA แทน ซึ่งที่เทียวทั้งหมดแต่ละวันเป็นดังนี้ค่ะ (ช่วงวันที่เดินทางคือ 8-12Dec2018)
1st Day นอน Farm Stay ที่ Kakunodate
2nd Day Nyuto onsen
3rd Day Tazawako Lake – Kakunodate Samurai village
4th Day AKITA Nairikuline
5th Day เดินทางกลับ BKK
เวลาที่แพลนทริปมีน้อยมาก ดังนั้นพอจองตั๋วเครื่องบินเสร็จ เลยต้องไปเดินงานท่องเที่ยว ญี่ปุ่น เพื่อหาไอเดียและดู pass ต่างๆ และสิ่งที่ได้มาจากในงานคือ Farm Stay ที่ Akita 1 คืน และ JR East Pass (Tohoku area) 5 Day
1st Day (Farm stay) ถึงนาริตะเวลา 9.10 ทุกอย่างต้องรีบมาก ทั้งแลกตั๋ว JR PASS, Book ที่นั่ง Shinkansen และวิ่งขึ้น Narita express ให้ทันรอบเร็วสุด จาก Narita express มาต่อ Shinkansen ที่สถานี Tokyo ก็ไม่ลืมแวะซื้อเบนโตะไว้กินบนรถไฟกัน เพราะรถไฟไป KAKUNODATE ใช้เวลาจากเดินทางจาก Tokyo ประมาณ 3 ชม. ได้อาหารแล้วก็วิ่งไปขึ้น Shinkansen สามชั่วโมงผ่านไป เวลาประมาณ 15.30 ก็มาถึงสถานี KAKUNODATE
จากเมื่อคืนที่นั่งเครื่องมาจากไทย จนถึงตอนเย็น ก็ไม่ค่อยได้ออกนอกอาคารหรือด้านนอกที่จะได้สัมผัสอากาศหนาวเท่าไหร่ พอเดินลงจาก Shinkansen ที่สถานี KAKUNODATE เท่านั้นแหละ โหวววววว รู้สึกเหมือนกุ้งโดนน๊อคน้ำแข็งอ่ะ หน้าชาแบบไม่ต้องพึ่งโบท็อกเลยค่ะ 555+
เรานัดเจ้าของ Farm Stay มารับตอน 16.00 ก็นั่งรอในสถานีซักพัก คือสถานีมันเล็กมาก และมีแค่เรากับเพื่อนที่ดูหน้าตาไม่ใช่คนญี่ปุ่น ดังนั้นพอคุณป้ามารับแกก็เดินมาถามเราว่าใช่พัก Farm Stay เค๊ามั้ย ด้วยความที่เราจำชื่อฟาร์มสเตย์แกไม่ได้เราก็บอกไม่ใช่ ป้าแกก็เดินวนไปวนมาคงไม่เจอใครที่เป็นคนไทยแระ มาถามเราอีกรอบ เลยต้องเปิดโพยมาดู อ่าว!! ใช่ชื่อที่แกเขียนในป้ายมานี่หว่า ก็ขอโทษแกไปพร้อมทั้งยกกระเป๋าขึ้นรถแกและขับมาที่ฟาร์มสเตย์ประมาณ 10 นาที
บรรยากาศฟาร์มสเตย์ที่นี่คือแบบว่า ฟินมากกกกกก แต่เนื่องจากพอไปถึงกว่าจะฟังป้าอธิบายการใช้งานทุกอย่างเสร็จ ช่วยป้าทำกับข้าวและทานข้าวเย็นกันก็มืดแล้ว เลยได้เเต่รอทานข้าวเย็นกันในบ้านนี่แหละค่ะ
คุณป้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย วิธีการสื่อสารคือ พูดผ่าน app แปลภาษา และที่ง่ายสุดคือ สื่อสารผ่านรูปภาพ ตามที่เห็นค่ะ ป้าน่ารัก ^__^
