ตอนแรก วันแรกของทริปโตเกียว -
https://ppantip.com/topic/38496564
ตอน 2 งานอีเวนท์โพนี่ และคาวากุจิโกะ -
https://ppantip.com/topic/38496709
ตอน 3 สู่อิจิโกะ ยูซาว่า และเรียวกัง -
https://ppantip.com/topic/38521509
ทริปจากวันนี้จะเป็นวันที่ผมไม่มีวันลืม เพราะได้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในแผน!!
ตามกำหนดการของผมนั้นก็คือ หลังจากเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักแล้ว ผมจะต้องไปขึ้นรถไฟ เพื่อไปยังสถานี Doai และไปเที่ยวเขา Takakurayama ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักที่สุด ก่อนที่จะเดินทางกลับโตเกียว หลังจากอาหารเช้าเสร็จแล้ว พวกผมจึงรีบออกเดินทางกลฃับไปยังสถานีรถไฟทันที
และด้วยความที่ไม่รู้ของพวกผม เลยขึ้นมารอที่ชานชาลาที่เดิม ที่พวกผมมาแล้วก็ทำให้รู้ความจริงว่า.... พวกผมขึ้นผิดฝั่ง!!
คือ ในสถานี Yubiso นั้น มีทางขึ้นสองฝั่ง แต่อีกฝั่ง ต้องเดินลอดเขาเข้าไป แล้วก็ไม่รู้ เพราะไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบอกเลย และใน Google map ก็ไม่ได้บอก พวกผมจึงมารู้ตัวเอาก็ตอนมีเสียงรถไฟแล่นผ่านไปอีกฝั่ง เลยรู้ตัวแล้วว่า ตกรถไฟแล้วววว!!
นี่คือทางที่บอกว่าต้องเดินไปเพื่อไปขึ้นชานชาลาอีกฝั่ง ซึ่งไม่รู้เพราะไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบอก
โอเค... ไม่เป็นไร อย่างน้อย ก็มีรถเมล์พาเราไปได้ เลยจะเดินกลับไปยังที่พัก เพื่อไปยืนรอป้ายรถเมล์แถวนั้น แต่ยังไม่ทันเดินเลี้ยวไปทางถนออกจากหน้าสถานีรถไฟเลย จู่ๆ ก็เห็นรถเมล์ผ่านหน้าพวกเราไป ฟิ้วววววว
.....
ผมกับเพื่อนอีกคนนี่คือ มองหน้ากันแบบว่า... เอาไงดี? กว่าจะรอรถไฟมาอีกรอบ ก็บ่าย 2 กว่าแล้ว และรถเมล์อีกคันกว่าจะมาอีกทีก็ 30 นาทีกว่า
ผมลองดูแผนที่ใน google map บอกว่าใช้เวลาเดิน 25 นาที
ผมกับเพื่อนมองหน้ากันแล้วแบบ จะเดินไหม? เพราะจะรอที่นี่หรือเดิน เวลาก็ไม่ต่างกัน
..... ตกลงกันว่า เดินครับ!!
ด้วยการที่พวกผมตกลงเดิน ก็ทำให้เห็นบรรยากาศความเป็นเมืองชนบทของญี่ปุ่นมากขึ้น ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว เลยไม่ค่อยมีรถผ่านไปผ่านมาเยอะ เลยอารมณ์เหมือนเดิมอโลนกันกลางป่าเลยก็ว่าได้
บ้านเมืองโคตรสะอาด วิวโคตรสวย เห็นแล้วแบบ อยากย้ายบ้านมาอยู่แถวนี้เลยล่ะครับ
ใช่ครับ... ภาพที่เห็นนี่ก็คือ พวกผม .... เดินๆ ล้วนๆ ครับ
และหลังจากที่เดินกันไปซักพัก เริ่มรู้สึกท้อ ทางอยู่กลางเขาเรื่อยๆ สัญญาณ 4G เริ่มไม่มี แม้ GPS จะทำงาน แต่ก็ไม่อัพเดตเวลาแล้วว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ ระหว่างทาง ก็จะมีแท็กซี่ขับผ่านมาบ้าง (2 คัน) คนขับก็มองมา อารมณ์แบบ จะขึ้นไหม จะขึ้นไหม?
