*ห้ามคัดลอกหรือนำไปเผยแพร่ที่อื่นโดยเด็ดขาด *
รางวัลชมเชยโครงการประกวดเรื่องสั้น ปี 2561 เรื่องเล่าในเงาจันทร์ ชมรมวรรณศิลป์ ม.เกษตรศาสตร์
---------------------------------------------
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ พรานคำเมี่ยง และ ลาแม
ที่บังเอิญได้รับแผนที่ขุมสมบัติซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ
พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังใจกลางของดงพญาไฟเพื่อค้นหาสมบัตินั้น
ทว่าระหว่างทางทั้งสองพบเจอเข้ากับสิ่งลี้ลับอาถรรพ์มากมาย
แล้วทั้งคู่จะมีชีวิตรอดออกมาหรือไม่
---------------------------------------------
“เคยได้ยินตำนานดงพญาไฟมั้ย”
พรานเมี่ยงเกริ่นนำก่อนขยับปีกหมวกคาวบอยทรงสูง แสงจากกองไฟโลมเลียใบหน้าเกรียมแดดสะท้อนให้เห็นแววตาสีเลือดจ้องเขม็ง ขณะที่บรรยากาศรอบข้างเย็นเยียบชวนโหวงเหวง สงัดเงียบราวกับพงไพรแห่งนี้ถูกสาปให้หลับใหลภายใต้มนต์สะกด ไร้สิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากชายทั้งสอง
“เคยได้ยินมาบ้างครับลุง แต่ไม่บ่อย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงมัน” ผู้ร่วมเดินทางกล่าวขณะนั่งทำความสะอาดเล็บด้วยปาก แม้ลาแมจะไม่เชื่อเรื่องภูตผีปิศาจแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มรื่นรมย์ทุกครั้งที่รับฟัง อาจไม่ใช่เรื่องตลกเสียทีเดียว แต่มันก็ทำให้เขายิ้มเยาะในใจได้เสมอเมื่อมีโอกาสพบเจอคู่สนทนาที่เชื่อในเรื่องงมงาย
แม้ปัจจุบันป่าอาถรรพ์อย่างดงพญาไฟจะถูกขนานนามใหม่ว่าดงพญาเย็นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มเติบโตมาพร้อมกับชื่อเดิมที่บรรพบุรุษปลูกฝัง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองคนยังคงกล่าวถึงมัน
ทั้งคู่นั่งล้อมกองไฟที่ถูกก่อขึ้นป้องกันสัตว์ร้ายในยามวิกาล เติมเชื้อเพลิงให้ลุกโชนอยู่เสมอ ข้างกันมีห้างที่ขัดขึ้นบนต้นไม้สูงสำหรับพักอาศัยชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายอย่างหมูป่า เสือโคร่ง เสือดาว รวมไปถึงสัตว์มีพิษต่างๆนานา ฉะนั้นปืนผาหน้าไม้จึงไม่เคยอยู่ห่างกายของชายทั้งสอง บรรจุกระสุนเต็มโม่เตรียมประจัญบานพร้อมหยิบใช้งานได้ทันท่วงที
หากเป็นป่าอื่นสัตว์ร้ายอาจน่าหวั่นเกรง แต่ไม่ใช่กับดงพญาไฟแห่งนี้ซึ่งมีบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า มีตำนานเล่าขานจากบรรพบุรุษเป็นมรดกตกทอดสู่คนรุ่นหลังมากมาย บ้างก็ว่ามีอสูรร้ายใต้พิภพรอพรากวิญญาณเหยื่อลงสู่ประตูยมโลก บ้างก็ว่ามีนกการเวกยักษ์ขนาดเท่ามังกรถูกสาปให้เฝ้าทรัพย์สมบัติชั่วกัปชั่วกัลป์ หรือเหล่าภูตผีที่สิงสถิตตามพืชลำต้นสูงใหญ่รอใครคนหนึ่งมาเป็นตัวตายตัวแทน ฝังกายเป็นราก เกศาเป็นใบ หัวใจเป็นลำต้น