ตื่นเช้ามาก็เดินเล่นรอบๆที่พัก วันที่เราไปถึง หิมะเพิ่งตกเป็นวันที่สองเองค่ะ และจริงๆมันไม่ได้เป็นฟาร์มใหญ่นะคะ คือเป็นบ้านคนที่ทำเกษตรกรรมเล็กๆเหมือนบ้านที่อยู่ ตวจ. ของเรานี่แหละค่ะ แต่บรรยากาศแบบ ให้ 10 10 10 ไปเลยจ๊า ที่สำคัญเงียบแบบไม่มีคนเลย หรือมันหนาวเกินไปไม่รู้คนเลยอยู่ในบ้าน
2nd Day เช้าวันที่สอง หลังจากถ่ายรูปที่ฟาร์มสเตย์เรียบร้อย คุณป้าก็กลับมาส่งที่สถานี Kakunodate ซึ่งวันนี้เราจะไป 1 ในออนเซ็นของ Nyuto Onsen จากที่เราจองล่วงหน้าเพียง 1 เดือน จึงหา Onsen ที่มีห้องว่างยากมาก สุดท้ายได้ที่ Kyukamura Nyuto - Onsenkyo เราจองที่นี่ผ่าน web RAKUTEN ค่ะ
ก่อนไปเราได้ฝากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่ รร. ตรงสถานี KAKUNODATE (รร.ชื่อ Folkloro kakunodate อยู่ติดทางเข้าสถานีเลยค่ะ) เพราะในวันถัดไปเราจะกลับมานอนที่นี่ 1 คืน เลยขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วแบ่งเสื้อผ้าใส่กระเป๋าผ้าใบเล็กไปแทนค่ะ เพราะที่ Onsen ที่จะไปต้องนั่งรถบัสขึ้นไปบนเขาอีกไกลค่ะ กระเป๋าใหญ่ไม่น่าจะสะดวกเท่าไหร่ จากสถานี KAKUNODATE เราต้องนั่ง Shinkansen มาที่สถานี TAZAWAKO ใช้เวลาเพียง 13 นาที และมาซื้อตั๋วรถบัสเพื่อไปยัง รร. Kyukamura Nyuto – Onsen ที่ตรงสถานีนี้ ระหว่างรอรสบัส ก็หาอะไรรองท้องซักนิดซักหน่อยรอบๆสถานี
หลังจากนั่งรถบัสมาเกือบชั่วโมงก็มาถึงโรงเเรมที่จองไว้ค่ะ โชคดีที่โรงแรมที่จองมีป้ายจอดรถบัสอยู่หน้าโรงแรมเลย เดินลงรถบัสปุ๊บเดินเข้าโรงแรมเลย แต่ๆ ธรรมดาโลกไม่จำค่ะ เราลืมฟังประกาศบอกสถานีบนรถ แถมตอนดูป้ายบอกสถานีที่ขึ้นหน้ารถบัส เราคิดว่ามันเป็นสถานีหน้า พอรถจอดป้ายโรงแรม เราไม่ลงจ๊า พอรถออกจากป้ายไปได้ซักพัก อ่าว! ชื่อสถานีเปลี่ยน คิดในใจซวยแระ รีบกรดกริ่งทันใด คนขับรถบัสใจดี จอดนอกป้ายให้ลงด้วย เดินกลับมาที่รร. ท่ามกลางหิมะนี่มันก็ทรมานเหมือนกันนะ
เนื่องจากที่นี่ให้เช็คอินตอน 15.00 แต่เรามาถึงตอนบ่ายโมง ยังเช็คอินไม่ได้ แต่พนักงานแจ้งว่าสามารถใช้บริการห้องอาบน้ำซึ่งก็คือออนเซ็นได้เลย ตรงล็อบบี้มีชุดให้พร้อมค่ะ ใครไม่อยากเสียเวลาก็สามารถไปแช่ออนเซ็นรอได้เลย ว่าแล้วก็หยิบชุดแล้วเดินไปสำรวจห้องออนเซ็นก่อน ห้องออนเซ็นที่นี่อยู่ชั้น 3 ของ โรงแรมนะคะ แต่เป็น Open Air