พวกผมคิดในใจกันเลยว่า มั่ย ม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ช้านนจะไม่ขึ้นแท็กซี่เด็ดขาดดดดด!! เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าราคาแพงมาก
เดินผ่านอุโมงค์นี้ไปด้วยนะ
เดินมาถึงตรงนี้ และในที่สุดก็ทนไม่ไหวครับ ตัดสินใจ โบกรถ! นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ผมทำ เพราะเกิดมาไม่เคยกล้าโบกรถใครมาก่อน ผ่านไป 4 - 6 คัน ไม่มีใครรับเราซักคัน จนในที่สุด ไม่รู้คันที่ 7 หรือ 8 ก็มีคุณลุงมาจอดรับ
แน่นอนว่าลุงพูดอังกฤษไม่ได้ แต่ถามว่าแล้วลุงรู้ได้ยังไงว่าเราจะไปที่ไหน ผมใช้แอพ Google แปลภาษาแล้วพิมพ์ให้แปลเป็นญี่ปุ่นไป คุณลุงชาวญี่ปุ่นเขาก็ใจดี พาพวกเราขึ้นรถไปครับ (ระหว่างทางขับ คุณลุงบอกอะไรซักอย่าง พูด 3 รอบ เลยเข้าใจว่า คุณลุงบอกให้รัดเข็มขัดด้วย แล้วคุณลุงเหมือนพยายามชวนคุย แต่ฟังไม่ออกซักแอะเลย T^T ขอโทษนะครับคุณลุง
ถ้าอยากรู้ว่า พวกผมเดินยาวแค่ไหน ให้ดูจากคลิปนี้ครับ คลิปนี้ผมเจอโดยบังเอิญ ให้ดูตั้งแต่นาทีที่ 0.51 จนถึง 1.39 พวกผมเดินเลยจากในคลิปก่อนเขาตัดภาพไปอีกราวๆ เกือบ 15 นาทีได้ นั่นนะคือเดินยาวไกลขนาดนั้นเลย =[]=
ปรากฎว่า เป้าหมายของคุณลุงกับพวกผมนั้นเหมือนกัน ก็คือมายังเขา Takakurayama เนี่ยแหละ หลังจากออกจากรถลุงแล้ว พวกผมโค้งกันจนแบบว่าแทบจะโค้งทำมุม 90 องศากันเลยทีเดียว โดยได้แยกกับคุณลุงไป เพราะคุณลุงจะเอารถไปจอด (มีเป็นอาคารจอดรถกันเลย)
พวกผมหลังจากได้เป็นอารยธรรมของมนุษย์ ดีใจกันเป็นปลิดทิ้ง หลังจากพักผ่อนและเอาของเก็บในตู้ล็อคเกอร์กันแล้ว รอบนี้ก็ไม่พลาดที่จะซื้อตั๋วแบบ ไปกลับมาครับ -0-
สิ่งที่ผมชอบในการเดินทางมาครั้งนี้อีกอย่างก็คือ คนที่มาเที่ยวเนี่ย "ไม่มีใครเป็นวัยรุ่นหรือคนวัยทำงานเลย" แต่กลับมีแต่รุ่นลุงๆ ป้าๆ มาเที่ยว มาแบบ เที่ยวเอง เออเอง หยิบกล้องมาถ่ายรูปกันเอง บางคนนี้เหมือนวัยอาม่าบ้านเราที่ปกติถ้าจะไปเที่ยว ต้องมีลูกหลานพาไป แต่นี่คือ เที่ยวเองอะไรเองแบบไม่ต้องง้อคนที่บ้านหรือลูกหลานเลย
ผู้สูงอายุประเทศนี้สตรองกันจริงๆ
เมื่อขึ้นมาข้างบนแล้วก็เจอลิฟต์สกีอีก ซึ่งทำให้ผมรู้ว่า ข้างบนนี้ก็เป็นเป้าหมายของการเล่นสกีอีกที่เช่นกัน
ปรากฎว่ามีจุดที่จะขึ้นไปดูวิวข้างบนอีก ซึ่งรวมๆ กับที่จ่ายไปข้างล่างแล้ว จะราคาราวๆ 3,000 เยนเลยล่ะครับ
แต่ไอ้ที่ดึงดูดความสนใจจากผมแทนที่จะเป็นวิวบนภูเขาก็คือ..... อะไรขาวๆ ....
