[CR] หนีชีวิตเมืองไปเดินภูเมี่ยง อุตรดิตถ์


"ปีนเขาอีกละ" คำพูดที่ได้ยินจากเพื่อนๆ ยอมรับว่าช่วงนี้ไปเดินเขาถี่มาก แต่ช่วงสิ้นปีอากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การไปนอนเล่นในป่าเป็นอย่างยิ่ง ผมกับเพื่อนอีกคนวางแผนกันว่าจะลองไปภูเมี่ยงที่อุตรดิตถ์ เพราะเป็นที่ที่เรายังไม่เคยไปกัน ไปชาร์จพลังชีวิตกันสักหน่อย ผมรู้สึกว่าเวลาปีนเขาหัวมักจะโล่ง ทิ้งความกังวลทุกอย่างไว้ที่บ้าน คิดแค่การก้าวเท้าไปข้างหน้า ทีละก้าว.. ทีละก้าว.. ทุกอย่างในชีวิตจางหายไป เหลือเพียงตัวเรากับธรรมชาติรอบตัว แค่นั้น.. ในห้วงของความว่างเปล่าในความคิดนั้น มักจะทำให้ผมได้เกิดมุมมองใหม่ๆ กับชีวิตได้เสมอ


ดูภาพถ่ายจากทริปเพิ่มเติมแบบชิวๆ ได้ที่:
https://facebook.com/KnowWhereLand
https://www.instagram.com/know.where.land
#KnowWhereLand
ขอบคุณครับ




ผมวางเป้เดินทางลงบนพื้น แล้วย่อตัวลงนั่ง หลังพิงเสาต้นใหญ่ เสียงจากจอทีวีที่อยู่สูงเหนือหัวผมกำลังพูดสรุปหัวข้อข่าวต่างๆ จากรายการข่าวหัวค่ำ ผมกวาดสายตาไปรอบห้องโถงที่กว้างและเต็มไปด้วยคนมากมายที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นเหมือนกับผม มันก็คงเป็นบรรยากาศปกติสำหรับช่วงเวลาสิ้นปี ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่หมอชิตเพื่อขึ้นรถมุ่งหน้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งต่างจากผม ที่กำลังเดินทางให้ไกลออกไปจากกรุงเทพฯ ที่ที่ผมเรียกว่าบ้าน

สักพัก เพื่อนร่วมทางคนเดียวของผมก็มาถึง เราเดินไปที่รถบัสของเรา ที่เมื่อเราก้าวขึ้นรถ รถก็ออกตัวทันที ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือ ขณะนี้เวลาสี่ทุ่มตรง ผู้โดยสารทุกคนเอนพนักพร้อมที่จะหลับยาวสำหรับการเดินทาง ๗ ชั่วโมงบนรถทัวร์ สายตาผมมองแสงไฟข้างถนน ที่ยิ่งออกมาไกลจากตัวเมือง ก็ยิ่งน้อยลง จนเหลือเพียงแค่เงาต้นไม้วิ่งผ่านกรอบหน้าต่างของรถทัวร์ในความมืด

รถทัวร์ของเราเทียบเข้าจอดไปในแสงสว่างของสถานี เมื่อก้าวลงจากรถ อากาศหนาวก็โอบกอดต้อนรับการมาเยือนอุตรดิตถ์ครั้งแรกของผม ผมกับเพื่อนนั่งสะลึมสะลือรอรถของอุทยานมารับ จากนั้นไม่นาน คนขับรถจากอุทยานก็โบกมือให้เราตามไปที่รถ เราโยนกระเป๋าไว้ในกระบะหลัง แล้วขึ้นนั่งรถด้านหน้า เราหลับตาพักจากความเพลียของการที่ไม่ได้นอนเต็มที่บนรถทัวร์

ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งจากสถานีขนส่งเราก็มาถึงที่ทำการหน่วยพิทักษ์ฯ จุดที่เราจะเริ่มเดิน ที่นี่มีห้องน้ำและน้ำดื่มอำนวยความสะดวก เราขนของลงมาวางที่โต๊ะแล้วก็เริ่มทานข้าวเช้าที่แวะซื้อมาจากตลาดระหว่างทาง ตอนนี้อากาศหนาวมากจนตัวสั่น “เพิ่งจะมาหนาววันนี้เองครับ” นั่นคือสิ่งที่เจ้าหน้าที่บอกเรา ตายละ บนเขาจะหนาวขนาดไหนเนี่ย เป็นไงหละ หนีอากาศร้อนที่กรุงเทพฯ ได้หนาวสมใจละทีนี้ ผมเดินไปดูที่กระดานชื่อ เห็นว่าเราเป็นกลุ่มเดียวที่จะขึ้นภูเมี่ยงในวันนี้ คงสงบดี เราทานอาหารเช้าจนอิ่มท้องแล้วก็เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดของเพื่อเตรียมออกเดินทาง





ทางเดินในช่วงแรกเป็นทางเลียบทางน้ำ ดินที่นี่ร่วนๆ เหมือนทราย ออกสีแดง ทางเดินริมน้ำเต็มไปด้วยหินก้อนกลมใหญ่ ตอนเดินต้องระวังลื่นตลอดเวลา เจ้าหน้าที่บอกเราว่าปกติคนจะนิยมมาภูเมี่ยงช่วงหน้าฝน เพราะป่าจะเขียวชอุ่ม และน้ำตกก็จะไหลแรง ดูสวยงาม เราเริ่มเห็นภาพมากขึ้นตอนที่หยุดดูน้ำตกแรก ถ้าน้ำเยอะมันคงอลังการกว่านี้ แต่ในทางกลับกัน ทางที่เราเดินนั้นขนาดพื้นแห้งยังลื่นง่าย ถ้าพื้นเปียกช่วงหน้าฝนนี้ลื่นไหลยาวแน่ๆ ผมขอเลือกเดินแบบแห้งๆ ดีกว่า เราเดินต่อขึ้นไปตามเส้นทางน้ำ และหยุดพักตามชั้นน้ำตกระหว่างทาง ผมถามเจ้าหน้าที่ไปว่าทำไมน้ำดูขุ่นและเขียวจัง “น้ำมันไม่ได้ขุ่นครับ แต่สาหร่ายที่อยู่ใต้น้ำทำให้มองแล้วดูเขียวๆ” เจ้าหน้าที่บอกพร้อมกับเอากิ่งไม้เกี่ยวสาหร่ายที่เป็นเหมือนเส้นผมบางๆ สีเขียวๆ ออกมาเหนือน้ำ



ระหว่างที่เรานั่งพักทานอาหารกลางวันกันริมสายธาร ลุงลูกหาบก็นั่งเอามือล้วงตามใต้โขดหิน แล้วหยิบปูสีดำ ตัวใหญ่กว่าปูนานิดหน่อย มาให้เราถ่ายรูป ก่อนที่จะปล่อยมันกลับไปในน้ำ ลุงบอกว่าบางทีเจอตัวใหญ่ก็มี แต่ตั้งแต่ดินถล่มหลายปีก่อน ทำให้พวกปู ปลา และเต่า ที่อาศัยอยู่ตามน้ำบริเวณนี้ลดจำนวนลงไปมาก



แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องผ่านแนวต้นไม้สูงลงมาที่เราขณะที่กำลังเดินขึ้นมาจนถึงจุดตั้งแคมป์ วันนี้จะว่าไปแล้วก็ยังไม่เห็นวิวภูเขา เพราะเดินตามเส้นทางน้ำมาตลอด ยังไม่ได้ขึ้นไปที่สูงตามแนวสันเขาเลย การเดินของวันนี้จบลงที่แคมป์ ซึ่งเป็นที่ราบสำหรับกางเต็นท์ ต้นไม้สูงรอบบริเวณทำให้บรรยากาศที่กางเต็นท์ของเราดูร่มเย็น ตอนนี้ทั้งภูเขามีแค่เรา ๔ ชีวิต: นักเดินทาง ๒ เจ้าหน้าที่ ๑ ลูกหาบ ๑  ลุงลูกหาบจัดเตรียมก่อไฟ และเตรียมพื้นที่สำหรับอาหารมื้อเย็น บริเวณกองไฟมีแคร่ไม้ไผ่อยู่ใต้หลังคาที่บุด้วยใบไม้แห้ง ลุงเล่าให้ฟังว่าสร้างไว้สำหรับช่วงหน้าฝน เพราะถ้าไม่มีหลังคาจะก่อไฟตอนฝนตกไม่ได้ แล้วแคร่ก็สำหรับเวลาลุงนอน จะได้สูงขึ้นมาจากพื้นเวลาน้ำฝนไหลผ่าน