คือเข้าใจว่าด้านหลังตรงห้องออนเซ็นติดภูเขา บ่อออนเซ็นเลยอยู่ชั้น 3 แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าไป เลยลงไปนั่งกินโกโก้ร้อนรอที่ล็อบบี้ จนถึงเวลาเช็คอิน ตอนเช็คอิน จนท. อธิบายเรื่องรอบอาหารเย็นและข้อมูลต่างๆ เช่น รอบรสบัส เวลาปูที่นอน ซึ่งเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะนางพูดภาษาญี่ปุ่นล้วนจ๊า....เราก็ได้แต่เดาๆ เอาจากเวลาที่เค๊าแจ้ง อ่อ ที่นี่ในห้องพักไม่มีห้องอาบน้ำนะคะ มีแค่ห้องส้วมค่ะ ถ้าจะอาบน้ำคุณต้องไปห้องอาบน้ำค่ะ นั่นคือตรงที่เราไปแช่ออนเซ็นนั่นเอง
ชุดที่โรงเเรมเตรียมไว้ตรงล็อบบี้นะคะ
อุปกรณ์ในห้องพักและบรรยากาศที่มองเห็นจากห้องพัก
หน้าห้องอาบน้ำ (บ่อออนเซ็น) แยกชายหญิงนะคะ
ด้านในห้องอาบน้ำถ่ายมาไม่ได้นะคะ เนื่องจากเดินผ่านประตูเข้าไปก็เป็นห้องแต่งตัวที่มีล็อคเกอร์ไว้เวลาถอดเสื้อผ้าและเก็บของค่ะ คือถอดกันหมดตรงนี้แหละค่ะ แล้วเดินเข้าไปอาบน้ำตรงห้องอาบน้ำรวมซึ่งมีบ่อน้ำร้อนด้านในห้องด้วยนะคะ คือต้องอาบน้ำก่อน อาบเสร็จก็เดินลงบ่อปรับอุณภูมิร่างกายด้านในก่อน แล้วพอขึ้นจากบ่อด้านในก็เปิดประตูไปอีกบ่อนึงซึ่งเป็นบ่อ open air ค่ะ แต่มีหลังคานะคะ แช่ไปหิมะปลิวตกใส่หน้าไป มันฟินมากกกค่ะ
ห้องอาบน้ำที่นี่มีรับลูกค้าที่มาแช่ออนเซ็นอย่างเดียวด้วย ถ้าใครมาไม่ต้องเตรียมอะไรมาเลยค่ะ มีให้ครบุกอย่าง ตั้งแต่ครีมอาบน้ำ แชมพู คอนดิชันเนอร์ ครีมทาหน้า ทาผิว หวี ไดร์ พร้อมหมดค่ะ มาแต่ตัวก็แช่ออนเซ็นได้ ถ้าไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนก็ใส่ชุดเดิมกลับบ้านได้ค่ะ
ราคาห้องพักที่นี่รวมอาหารเย็นแบบ Buffet ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากกกก ตอนลงไปทานอาหารเย็นไม่ได้ถือกล้องลงไปด้วยเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชมค่ะ แต่ของกินเยอะจริงๆค่ะ ถ้าใครอยากกินชาบูชุดพิเศษก็มีให้สั่งนอกเหนือจากบุฟเฟ่ด้วยนะคะ
มาที่นี่รู้สึกเหมือนได้อยู่นิ่งๆ จริงจัง คือเนื่องจาก รร.อยู่บนเขา และรอบข้างก็มีแต่หิมะ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ นอน อ่านหนังสือ แช่ออนเซ็น วนไปอย่างนี้ค่ะ สรุปเราแช่ออนเซ็นไปประมาณ 4 รอบ ^__^ คุ้มมาก แหะๆ
เก็บบรรยากาศรอบๆโรงเเรมมาได้นิดหน่อยค่ะ เพราะหนาวมากกกก มือกดชัตเตอร์ไม่ลงกันเลยทีเดียว
3rd Day หลังจากทานข้าวเช้าที่โรงแรมเสร็จก็มารอรถบัสตามรอบที่ทางโรงแรมแจ้งเพื่อกลับมาที่สถานี TAZAWAKO โดยระหว่างทางเราก็แวะที่ป้าย TAZAWAKO LAKE เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถบัสชมวิวรอบทะเลสาบกันค่ะ ซึ่งป้ายรถเมย์ตรงนี้จะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่นะคะ ระหว่างรอรถบัสก็เข้าไปเดินด้านในได้เพราะถ้ายืนด้านนอกนี่มีสิทธิ์หนาวตายแน่ ด้านในร้านมีล็อคเกอร์ให้ฝากกระเป๋าด้วย เราก็เอาไปฝากที่ล็อคเกอร์นี้เพราะคิดว่าไม่อยากถือกระเป๋าขึ้นรถบัสกลัวไม่สะดวก แต่ๆขอแนะนำว่า ใครจะมารูทนี้ให้ถือกระเป๋าขึ้นไปเลยค่ะ เพราะมันจะเป็นรสบัสวนรอบทะเลสาปและพอวนครบจะกลับไปที่สถานี TAZAWAKO เลยค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาลงรถบัสมาเอากระเป๋าแล้วต้องรอรถคันถัดไปค่ะ
ป้ายรถบัสที่เราลง พร้อมมีบอกรอบของรถบัสด้วยค่ะ
มีต่อในคอมเม้นนะคะ ====>
[CR] ไปดูหิมะแรกที่ AKITA ==> นอนฟาร์มสเตย์ – แช่ออนเซ็นที่ Nyuto onsen – นั่งรถไฟเล่นสาย Akita Nairikuline
เดิมคืออยากไป AKITA พอไปถึงแล้วดันไม่ได้เข้าไปเที่ยวในเมือง AKITA ซะงั้น ได้แต่เที่ยวใกล้ๆ AKITA แทน ซึ่งที่เทียวทั้งหมดแต่ละวันเป็นดังนี้ค่ะ (ช่วงวันที่เดินทางคือ 8-12Dec2018)
1st Day นอน Farm Stay ที่ Kakunodate
2nd Day Nyuto onsen
3rd Day Tazawako Lake – Kakunodate Samurai village
4th Day AKITA Nairikuline
5th Day เดินทางกลับ BKK
เวลาที่แพลนทริปมีน้อยมาก ดังนั้นพอจองตั๋วเครื่องบินเสร็จ เลยต้องไปเดินงานท่องเที่ยว ญี่ปุ่น เพื่อหาไอเดียและดู pass ต่างๆ และสิ่งที่ได้มาจากในงานคือ Farm Stay ที่ Akita 1 คืน และ JR East Pass (Tohoku area) 5 Day
1st Day (Farm stay) ถึงนาริตะเวลา 9.10 ทุกอย่างต้องรีบมาก ทั้งแลกตั๋ว JR PASS, Book ที่นั่ง Shinkansen และวิ่งขึ้น Narita express ให้ทันรอบเร็วสุด จาก Narita express มาต่อ Shinkansen ที่สถานี Tokyo ก็ไม่ลืมแวะซื้อเบนโตะไว้กินบนรถไฟกัน เพราะรถไฟไป KAKUNODATE ใช้เวลาจากเดินทางจาก Tokyo ประมาณ 3 ชม. ได้อาหารแล้วก็วิ่งไปขึ้น Shinkansen สามชั่วโมงผ่านไป เวลาประมาณ 15.30 ก็มาถึงสถานี KAKUNODATE