อย่างไรก็ตามลาแมและพรานเมี่ยงก็อยู่ที่ดงพญาไฟแห่งนี้แล้ว และทั้งคู่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าตำนานเล่าขานในอดีตถูกเสริมแต่งให้น่ากลัวเกินจริง เพราะเมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับตัวเองแล้ว ป่าดงดิบแห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากป่ายางทั่วไปที่พวกเขาคุ้นชิน
“แล้วลุงถามทำไม หรือว่ามีเรื่องเล่า” ลาแมวางยาเส้นลงบนใบจากอย่างประณีต มวนขนาดครึ่งนิ้วก้อย ก่อนบรรจงสูบอย่างพิถีพิถัน หูก็คอยเงี่ยฟังอย่างตั้งใจ
“เออสิวะ ข้าจะเล่าให้เอ็งฟัง รับรองว่าเป็นตำนานที่เอ็งไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแน่นอน” พรานเมี่ยงดึงมวนใบจากที่มือของอีกฝ่ายขึ้นสูบ ก่อนตบท้ายด้วยเหล้าขาวเพื่อช่วยขับเคลื่อนวาจาให้ลื่นไหล
บัดนี้ชายฉกรรจ์ทั้งสองสนทนาภายใต้ดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง หนองน้ำสะท้อนเงาจันทร์ราวกับมันมีสองดวง ส่งผลให้บรรยากาศรอบข้างยิ่งขมุกขมัวทวีเป็นสองเท่า จะว่ามืดก็ไม่ใช่ โพล้เพล้ก็ไม่เชิง เสมือนจุดเทียนในห้องปิดตายที่ไร้ช่องรับแสง วาววับอย่างน่าพิศวง
ขณะเมฆลอยคล้อยต่ำ เสียงแหบพร่าแต่หนักแน่นของพรานเมี่ยงก็ลั่นขึ้นท่ามกลางผู้รับฟังอีกคนที่ตั้งตารอคอย เรื่องราวลึกลับเหลือคณากำลังอุบัติขึ้น สีหน้าคร่ำเคร่งราวกับคนละคนของนายพรานมือฉมังนั้นเดาได้เลยว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
“เมื่อประมาณ ๑๒๐ ปีที่แล้ว ดงพญาไฟแห่งนี้เต็มไปด้วยความน่าพรั่นพรึงของภูตผีปิศาจ ไข้ป่าและอาถรรพ์ลึกลับ บรรพบุรุษของข้าพร่ำบอกเสมอว่าผู้ใดที่ได้ย่างกรายเข้าไปในป่าผืนนี้แล้วน้อยคนนักที่จะได้กลับออกมา ฉะนั้นปู่ของข้าจึงประกาศกร้าวห้ามคนในตระกูลเข้าไปเด็ดขาด” พรานขมังเวทย์หยุดพักหายใจก่อนกระดกเหล้าขาวอึกใหญ่
“แต่พวกเราก็เข้ามาแล้ว” ลาแมหัวเราะในลำคอ ความรู้สึกละโมบที่เก็บงำในใจเอ่อล้นออกมาทางสีหน้า แววตาถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา
“เอ็งก็รู้ดีว่าอะไรทำให้เรามาอยู่ตรงนี้” พรานเมี่ยงหัวเราะลั่นจนหนวดสั่นไหว ก่อนว่าต่อ
“เพราะตำนานเมื่อครั้งก่อนมีอยู่จริง เรื่องราวของเมืองลับแลในสถานที่ลึกลับเกินกว่าที่ใครเคยย่างกราย ดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณที่ยังไม่มีใครค้นพบนอกจากบรรพบุรุษของข้า ปู่มิ่งเคยหลุดเล่าให้ฟังขณะร่ำสุราว่าในส่วนลึกสุดของดงพญาไฟที่โอบล้อมไปด้วยหุบเขากินคนนั้น มีนครโบราณที่ปกครองด้วยชนเผ่ามายาซึ่งพวกมันไม่ต้อนรับคนนอก ทำหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ของอดีตกษัตริย์ที่สิ้นชีพจากไข้ป่ามาลาเรียเมื่อครั้งก่อน ปกป้องของรักของหวงของนายมันจากเหล่านักล่าขุมทรัพย์ ไม่สำคัญว่าพวกมันเป็นมนุษย์ ภูตผี หรือปิศาจ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พบเห็นพวกมันแล้ว น้อยคนนักที่จะได้กลับออกไปโดยมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ขนาดปู่ข้าที่ชำนาญในมนต์ดำ ช่ำชองในศาสตร์ขมังเวทย์ ยังมีชีวิตอยู่ไม่พ้น ๗ วันหลังกลับออกไปเลย”