หิมะคร้าบบบบบบ
ตอนนั้นนี่คือแบบ ตื่นเต้นมาก อยู่กันมาจะ 30 ปี ไปต่างประเทศมาแล้ว 5 ปี หรือ 5 ครั้ง ไม่เคยเจอหิมะมาก่อนทั้งๆ ที่โดยส่วนตัวผมชอบอะไรหนาวๆ อย่างหิมะมาก ชอบหนังที่มีฉากโลเกชั่นมีหิมะตก เห็นแล้วมันสวยมาก อารมณ์ตอนนั้นนี่แบบ กระดี๊กระด้าเหมือนเด็กอายุ 5 ขวบเลย
แน่นอนครับว่าวิวบนภูเขาก็สวย
ภูเขา Takakurayama แห่งนี้ถือว่าเป็นภูเขาหนึ่งในร้อบลูกที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นมุมที่สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศเลยล่ะครับ แบบพาโนรามากันเลยทีเดียว
แต่ไอ้ที่ตื่นเต้นกันมากกว่าวิวบนภูเขาคือ การได้เจอหิมะของจริงเป็นครั้งแรก ทั้งผมและเพื่อนอีกคนนี่ไปเล่นไปจับกัน จนลุงๆ ป้าๆ หันมามองแล้วตลกกัน ผมไม่รู้ว่าหิมะของจริงตอนมันตกลงมาเป็นงี้เปล่านะ แต่มันเป็นนํ้าแข็งแบบนํ้าแข็งไสไปแล้ว ข้างบนนี่พอมีแดดก็แอบร้อนเหมือนกัน รู้สึกมหัศจรรย์มากที่ยังจับตัวเป็นก้อนได้อยู่
พยายามเอากลับลงไปด้วยครับ 5555
แล้วก็หดจนไม่เหลือแล้ว T^T
และด้วยการที่พวกผมตกรถไฟมาแล้วรอบนึง ซึ่งไม่อยากจะตกอีกรอบ ก็เลยต้องรีบทำเวลาลงไป ซึ่งจะต้องขึ้นรถเมล์ไปยังสถานี Doai แต่แน่นอนว่าไม่มีภาษาอังกฤษบอกซักแอะ เลยต้องใช้แอพ Google แปลภาษา เอาไปโชว์ให้พนักงานอ่านว่า ใช่คันนี้รึเปล่า พนักงานคนแรกชี้ให้ไปต่อแถวที่มีลุงๆ ป้าๆ ยืนต่อแถวอยู่ รอราวๆ 5 นาที ก็มีรถเมล์มาจอด เพื่อความชัวร์ ก็ถามลุงๆ ป้าๆ (ด้วยแอพ Google) ก็พนักหน้ากัน (ภาษาสากลก็คือใช่) ก็เลยขึ้นรถเมล์ไป
แถมตอนที่จะถึงสถานี Doai (ซึ่งผมเช็คจากใน Google map ตลอดเวลา เพราะอ่านป้ายในรถเมล์ไม่ออก) ป้าที่นั่งข้างหน้าก็สะกิดให้ผมกดกริ่งเลย คือทุกคนบนรถช่วยกันบอกทางให้ผม
ซาบซึ้งนํ้าใจคนญี่ปุ่นมากๆ และพวกผมก็มาถูกสถานีจริงๆ นั่นก็คือ DOAI นั่นเอง
มีป้ายบอกภาษาอังกฤษด้วย ทีนี้แหละ ไม่หลงแน่นอนละ
แต่ด้วยความบังเอิญของผม ก็ทำให้ผมมาเจอสถานที่เที่ยวแบบ Unsen อีกที่ ของที่นี่โดยบังเอิญ และ Unsen ยังไง ขอให้ดูคลิปนี้ครับ จะเข้าใจได้ดีที่สุด
ใช่แล้วครับ สถานี Doai คือสถานีที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีบันไดถึง 462 ขั้น ตอนที่ผมไปเจอนี่คือ อึ้งกันเลย (แบบในคลิป) เลยรู้สึกแบบว่า ตกใจมาก แต่จะตกใจก็ไม่ได้นานเพราะกลัวตกรถไฟอีก เลยต้องรีบลงไป
สิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่งนอกจากบรรยากาศแอบสยองๆ จนแบบถ้ามีตัวลิกเกอร์ (ซอมบี้กลายพันธ์จากในเกม Resident Evil) โผล่มานี่จะไม่แปลกใจเลยก็คือ ตรงทางขวาของภาพ จะเป็นทางนํ้าไหลลงไปข้างล่างเรื่อยๆ โดยตามป้ายนั้นลองเอาแอพ google แปล ก็ได้ความว่า เขาคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้นั่นเอง
เมื่อผมลงไปลึกมากขึ้น ก็จะถึงจุดที่ไม่มีสัญญาณเลยทั้งเนตทั้งมือถือ เรียกได้ว่า จะเช็ค ออนไลน์ อะไรอีกไม่ได้แล้ว และที่ผมทึ่งกว่าก็คือ ด้านล่างยังอุตส่าห์มีห้องสูบบุหรี่ และห้องนํ้า ต้องบอกว่า ห้องนํ้าข้างล่างยังสะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็นเลย แถมยังมีป้ายบอกว่า จะมีพนักงานลงมาทำความสะอาดอีก ผมเลยแบบว่า โห พนักงานนี่ทำงานคุ้มเงินเดือนมากเลย เพราะอาจต้องเดินขึ้นลงเพื่อมาทำความสะอาดห้องนํ้า!
เที่ยวญี่ปุ่นฉบับไม่มีล่าม พูดญี่ปุ่นไม่ได้ อังกฤษอย่าถาม ตอนจบ: เขา Takakurayama และสถานี Doai
ตอนแรก วันแรกของทริปโตเกียว - https://ppantip.com/topic/38496564
ตอน 2 งานอีเวนท์โพนี่ และคาวากุจิโกะ - https://ppantip.com/topic/38496709
ตอน 3 สู่อิจิโกะ ยูซาว่า และเรียวกัง - https://ppantip.com/topic/38521509
ทริปจากวันนี้จะเป็นวันที่ผมไม่มีวันลืม เพราะได้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในแผน!!
ตามกำหนดการของผมนั้นก็คือ หลังจากเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักแล้ว ผมจะต้องไปขึ้นรถไฟ เพื่อไปยังสถานี Doai และไปเที่ยวเขา Takakurayama ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักที่สุด ก่อนที่จะเดินทางกลับโตเกียว หลังจากอาหารเช้าเสร็จแล้ว พวกผมจึงรีบออกเดินทางกลฃับไปยังสถานีรถไฟทันที
และด้วยความที่ไม่รู้ของพวกผม เลยขึ้นมารอที่ชานชาลาที่เดิม ที่พวกผมมาแล้วก็ทำให้รู้ความจริงว่า.... พวกผมขึ้นผิดฝั่ง!!
คือ ในสถานี Yubiso นั้น มีทางขึ้นสองฝั่ง แต่อีกฝั่ง ต้องเดินลอดเขาเข้าไป แล้วก็ไม่รู้ เพราะไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบอกเลย และใน Google map ก็ไม่ได้บอก พวกผมจึงมารู้ตัวเอาก็ตอนมีเสียงรถไฟแล่นผ่านไปอีกฝั่ง เลยรู้ตัวแล้วว่า ตกรถไฟแล้วววว!!