ผมเดินจากแคมป์ไปอาบน้ำที่บ่อน้ำใกล้ๆ มีการต่อกระบอกไม้ไผ่ ให้น้ำไหลเป็นทางเพื่อความสะดวกในการอาบน้ำ ดูแล้วมีความ Zen สไตล์บ่อน้ำร้อนที่ญี่ปุ่นมาก ต่างกันตรงที่น้ำที่นี่เย็นเฉียบ แต่หลังจากที่เดินเหงื่อไหลชุ่มมาตลอดทาง การได้ล้างตัวด้วยน้ำเย็นก็ทำให้รู้สึกสดชื่นดีจริงๆ ผมนั่งอาบน้ำอยู่กลางป่า ไม่มีเสียงใดใดนอกจากเสียงน้ำไหล ความเงียบสงบแบบนี้คือสิ่งที่หายากจริงๆ ในชีวิตเมืองกรุง อาบน้ำเสร็จก็กลับไปงีบที่เต็นท์สักงีบ



ฟ้าเริ่มมืดลง อากาศเย็นลงเล็กน้อย กำลังสบาย “พร้อมแล้วออกมานั่งกินข้าวนะ” เสียงลุงลูกหาบ ที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ บนพื้นปูด้วยใบตองจากต้นกล้วยที่อยู่ในบริเวณแคมป์ ผมกับเพื่อนออกมาทำอาหารง่ายๆ ที่เราเตรียมมา แล้วเอามาวางรวมกับต้มยำหัวปลีป่า ที่ลุงทำไว้ให้ เจ้าหน้าที่หนุ่มก็นั่งล้อมวงทานข้าวร่วมกันกับพวกเรา คนไม่เคยเดินป่ามักจะกังวลเรื่องอาหารการกินเวลาเข้าป่า แต่ตั้งแต่ผมเดินป่ามาหลายทริป ยังไม่เคยมีทริปไหนที่ต้องอดอยาก กินอิ่มสบายท้องตลอดทุกทริป ต่างจากตอนอยู่ในเมือง ที่มีอาหารให้เลือกมากมายแต่กลับรู้สึกเบื่ออาหารยังไงไม่รู้ สักพักผมก็ขอตัวไปนอนก่อน ความเหนื่อยล้าจากการเดินทำให้ผมรู้สึกง่วงแต่หัวค่ำ

อากาศตอนกลางคืนไม่ได้หนาวมากอย่างที่คาดไว้ ทำให้ผมหลับได้อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะตื่นมาทานอาหารเช้าเพื่อจะเตรียมแรงเดินขึ้นไปที่ยอดภูเมี่ยง เราออกตัวเดินไปบนเส้นทางที่สูงชัน ร่างกายค่อยๆ ปรับให้เข้ากับการเดินที่ใช้พลังงานสูง ความเหนื่อยทำให้ผมต้องนั่งพักอยู่เป็นระยะๆ เดินไปสักพักสภาพป่าจากที่หนาทึบก็เริ่มเปิดออก ทำให้เราได้เห็นวิวเขารอบๆ เส้นทางเดินของเรา เพิ่งจะได้รู้สึกว่าอยู่บนเขาก็ตอนนี้เอง เพราะเมื่อวานเราเดินผ่านป่าและทางน้ำตลอดทั้งวัน เราเดินต่อไปตามสันเขาไปจนถึงจุดตั้งแคมป์ที่สูง ซึ่งปกติที่นี่จะเป็นที่นอนอีกคืน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงนี้ตอนกลางคืนลมแรงมาก บวกกับอุณหภูมิที่หนาวเย็น จึงไม่แนะนำให้พักบนนี้  ผมนึกถึงเมื่อคืนที่เสียงต้นไม้ไหวตามลมตลอดเวลาที่เรานอน มันน่าจะแรงพอที่จะพัดเต็นท์ให้ปลิวได้ง่ายๆ เราเดินกันต่อไปจนถึงเนินที่จะขึ้นไปยอดเขา แล้วจึงนั่งพักทานอาหารกลางวันที่เตรียมมาใต้ร่มไม้