จากเมื่อคืนที่นั่งเครื่องมาจากไทย จนถึงตอนเย็น ก็ไม่ค่อยได้ออกนอกอาคารหรือด้านนอกที่จะได้สัมผัสอากาศหนาวเท่าไหร่ พอเดินลงจาก Shinkansen ที่สถานี KAKUNODATE เท่านั้นแหละ โหวววววว รู้สึกเหมือนกุ้งโดนน๊อคน้ำแข็งอ่ะ หน้าชาแบบไม่ต้องพึ่งโบท็อกเลยค่ะ 555+
เรานัดเจ้าของ Farm Stay มารับตอน 16.00 ก็นั่งรอในสถานีซักพัก คือสถานีมันเล็กมาก และมีแค่เรากับเพื่อนที่ดูหน้าตาไม่ใช่คนญี่ปุ่น ดังนั้นพอคุณป้ามารับแกก็เดินมาถามเราว่าใช่พัก Farm Stay เค๊ามั้ย ด้วยความที่เราจำชื่อฟาร์มสเตย์แกไม่ได้เราก็บอกไม่ใช่ ป้าแกก็เดินวนไปวนมาคงไม่เจอใครที่เป็นคนไทยแระ มาถามเราอีกรอบ เลยต้องเปิดโพยมาดู อ่าว!! ใช่ชื่อที่แกเขียนในป้ายมานี่หว่า ก็ขอโทษแกไปพร้อมทั้งยกกระเป๋าขึ้นรถแกและขับมาที่ฟาร์มสเตย์ประมาณ 10 นาที
บรรยากาศฟาร์มสเตย์ที่นี่คือแบบว่า ฟินมากกกกกก แต่เนื่องจากพอไปถึงกว่าจะฟังป้าอธิบายการใช้งานทุกอย่างเสร็จ ช่วยป้าทำกับข้าวและทานข้าวเย็นกันก็มืดแล้ว เลยได้เเต่รอทานข้าวเย็นกันในบ้านนี่แหละค่ะ
คุณป้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย วิธีการสื่อสารคือ พูดผ่าน app แปลภาษา และที่ง่ายสุดคือ สื่อสารผ่านรูปภาพ ตามที่เห็นค่ะ ป้าน่ารัก ^__^
ตื่นเช้ามาก็เดินเล่นรอบๆที่พัก วันที่เราไปถึง หิมะเพิ่งตกเป็นวันที่สองเองค่ะ และจริงๆมันไม่ได้เป็นฟาร์มใหญ่นะคะ คือเป็นบ้านคนที่ทำเกษตรกรรมเล็กๆเหมือนบ้านที่อยู่ ตวจ. ของเรานี่แหละค่ะ แต่บรรยากาศแบบ ให้ 10 10 10 ไปเลยจ๊า ที่สำคัญเงียบแบบไม่มีคนเลย หรือมันหนาวเกินไปไม่รู้คนเลยอยู่ในบ้าน
2nd Day เช้าวันที่สอง หลังจากถ่ายรูปที่ฟาร์มสเตย์เรียบร้อย คุณป้าก็กลับมาส่งที่สถานี Kakunodate ซึ่งวันนี้เราจะไป 1 ในออนเซ็นของ Nyuto Onsen จากที่เราจองล่วงหน้าเพียง 1 เดือน จึงหา Onsen ที่มีห้องว่างยากมาก สุดท้ายได้ที่ Kyukamura Nyuto - Onsenkyo เราจองที่นี่ผ่าน web RAKUTEN ค่ะ
ก่อนไปเราได้ฝากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่ รร. ตรงสถานี KAKUNODATE (รร.ชื่อ Folkloro kakunodate อยู่ติดทางเข้าสถานีเลยค่ะ) เพราะในวันถัดไปเราจะกลับมานอนที่นี่ 1 คืน เลยขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วแบ่งเสื้อผ้าใส่กระเป๋าผ้าใบเล็กไปแทนค่ะ เพราะที่ Onsen ที่จะไปต้องนั่งรถบัสขึ้นไปบนเขาอีกไกลค่ะ กระเป๋าใหญ่ไม่น่าจะสะดวกเท่าไหร่ จากสถานี KAKUNODATE เราต้องนั่ง Shinkansen มาที่สถานี TAZAWAKO ใช้เวลาเพียง 13 นาที และมาซื้อตั๋วรถบัสเพื่อไปยัง รร. Kyukamura Nyuto – Onsen ที่ตรงสถานีนี้ ระหว่างรอรสบัส ก็หาอะไรรองท้องซักนิดซักหน่อยรอบๆสถานี