นี่คือทางที่บอกว่าต้องเดินไปเพื่อไปขึ้นชานชาลาอีกฝั่ง ซึ่งไม่รู้เพราะไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบอก
โอเค... ไม่เป็นไร อย่างน้อย ก็มีรถเมล์พาเราไปได้ เลยจะเดินกลับไปยังที่พัก เพื่อไปยืนรอป้ายรถเมล์แถวนั้น แต่ยังไม่ทันเดินเลี้ยวไปทางถนออกจากหน้าสถานีรถไฟเลย จู่ๆ ก็เห็นรถเมล์ผ่านหน้าพวกเราไป ฟิ้วววววว
.....
ผมกับเพื่อนอีกคนนี่คือ มองหน้ากันแบบว่า... เอาไงดี? กว่าจะรอรถไฟมาอีกรอบ ก็บ่าย 2 กว่าแล้ว และรถเมล์อีกคันกว่าจะมาอีกทีก็ 30 นาทีกว่า
ผมลองดูแผนที่ใน google map บอกว่าใช้เวลาเดิน 25 นาที
ผมกับเพื่อนมองหน้ากันแล้วแบบ จะเดินไหม? เพราะจะรอที่นี่หรือเดิน เวลาก็ไม่ต่างกัน
..... ตกลงกันว่า เดินครับ!!
ด้วยการที่พวกผมตกลงเดิน ก็ทำให้เห็นบรรยากาศความเป็นเมืองชนบทของญี่ปุ่นมากขึ้น ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว เลยไม่ค่อยมีรถผ่านไปผ่านมาเยอะ เลยอารมณ์เหมือนเดิมอโลนกันกลางป่าเลยก็ว่าได้
บ้านเมืองโคตรสะอาด วิวโคตรสวย เห็นแล้วแบบ อยากย้ายบ้านมาอยู่แถวนี้เลยล่ะครับ
ใช่ครับ... ภาพที่เห็นนี่ก็คือ พวกผม .... เดินๆ ล้วนๆ ครับ
และหลังจากที่เดินกันไปซักพัก เริ่มรู้สึกท้อ ทางอยู่กลางเขาเรื่อยๆ สัญญาณ 4G เริ่มไม่มี แม้ GPS จะทำงาน แต่ก็ไม่อัพเดตเวลาแล้วว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ ระหว่างทาง ก็จะมีแท็กซี่ขับผ่านมาบ้าง (2 คัน) คนขับก็มองมา อารมณ์แบบ จะขึ้นไหม จะขึ้นไหม?
พวกผมคิดในใจกันเลยว่า มั่ย ม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ช้านนจะไม่ขึ้นแท็กซี่เด็ดขาดดดดด!! เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าราคาแพงมาก
เดินผ่านอุโมงค์นี้ไปด้วยนะ
เดินมาถึงตรงนี้ และในที่สุดก็ทนไม่ไหวครับ ตัดสินใจ โบกรถ! นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ผมทำ เพราะเกิดมาไม่เคยกล้าโบกรถใครมาก่อน ผ่านไป 4 - 6 คัน ไม่มีใครรับเราซักคัน จนในที่สุด ไม่รู้คันที่ 7 หรือ 8 ก็มีคุณลุงมาจอดรับ
แน่นอนว่าลุงพูดอังกฤษไม่ได้ แต่ถามว่าแล้วลุงรู้ได้ยังไงว่าเราจะไปที่ไหน ผมใช้แอพ Google แปลภาษาแล้วพิมพ์ให้แปลเป็นญี่ปุ่นไป คุณลุงชาวญี่ปุ่นเขาก็ใจดี พาพวกเราขึ้นรถไปครับ (ระหว่างทางขับ คุณลุงบอกอะไรซักอย่าง พูด 3 รอบ เลยเข้าใจว่า คุณลุงบอกให้รัดเข็มขัดด้วย แล้วคุณลุงเหมือนพยายามชวนคุย แต่ฟังไม่ออกซักแอะเลย T^T ขอโทษนะครับคุณลุง