หลังมื้ออาหารเราออกตัวเดินอีกครั้ง เพื่อขึ้นไปยอดเขาที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า ทางเดินสูงชันจนต้องหาหินจับเพื่อดึงตัวขึ้นไป ทำให้ระยะทางใกล้ๆ นั้นใช้เวลานานกว่าที่คาดคิด เราปีนขึ้นมาถึงผาหินสีแดง สิ่งที่ทำให้มันเป็นสีแดงนั้นเหมือนเป็นพืชเล็กๆ ที่เกาะอยู่ทั่วหน้าหิน สีของมันเหมือนกับสีแดงของดินที่อยู่ริมน้ำตามทางเดินที่เราเดินผ่านมาเมื่อวาน มันทำให้มุมนี้เป็นมุมถ่ายรูปที่ดูแปลกตา เรานั่งพักหลบแดดชมวิว ภาพตรงหน้าของผมคือทิวเขาสลับซับซ้อนที่กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา



จากผาหิน เราปีนสูงขึ้นไปอีกไม่ไกลก็พบกับวิว ๓๖๐ องศา ที่ยอดภูเมี่ยง เราใช้เวลากว่า ๓ ชั่วโมงจากจุดตั้งแคมป์ขึ้นมาถึงที่นี่ ผมเดินสำรวจพืชพรรณดอกไม้ต่างๆ การเดินดอยหลวงเชียงดาวรอบที่แล้วทำให้ผมสนใจพืชพรรณต่างๆ มากขึ้น เพราะสำหรับคนที่เดินเขาบ่อย ยอดเขามันก็คล้ายๆ กันไปหมด แต่พันธุ์พืชต่างๆ ที่เราได้พบเจอจะทำให้เราจดจำสถานที่ได้ดีขึ้น ผมมองออกไปที่วิวที่กว้างใหญ่ ทุกอย่างช่างดูห่างไกล นึกถึงเวลามองลงมาจากหน้าต่างเครื่องบิน เห็นภูเขาเป็นเหมือนเนินเล็กๆ ที่ห่อหุ้มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ผมมักจะจินตนาการว่าตัวเองไปยืนอยู่บนยอดไหนสักยอด แต่การได้มายืนอยู่บนยอดเขาจริงๆ มันช่างเป็นมุมมองที่แตกต่าง จากจุดนี้ภูเขาช่างดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม สิ่งที่ดูเล็กกลับกลายเป็นตัวเรา.. หลังจากถ่ายรูปกันอยู่สักพัก ผมก็สูดอากาศบนยอดเขาให้เต็มปอด ก่อนที่จะเริ่มเดินลงกลับทางเดิม แดดช่วงบ่ายทำให้อากาศอุ่นขึ้น และทำให้เหงื่อไหลชุ่มไปทั้งตัวระหว่างเดิน





เราเดินกลับมาถึงจุดตั้งแคมป์ มาเจอลุงลูกหาบที่กำลังจดจ้องอะไรบางอย่างอยู่ในพุ่มไม้ ลุงกวักมือเรียกเราให้เข้าไปดู แล้วชี้นิ้วไปที่กิ่งไม้ บนกิ่งไม้นั้นมีงูเขียวหางไหม้กำลังนอนนิ่งอยู่ มันช่างดูสวยงาม และอันตราย ด้วยความที่มันอยู่ห่างจากจุดที่เรานั่งทานข้าวไปไม่กี่เมตร ผมเดินกลับไปที่เต็นท์เพื่อปลดเป้ลงจากหลัง แล้วรีบเดินไปที่บ่อน้ำเพื่อที่จะเอาหัวไปรองรับน้ำเย็นที่ไหลออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ ความเย็นของน้ำดับความร้อนและชะล้างเหงื่อจากการเดินได้อย่างดี หลังจากอาบน้ำเสร็จก็มานอนอ่านหนังสือในเต็นท์ เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกได้พักผ่อนเต็มที่

ชื่อสินค้า:   ภูเมี่ยง
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่