สีหน้าของลาแมเริ่มหวั่นวิตก ขนาดชายหนุ่มที่ไม่เคยเชื่อเรื่องงมงายยังเสียวสันหลังวาบ เรื่องเล่าของพรานผู้ช่ำชองมนต์ดำตรึงความสนใจจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี ทุกคำพูดที่กลั่นออกจากปากของพรานเมี่ยงเข้มขลังทรงพลังอย่างน่าประหลาดจนทำให้ชายหนุ่มสองจิตสองใจว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ ประกอบกับลายแทงสมบัติที่วางอยู่เบื้องหน้าแล้วทำให้ลาแมเชื่อเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็อดถามย้ำอีกครั้งไม่ได้
“แล้วลุงคิดว่าปู่มิ่งพูดจริงรึเปล่า”
“ปู่ข้าไม่เคยพูดปด” พรานเมี่ยงสวนขณะเพลิดเพลินกับการพยายามม้วนหนวดให้เป็นเกลียว “แต่นี่ก็ผ่านมาร้อยกว่าปีแล้วนะ เอ็งคิดว่าคนป่าพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่เหรอวะ”
“ยังไงก็ช่างเถอะ อย่าลืมส่วนแบ่งของผมก็แล้วกัน” ลาแมทวงถามในสิ่งที่เขาสมควรได้รับ ข้อตกลงถูกกำหนดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เป้าหมายคือสมบัติของอดีตกษัตริย์ที่สูญสิ้นบัลลังก์เมื่อครั้งอดีต พวกเขาไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรนอกเหนือจากลงแรงเท่านั้น แค่อาจต้องอดทนมากกว่าทหารหาญเพื่อจะได้เข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของป่าดงดิบแห่งนี้ได้โดยไม่สูญสิ้นลมหายใจเสียก่อน
ลายแทงเกรอะกรังถูกคลี่กางบนพื้นดินเหนียว พรานเมี่ยงชี้ไปยังจุดที่พวกเขาพักแรมซึ่งห่างจากเครื่องหมายกากบาทอีกเท่าตัว ตามแผนที่วางไว้ เมื่อรุ่งสางมาเยือน เขามั่นใจว่าจะเดินเท้าไปถึงจุดหมายก่อนพลบค่ำ เสบียงที่เตรียมไว้คงพอประทังชีพในอีกสองวัน อาศัยน้ำดื่มตามบึงเป็นระยะๆตลอดเส้นทางกลับหมู่บ้าน ส่วนอีกสองมื้อก่อนวันสุดท้ายที่จะถึงดักกระต่ายและกิ้งก่าย่างกินประทังความหิวเอาก็ได้
หากมันราบรื่นอย่างที่คิดก็คงดี ทว่าบางอย่างกลับไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น เมื่อจู่ๆทั้งคู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบโดยไม่รู้สาเหตุ ลมเย็นโอบล้อมไปทั่วอาณาเขต ต้นไม้ไหวเอนไปตามแรงลมปริศนาซึ่งไม่รู้ที่มา เสียงเสียดสีของแมกไม้คล้ายคลึงกับเสียงกรีดร้องของปิศาจจากขุมนรก สองชีวิตมิกล้าเอ่ยปากถึงเหตุการณ์อันน่าพิศวงตรงหน้า เพียงสบตากันก็รับรู้ได้ถึงความผิดปรกติโดยไม่ต้องสื่อสารเป็นคำพูด อาจเป็นไปได้ว่าอาถรรพ์ของดงพญาเย็นแห่งนี้กำลังแผลงฤทธิ์