ถ้าอยากรู้ว่า พวกผมเดินยาวแค่ไหน ให้ดูจากคลิปนี้ครับ คลิปนี้ผมเจอโดยบังเอิญ ให้ดูตั้งแต่นาทีที่ 0.51 จนถึง 1.39 พวกผมเดินเลยจากในคลิปก่อนเขาตัดภาพไปอีกราวๆ เกือบ 15 นาทีได้ นั่นนะคือเดินยาวไกลขนาดนั้นเลย =[]=
ปรากฎว่า เป้าหมายของคุณลุงกับพวกผมนั้นเหมือนกัน ก็คือมายังเขา Takakurayama เนี่ยแหละ หลังจากออกจากรถลุงแล้ว พวกผมโค้งกันจนแบบว่าแทบจะโค้งทำมุม 90 องศากันเลยทีเดียว โดยได้แยกกับคุณลุงไป เพราะคุณลุงจะเอารถไปจอด (มีเป็นอาคารจอดรถกันเลย)
พวกผมหลังจากได้เป็นอารยธรรมของมนุษย์ ดีใจกันเป็นปลิดทิ้ง หลังจากพักผ่อนและเอาของเก็บในตู้ล็อคเกอร์กันแล้ว รอบนี้ก็ไม่พลาดที่จะซื้อตั๋วแบบ ไปกลับมาครับ -0-
สิ่งที่ผมชอบในการเดินทางมาครั้งนี้อีกอย่างก็คือ คนที่มาเที่ยวเนี่ย "ไม่มีใครเป็นวัยรุ่นหรือคนวัยทำงานเลย" แต่กลับมีแต่รุ่นลุงๆ ป้าๆ มาเที่ยว มาแบบ เที่ยวเอง เออเอง หยิบกล้องมาถ่ายรูปกันเอง บางคนนี้เหมือนวัยอาม่าบ้านเราที่ปกติถ้าจะไปเที่ยว ต้องมีลูกหลานพาไป แต่นี่คือ เที่ยวเองอะไรเองแบบไม่ต้องง้อคนที่บ้านหรือลูกหลานเลย
ผู้สูงอายุประเทศนี้สตรองกันจริงๆ
เมื่อขึ้นมาข้างบนแล้วก็เจอลิฟต์สกีอีก ซึ่งทำให้ผมรู้ว่า ข้างบนนี้ก็เป็นเป้าหมายของการเล่นสกีอีกที่เช่นกัน
ปรากฎว่ามีจุดที่จะขึ้นไปดูวิวข้างบนอีก ซึ่งรวมๆ กับที่จ่ายไปข้างล่างแล้ว จะราคาราวๆ 3,000 เยนเลยล่ะครับ
แต่ไอ้ที่ดึงดูดความสนใจจากผมแทนที่จะเป็นวิวบนภูเขาก็คือ..... อะไรขาวๆ ....
หิมะคร้าบบบบบบ
ตอนนั้นนี่คือแบบ ตื่นเต้นมาก อยู่กันมาจะ 30 ปี ไปต่างประเทศมาแล้ว 5 ปี หรือ 5 ครั้ง ไม่เคยเจอหิมะมาก่อนทั้งๆ ที่โดยส่วนตัวผมชอบอะไรหนาวๆ อย่างหิมะมาก ชอบหนังที่มีฉากโลเกชั่นมีหิมะตก เห็นแล้วมันสวยมาก อารมณ์ตอนนั้นนี่แบบ กระดี๊กระด้าเหมือนเด็กอายุ 5 ขวบเลย
แน่นอนครับว่าวิวบนภูเขาก็สวย
ภูเขา Takakurayama แห่งนี้ถือว่าเป็นภูเขาหนึ่งในร้อบลูกที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นมุมที่สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศเลยล่ะครับ แบบพาโนรามากันเลยทีเดียว
แต่ไอ้ที่ตื่นเต้นกันมากกว่าวิวบนภูเขาคือ การได้เจอหิมะของจริงเป็นครั้งแรก ทั้งผมและเพื่อนอีกคนนี่ไปเล่นไปจับกัน จนลุงๆ ป้าๆ หันมามองแล้วตลกกัน ผมไม่รู้ว่าหิมะของจริงตอนมันตกลงมาเป็นงี้เปล่านะ แต่มันเป็นนํ้าแข็งแบบนํ้าแข็งไสไปแล้ว ข้างบนนี่พอมีแดดก็แอบร้อนเหมือนกัน รู้สึกมหัศจรรย์มากที่ยังจับตัวเป็นก้อนได้อยู่