หลังจากนั่งรถบัสมาเกือบชั่วโมงก็มาถึงโรงเเรมที่จองไว้ค่ะ โชคดีที่โรงแรมที่จองมีป้ายจอดรถบัสอยู่หน้าโรงแรมเลย เดินลงรถบัสปุ๊บเดินเข้าโรงแรมเลย แต่ๆ ธรรมดาโลกไม่จำค่ะ เราลืมฟังประกาศบอกสถานีบนรถ แถมตอนดูป้ายบอกสถานีที่ขึ้นหน้ารถบัส เราคิดว่ามันเป็นสถานีหน้า พอรถจอดป้ายโรงแรม เราไม่ลงจ๊า พอรถออกจากป้ายไปได้ซักพัก อ่าว! ชื่อสถานีเปลี่ยน คิดในใจซวยแระ รีบกรดกริ่งทันใด คนขับรถบัสใจดี จอดนอกป้ายให้ลงด้วย เดินกลับมาที่รร. ท่ามกลางหิมะนี่มันก็ทรมานเหมือนกันนะ
เนื่องจากที่นี่ให้เช็คอินตอน 15.00 แต่เรามาถึงตอนบ่ายโมง ยังเช็คอินไม่ได้ แต่พนักงานแจ้งว่าสามารถใช้บริการห้องอาบน้ำซึ่งก็คือออนเซ็นได้เลย ตรงล็อบบี้มีชุดให้พร้อมค่ะ ใครไม่อยากเสียเวลาก็สามารถไปแช่ออนเซ็นรอได้เลย ว่าแล้วก็หยิบชุดแล้วเดินไปสำรวจห้องออนเซ็นก่อน ห้องออนเซ็นที่นี่อยู่ชั้น 3 ของ โรงแรมนะคะ แต่เป็น Open Air คือเข้าใจว่าด้านหลังตรงห้องออนเซ็นติดภูเขา บ่อออนเซ็นเลยอยู่ชั้น 3 แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าไป เลยลงไปนั่งกินโกโก้ร้อนรอที่ล็อบบี้ จนถึงเวลาเช็คอิน ตอนเช็คอิน จนท. อธิบายเรื่องรอบอาหารเย็นและข้อมูลต่างๆ เช่น รอบรสบัส เวลาปูที่นอน ซึ่งเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะนางพูดภาษาญี่ปุ่นล้วนจ๊า....เราก็ได้แต่เดาๆ เอาจากเวลาที่เค๊าแจ้ง อ่อ ที่นี่ในห้องพักไม่มีห้องอาบน้ำนะคะ มีแค่ห้องส้วมค่ะ ถ้าจะอาบน้ำคุณต้องไปห้องอาบน้ำค่ะ นั่นคือตรงที่เราไปแช่ออนเซ็นนั่นเอง
ชุดที่โรงเเรมเตรียมไว้ตรงล็อบบี้นะคะ
อุปกรณ์ในห้องพักและบรรยากาศที่มองเห็นจากห้องพัก
หน้าห้องอาบน้ำ (บ่อออนเซ็น) แยกชายหญิงนะคะ
ด้านในห้องอาบน้ำถ่ายมาไม่ได้นะคะ เนื่องจากเดินผ่านประตูเข้าไปก็เป็นห้องแต่งตัวที่มีล็อคเกอร์ไว้เวลาถอดเสื้อผ้าและเก็บของค่ะ คือถอดกันหมดตรงนี้แหละค่ะ แล้วเดินเข้าไปอาบน้ำตรงห้องอาบน้ำรวมซึ่งมีบ่อน้ำร้อนด้านในห้องด้วยนะคะ คือต้องอาบน้ำก่อน อาบเสร็จก็เดินลงบ่อปรับอุณภูมิร่างกายด้านในก่อน แล้วพอขึ้นจากบ่อด้านในก็เปิดประตูไปอีกบ่อนึงซึ่งเป็นบ่อ open air ค่ะ แต่มีหลังคานะคะ แช่ไปหิมะปลิวตกใส่หน้าไป มันฟินมากกกค่ะ