ดงพญาไฟ (เรื่องสั้นลึกลับ/ระทึกขวัญ)
รางวัลชมเชยโครงการประกวดเรื่องสั้น ปี 2561 เรื่องเล่าในเงาจันทร์ ชมรมวรรณศิลป์ ม.เกษตรศาสตร์
---------------------------------------------
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ พรานคำเมี่ยง และ ลาแม
ที่บังเอิญได้รับแผนที่ขุมสมบัติซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ
พวกเขาจึงออกเดินทางไปยังใจกลางของดงพญาไฟเพื่อค้นหาสมบัตินั้น
ทว่าระหว่างทางทั้งสองพบเจอเข้ากับสิ่งลี้ลับอาถรรพ์มากมาย
แล้วทั้งคู่จะมีชีวิตรอดออกมาหรือไม่
“เคยได้ยินตำนานดงพญาไฟมั้ย”
พรานเมี่ยงเกริ่นนำก่อนขยับปีกหมวกคาวบอยทรงสูง แสงจากกองไฟโลมเลียใบหน้าเกรียมแดดสะท้อนให้เห็นแววตาสีเลือดจ้องเขม็ง ขณะที่บรรยากาศรอบข้างเย็นเยียบชวนโหวงเหวง สงัดเงียบราวกับพงไพรแห่งนี้ถูกสาปให้หลับใหลภายใต้มนต์สะกด ไร้สิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากชายทั้งสอง
“เคยได้ยินมาบ้างครับลุง แต่ไม่บ่อย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงมัน” ผู้ร่วมเดินทางกล่าวขณะนั่งทำความสะอาดเล็บด้วยปาก แม้ลาแมจะไม่เชื่อเรื่องภูตผีปิศาจแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มรื่นรมย์ทุกครั้งที่รับฟัง อาจไม่ใช่เรื่องตลกเสียทีเดียว แต่มันก็ทำให้เขายิ้มเยาะในใจได้เสมอเมื่อมีโอกาสพบเจอคู่สนทนาที่เชื่อในเรื่องงมงาย
แม้ปัจจุบันป่าอาถรรพ์อย่างดงพญาไฟจะถูกขนานนามใหม่ว่าดงพญาเย็นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มเติบโตมาพร้อมกับชื่อเดิมที่บรรพบุรุษปลูกฝัง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองคนยังคงกล่าวถึงมัน
ทั้งคู่นั่งล้อมกองไฟที่ถูกก่อขึ้นป้องกันสัตว์ร้ายในยามวิกาล เติมเชื้อเพลิงให้ลุกโชนอยู่เสมอ ข้างกันมีห้างที่ขัดขึ้นบนต้นไม้สูงสำหรับพักอาศัยชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายอย่างหมูป่า เสือโคร่ง เสือดาว รวมไปถึงสัตว์มีพิษต่างๆนานา ฉะนั้นปืนผาหน้าไม้จึงไม่เคยอยู่ห่างกายของชายทั้งสอง บรรจุกระสุนเต็มโม่เตรียมประจัญบานพร้อมหยิบใช้งานได้ทันท่วงที
หากเป็นป่าอื่นสัตว์ร้ายอาจน่าหวั่นเกรง แต่ไม่ใช่กับดงพญาไฟแห่งนี้ซึ่งมีบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า มีตำนานเล่าขานจากบรรพบุรุษเป็นมรดกตกทอดสู่คนรุ่นหลังมากมาย บ้างก็ว่ามีอสูรร้ายใต้พิภพรอพรากวิญญาณเหยื่อลงสู่ประตูยมโลก บ้างก็ว่ามีนกการเวกยักษ์ขนาดเท่ามังกรถูกสาปให้เฝ้าทรัพย์สมบัติชั่วกัปชั่วกัลป์ หรือเหล่าภูตผีที่สิงสถิตตามพืชลำต้นสูงใหญ่รอใครคนหนึ่งมาเป็นตัวตายตัวแทน ฝังกายเป็นราก เกศาเป็นใบ หัวใจเป็นลำต้น