พยายามเอากลับลงไปด้วยครับ 5555
แล้วก็หดจนไม่เหลือแล้ว T^T
และด้วยการที่พวกผมตกรถไฟมาแล้วรอบนึง ซึ่งไม่อยากจะตกอีกรอบ ก็เลยต้องรีบทำเวลาลงไป ซึ่งจะต้องขึ้นรถเมล์ไปยังสถานี Doai แต่แน่นอนว่าไม่มีภาษาอังกฤษบอกซักแอะ เลยต้องใช้แอพ Google แปลภาษา เอาไปโชว์ให้พนักงานอ่านว่า ใช่คันนี้รึเปล่า พนักงานคนแรกชี้ให้ไปต่อแถวที่มีลุงๆ ป้าๆ ยืนต่อแถวอยู่ รอราวๆ 5 นาที ก็มีรถเมล์มาจอด เพื่อความชัวร์ ก็ถามลุงๆ ป้าๆ (ด้วยแอพ Google) ก็พนักหน้ากัน (ภาษาสากลก็คือใช่) ก็เลยขึ้นรถเมล์ไป
แถมตอนที่จะถึงสถานี Doai (ซึ่งผมเช็คจากใน Google map ตลอดเวลา เพราะอ่านป้ายในรถเมล์ไม่ออก) ป้าที่นั่งข้างหน้าก็สะกิดให้ผมกดกริ่งเลย คือทุกคนบนรถช่วยกันบอกทางให้ผม
ซาบซึ้งนํ้าใจคนญี่ปุ่นมากๆ และพวกผมก็มาถูกสถานีจริงๆ นั่นก็คือ DOAI นั่นเอง
มีป้ายบอกภาษาอังกฤษด้วย ทีนี้แหละ ไม่หลงแน่นอนละ
แต่ด้วยความบังเอิญของผม ก็ทำให้ผมมาเจอสถานที่เที่ยวแบบ Unsen อีกที่ ของที่นี่โดยบังเอิญ และ Unsen ยังไง ขอให้ดูคลิปนี้ครับ จะเข้าใจได้ดีที่สุด
ใช่แล้วครับ สถานี Doai คือสถานีที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีบันไดถึง 462 ขั้น ตอนที่ผมไปเจอนี่คือ อึ้งกันเลย (แบบในคลิป) เลยรู้สึกแบบว่า ตกใจมาก แต่จะตกใจก็ไม่ได้นานเพราะกลัวตกรถไฟอีก เลยต้องรีบลงไป
สิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่งนอกจากบรรยากาศแอบสยองๆ จนแบบถ้ามีตัวลิกเกอร์ (ซอมบี้กลายพันธ์จากในเกม Resident Evil) โผล่มานี่จะไม่แปลกใจเลยก็คือ ตรงทางขวาของภาพ จะเป็นทางนํ้าไหลลงไปข้างล่างเรื่อยๆ โดยตามป้ายนั้นลองเอาแอพ google แปล ก็ได้ความว่า เขาคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้นั่นเอง
เมื่อผมลงไปลึกมากขึ้น ก็จะถึงจุดที่ไม่มีสัญญาณเลยทั้งเนตทั้งมือถือ เรียกได้ว่า จะเช็ค ออนไลน์ อะไรอีกไม่ได้แล้ว และที่ผมทึ่งกว่าก็คือ ด้านล่างยังอุตส่าห์มีห้องสูบบุหรี่ และห้องนํ้า ต้องบอกว่า ห้องนํ้าข้างล่างยังสะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็นเลย แถมยังมีป้ายบอกว่า จะมีพนักงานลงมาทำความสะอาดอีก ผมเลยแบบว่า โห พนักงานนี่ทำงานคุ้มเงินเดือนมากเลย เพราะอาจต้องเดินขึ้นลงเพื่อมาทำความสะอาดห้องนํ้า!