ห้องอาบน้ำที่นี่มีรับลูกค้าที่มาแช่ออนเซ็นอย่างเดียวด้วย ถ้าใครมาไม่ต้องเตรียมอะไรมาเลยค่ะ มีให้ครบุกอย่าง ตั้งแต่ครีมอาบน้ำ แชมพู คอนดิชันเนอร์ ครีมทาหน้า ทาผิว หวี ไดร์ พร้อมหมดค่ะ มาแต่ตัวก็แช่ออนเซ็นได้ ถ้าไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนก็ใส่ชุดเดิมกลับบ้านได้ค่ะ
ราคาห้องพักที่นี่รวมอาหารเย็นแบบ Buffet ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากกกก ตอนลงไปทานอาหารเย็นไม่ได้ถือกล้องลงไปด้วยเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชมค่ะ แต่ของกินเยอะจริงๆค่ะ ถ้าใครอยากกินชาบูชุดพิเศษก็มีให้สั่งนอกเหนือจากบุฟเฟ่ด้วยนะคะ
มาที่นี่รู้สึกเหมือนได้อยู่นิ่งๆ จริงจัง คือเนื่องจาก รร.อยู่บนเขา และรอบข้างก็มีแต่หิมะ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ นอน อ่านหนังสือ แช่ออนเซ็น วนไปอย่างนี้ค่ะ สรุปเราแช่ออนเซ็นไปประมาณ 4 รอบ ^__^ คุ้มมาก แหะๆ
เก็บบรรยากาศรอบๆโรงเเรมมาได้นิดหน่อยค่ะ เพราะหนาวมากกกก มือกดชัตเตอร์ไม่ลงกันเลยทีเดียว
3rd Day หลังจากทานข้าวเช้าที่โรงแรมเสร็จก็มารอรถบัสตามรอบที่ทางโรงแรมแจ้งเพื่อกลับมาที่สถานี TAZAWAKO โดยระหว่างทางเราก็แวะที่ป้าย TAZAWAKO LAKE เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถบัสชมวิวรอบทะเลสาบกันค่ะ ซึ่งป้ายรถเมย์ตรงนี้จะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่นะคะ ระหว่างรอรถบัสก็เข้าไปเดินด้านในได้เพราะถ้ายืนด้านนอกนี่มีสิทธิ์หนาวตายแน่ ด้านในร้านมีล็อคเกอร์ให้ฝากกระเป๋าด้วย เราก็เอาไปฝากที่ล็อคเกอร์นี้เพราะคิดว่าไม่อยากถือกระเป๋าขึ้นรถบัสกลัวไม่สะดวก แต่ๆขอแนะนำว่า ใครจะมารูทนี้ให้ถือกระเป๋าขึ้นไปเลยค่ะ เพราะมันจะเป็นรสบัสวนรอบทะเลสาปและพอวนครบจะกลับไปที่สถานี TAZAWAKO เลยค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาลงรถบัสมาเอากระเป๋าแล้วต้องรอรถคันถัดไปค่ะ
ป้ายรถบัสที่เราลง พร้อมมีบอกรอบของรถบัสด้วยค่ะ
มีต่อในคอมเม้นนะคะ ====>
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้