อย่างไรก็ตามลาแมและพรานเมี่ยงก็อยู่ที่ดงพญาไฟแห่งนี้แล้ว และทั้งคู่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าตำนานเล่าขานในอดีตถูกเสริมแต่งให้น่ากลัวเกินจริง เพราะเมื่อได้เข้ามาสัมผัสกับตัวเองแล้ว ป่าดงดิบแห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากป่ายางทั่วไปที่พวกเขาคุ้นชิน
“แล้วลุงถามทำไม หรือว่ามีเรื่องเล่า” ลาแมวางยาเส้นลงบนใบจากอย่างประณีต มวนขนาดครึ่งนิ้วก้อย ก่อนบรรจงสูบอย่างพิถีพิถัน หูก็คอยเงี่ยฟังอย่างตั้งใจ
“เออสิวะ ข้าจะเล่าให้เอ็งฟัง รับรองว่าเป็นตำนานที่เอ็งไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแน่นอน” พรานเมี่ยงดึงมวนใบจากที่มือของอีกฝ่ายขึ้นสูบ ก่อนตบท้ายด้วยเหล้าขาวเพื่อช่วยขับเคลื่อนวาจาให้ลื่นไหล
บัดนี้ชายฉกรรจ์ทั้งสองสนทนาภายใต้ดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง หนองน้ำสะท้อนเงาจันทร์ราวกับมันมีสองดวง ส่งผลให้บรรยากาศรอบข้างยิ่งขมุกขมัวทวีเป็นสองเท่า จะว่ามืดก็ไม่ใช่ โพล้เพล้ก็ไม่เชิง เสมือนจุดเทียนในห้องปิดตายที่ไร้ช่องรับแสง วาววับอย่างน่าพิศวง
ขณะเมฆลอยคล้อยต่ำ เสียงแหบพร่าแต่หนักแน่นของพรานเมี่ยงก็ลั่นขึ้นท่ามกลางผู้รับฟังอีกคนที่ตั้งตารอคอย เรื่องราวลึกลับเหลือคณากำลังอุบัติขึ้น สีหน้าคร่ำเคร่งราวกับคนละคนของนายพรานมือฉมังนั้นเดาได้เลยว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
“เมื่อประมาณ ๑๒๐ ปีที่แล้ว ดงพญาไฟแห่งนี้เต็มไปด้วยความน่าพรั่นพรึงของภูตผีปิศาจ ไข้ป่าและอาถรรพ์ลึกลับ บรรพบุรุษของข้าพร่ำบอกเสมอว่าผู้ใดที่ได้ย่างกรายเข้าไปในป่าผืนนี้แล้วน้อยคนนักที่จะได้กลับออกมา ฉะนั้นปู่ของข้าจึงประกาศกร้าวห้ามคนในตระกูลเข้าไปเด็ดขาด” พรานขมังเวทย์หยุดพักหายใจก่อนกระดกเหล้าขาวอึกใหญ่
“แต่พวกเราก็เข้ามาแล้ว” ลาแมหัวเราะในลำคอ ความรู้สึกละโมบที่เก็บงำในใจเอ่อล้นออกมาทางสีหน้า แววตาถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา
“เอ็งก็รู้ดีว่าอะไรทำให้เรามาอยู่ตรงนี้” พรานเมี่ยงหัวเราะลั่นจนหนวดสั่นไหว ก่อนว่าต่อ
“เพราะตำนานเมื่อครั้งก่อนมีอยู่จริง เรื่องราวของเมืองลับแลในสถานที่ลึกลับเกินกว่าที่ใครเคยย่างกราย ดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณที่ยังไม่มีใครค้นพบนอกจากบรรพบุรุษของข้า ปู่มิ่งเคยหลุดเล่าให้ฟังขณะร่ำสุราว่าในส่วนลึกสุดของดงพญาไฟที่โอบล้อมไปด้วยหุบเขากินคนนั้น มีนครโบราณที่ปกครองด้วยชนเผ่ามายาซึ่งพวกมันไม่ต้อนรับคนนอก ทำหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ของอดีตกษัตริย์ที่สิ้นชีพจากไข้ป่ามาลาเรียเมื่อครั้งก่อน ปกป้องของรักของหวงของนายมันจากเหล่านักล่าขุมทรัพย์ ไม่สำคัญว่าพวกมันเป็นมนุษย์ ภูตผี หรือปิศาจ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พบเห็นพวกมันแล้ว น้อยคนนักที่จะได้กลับออกไปโดยมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ขนาดปู่ข้าที่ชำนาญในมนต์ดำ ช่ำชองในศาสตร์ขมังเวทย์ ยังมีชีวิตอยู่ไม่พ้น ๗ วันหลังกลับออกไปเลย”
สีหน้าของลาแมเริ่มหวั่นวิตก ขนาดชายหนุ่มที่ไม่เคยเชื่อเรื่องงมงายยังเสียวสันหลังวาบ เรื่องเล่าของพรานผู้ช่ำชองมนต์ดำตรึงความสนใจจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี ทุกคำพูดที่กลั่นออกจากปากของพรานเมี่ยงเข้มขลังทรงพลังอย่างน่าประหลาดจนทำให้ชายหนุ่มสองจิตสองใจว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ ประกอบกับลายแทงสมบัติที่วางอยู่เบื้องหน้าแล้วทำให้ลาแมเชื่อเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็อดถามย้ำอีกครั้งไม่ได้
“แล้วลุงคิดว่าปู่มิ่งพูดจริงรึเปล่า”
“ปู่ข้าไม่เคยพูดปด” พรานเมี่ยงสวนขณะเพลิดเพลินกับการพยายามม้วนหนวดให้เป็นเกลียว “แต่นี่ก็ผ่านมาร้อยกว่าปีแล้วนะ เอ็งคิดว่าคนป่าพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่เหรอวะ”
“ยังไงก็ช่างเถอะ อย่าลืมส่วนแบ่งของผมก็แล้วกัน” ลาแมทวงถามในสิ่งที่เขาสมควรได้รับ ข้อตกลงถูกกำหนดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เป้าหมายคือสมบัติของอดีตกษัตริย์ที่สูญสิ้นบัลลังก์เมื่อครั้งอดีต พวกเขาไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรนอกเหนือจากลงแรงเท่านั้น แค่อาจต้องอดทนมากกว่าทหารหาญเพื่อจะได้เข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของป่าดงดิบแห่งนี้ได้โดยไม่สูญสิ้นลมหายใจเสียก่อน
ลายแทงเกรอะกรังถูกคลี่กางบนพื้นดินเหนียว พรานเมี่ยงชี้ไปยังจุดที่พวกเขาพักแรมซึ่งห่างจากเครื่องหมายกากบาทอีกเท่าตัว ตามแผนที่วางไว้ เมื่อรุ่งสางมาเยือน เขามั่นใจว่าจะเดินเท้าไปถึงจุดหมายก่อนพลบค่ำ เสบียงที่เตรียมไว้คงพอประทังชีพในอีกสองวัน อาศัยน้ำดื่มตามบึงเป็นระยะๆตลอดเส้นทางกลับหมู่บ้าน ส่วนอีกสองมื้อก่อนวันสุดท้ายที่จะถึงดักกระต่ายและกิ้งก่าย่างกินประทังความหิวเอาก็ได้
หากมันราบรื่นอย่างที่คิดก็คงดี ทว่าบางอย่างกลับไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น เมื่อจู่ๆทั้งคู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบโดยไม่รู้สาเหตุ ลมเย็นโอบล้อมไปทั่วอาณาเขต ต้นไม้ไหวเอนไปตามแรงลมปริศนาซึ่งไม่รู้ที่มา เสียงเสียดสีของแมกไม้คล้ายคลึงกับเสียงกรีดร้องของปิศาจจากขุมนรก สองชีวิตมิกล้าเอ่ยปากถึงเหตุการณ์อันน่าพิศวงตรงหน้า เพียงสบตากันก็รับรู้ได้ถึงความผิดปรกติโดยไม่ต้องสื่อสารเป็นคำพูด อาจเป็นไปได้ว่าอาถรรพ์ของดงพญาเย็นแห่งนี้กำลังแผลงฤทธิ์