“อุเทน” กางโพลส่วนตัว ฟันธง “เพื่อไทย” เข้าป้ายที่ 1 “ปชป.” ยังรั้งรองแชมป์ พรรคเล็ก-พรรคใหม่ไม่รอด เชื่อ “พลังประชารัฐ” ลำบาก ห่างเป้า 150 ที่นั่งลิบ แนะ “ดาวฤกษ์-ตัวเก๋า” ต้องกล้าออกศึก ลง ส.ส.เขตเอง ถ้าหวังได้ที่นั่งมากขึ้น ห่วง “เพื่อไทย” ชนะแล้ว จะผลักประเทศเข้าวงจรขัดแย้งเดิมๆ ชี้หากกลับมามีอำนาจต้องยึดสโลแกน “หัวใจคือประชาชน” อย่างจริงจัง ไม่หลง-เหลิง-ลุแก่อำนาจเหมือนที่เคยทำมา
แหล่งข่าวจาก
https://siamrath.co.th/n/61714?fbclid=IwAR3046hRwHPjNDudlbcNEa0pdaP7j88sU1_zhYQwxPhvKsGhj8ItO-a0zoA
วันที่ 19 ม.ค. 62 นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจากยุติบทบาทพรรคคนไทยไปแล้ว เมื่อช่วงเดือน พ.ย.61 แต่ก็ยังเฝ้าสังเกตสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ได้เห็นการสร้างวาทกรรมทางการเมืองของพรรคต่างๆว่า กระแสของพรรคของตัวเองดีเช่นนั้นเช่นนี้ ตนจึงตั้งสมมติฐานส่วนตัวว่าการที่นักเลือกตั้งต่างแสดงความมั่นใจว่าจะชนะการเลือกตั้งนั้น ตรงกับความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ จึงได้เริ่มทำแบบสอบถามความคิดเห็นจากประชาชน หรือโพล เกี่ยวกับความนิยม ที่มีต่อพรรคการเมืองต่างๆขึ้นมาในหลายจังหวัด ทั้ง ใน กทม.จำนวน 7 เขตเลือกตั้ง โดยเลือกทำโพลในพื้นที่รอบนอกที่เป็นชายขอบติดกับ จ.สมุทรปราการ และ จ.สมุทรสาคร นอกจากนี้ยังทำโพลในต่างจังหวัดด้วย อาทิ จ.สมุทรสาคร ทั้ง3เขต และบางเขต ใน จ.หนองคาย และ จ.อุดรธานี ซึ่งผลปรากฎว่าแนวโน้มการเลือกพรรคที่ชนะ ยังคงเป็นเหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 โดย พรรคเพื่อไทย ก็ยังสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้ เช่นเดียวกับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ก็เหนียวแน่นในเขตเดิมๆของตัวเองโดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.ฝั่งธนบุรี และภาคใต้ จนพอสรุปได้ว่าผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นนั้น พรรคเพื่อไทย จะได้ที่นั่งเป็นอันดับ 1 และพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ที่นั่งมาเป็นอันดับ 2 เช่นเดิม
“การสำรวจครั้งนี้ ผมเน้นที่จำนวนกลุ่มตัวอย่างกว่า 6-7% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในพื้นที่นั้นๆ กระจายไปทั่วทั้งเขต เพื่อให้ได้ผลที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด โดยใช้การนักศึกษาในเครื่องแบบ อีกทั้งผมยังลงไปควบคุมการทำผลสำรวจด้วยตัวเองทุกขั้นตอน เหมือนเมื่อครั้งที่เคยทำโพลให้กับพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2543 ใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับว่าผลอุเทนโพลนั้นมีความแม่นยำสามารถอ้างอิงผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นได้” นายอุเทน ระบุ
นายอุเทน กล่าวด้วยว่า ในแบบสอบถามความคิดเห็นที่ตนออกแบบขึ้นมาเองนั้น ได้สอบถามทั้งการลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองใดในอดีต สมัยที่แล้ว ตลอดจนจะลงคะแนนให้กับพรรคไหนในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ปรากฎว่าส่วนใหญ่พฤติกรรมของประชาชรยังนิยมเลือกเฉพาะ 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่พรรครองๆลงมาถูกเลือกค่อนข้างน้อย ไม่เว้นกระทั่ง พรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่อีสาน ที่หนักไปกว่านั้นคือพรรคการเมืองใหม่ๆ ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ พรรคไทยรักษาชาติ และพรรคเสรีรวมไทย ที่หลายพรรคถูกกล่าวขานถึง และมีกระแสความนิยมที่ดีในสังคมออนไลน์นั้น กลับได้รับเลือกในจำนวนที่น้อยกว่าที่คาดไว้ ทำให้ผลอุเทนโพลครั้งนี้ ตรงกับสมมติฐานของตน และทำให้มั่นใจว่าเลือกตั้งปี 2562 นี้ พรรคเพื่อไทย ก็ยังครองแชมป์ได้เป็นที่ 1 อีกสมัย ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง จึงขอส่งความห่วงใยไปที่พรรคการเมืองต่างๆว่าอย่าไปหลงเชื่อกับกระแสลวง หรือกระแสมโนในโลกโซเชียลฯมากนัก
นายอุเทน กล่าวต่อว่า สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงหนีไม่พ้น พรรคพลังประชารัฐ ที่ดูจะมีความพร้อมในด้านต่างๆมากกว่าพรรคการเมืองใดๆ และมีนักการเมืองใหญ่ นักเลือกตั้งที่มีประสบการณ์เต็มพรรค แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจชาวบ้านให้มาเลือกผู้สมัครของตัวเองได้ เพราะนโยบายที่มียังไม่โดนใจพอ ห่างไกลเป้าหมาย แม้คนในพรรคพยายามขายฝันไว้ว่าอาจจะได้ถึง 150 ที่นั่ง ซึ่งเชื่อว่าคนภายในพรรคเองก็คงมีการทำโพลในลักษณะเดียวกับตน แม้จะไม่ละเอียดเท่า แต่ก็พอจะประเมินถึงโอกาสของพรรคที่เรียกได้ว่าริบหรี่ในหลายพื้นที่ สะท้อนผ่านนักการเมืองชื่อดัง และนักเลือกตั้งมากประสบการณ์ ที่เข้ามาเป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐ แทบไม่มีรายใดกล้าที่จะลงสมัครเลือกตั้งในระบบเขต แต่กลับหนีขึ้นไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ เนื่องจากเกรงว่าจะแพ้ในระดับเขต แต่ถ้าอยู่ในบัญชีรายชื่อยังพอนำคะแนนรวมจากทั่วประเทศมาคำนวณตามที่นั่ง ส.ส.พึงมีได้
“แนวโน้มเช่นนี้เหมือนเป็นการบังคับให้ พรรคพลังประชารัฐ ต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน โดยให้นักการเมืองที่เป็นดาวฤกษ์ทั้งหลายที่มีพื้นที่ของตัวเองกลับมาสมัคร ลงส.ส.เขต แทนที่จะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ เพราะชื่อชั้นหลายคนอาจจะพอขายได้ และดึงดูดให้ฐานเสียงเทคะแนนให้ ถือเป็นเรื่องที่เหล่าดาวฤกษ์จำเป็นต้องเสียสละ ยอมเหนื่อยลงพื้นที่ มากกว่านั่งกระดิกเท้ารอพรรคอุ้มเข้าสภา ที่สำคัญหากต้องการชนะการเลือกตั้ง หรืออย่างน้อยให้ได้ที่นั่ง ส.ส.มากที่สุด เพื่อลดทอนที่นั่งของพรรคเพื่อไทย ก็ควรเสนอตัวลงเขตกันให้มากที่สุด ต้องจำไว้ว่า เป็นนักรบ อย่าไปกลัวที่จะทำศึกสงคราม หรือกลัวจะมีบาดแผล” นายอุเทน กล่าว
นายอุเทน ได้กล่าวถึง พรรคเพื่อไทย ที่คาดว่าจะชนะเลือกตั้งด้วยว่า ข้อห่วงใยของตนต่อกรณี พรรคเพื่อไทย นั้นคือ โอกาสที่การเมืองจะวนเข้าสู่วงจรเดิมๆ เป็นวงจรแห่งความไม่สงบ สร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากจะใช้อำนาจทำเรื่องต่างๆโดยอำเภอใจ จะมีการอ้างเสียงของประชาชน จนเป็นที่มาของ พ.ร.บ.ลักหลับ หรือกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ที่ทำให้รัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ไม่ได้ ดังนั้นก็ขอฝากไปถึง พรรคเพื่อไทย อย่ามัวแต่หลง เหลิง หรือลุแก่อำนาจ แล้วนำอำนาจที่มีอยู่ ไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนเพียงไม่กี่คน ขัดกันสโลแกนขององค์กรที่ว่า “หัวใจคือประชาชน” ที่ผู้มีอำนาจต้องมองถึงประโยชน์ส่วนรวม ตรงนี้พรรคเพื่อไทยต้องทำให้ได้ หากต้องการมีอำนาจ ปราศจากความขัดแย้งไปนานๆ
"อุเทน" กางโพลฟันธงเพื่อไทยชนะที่ 1 "พปชร."ส่อลำบากห่างเป้า 150 ที่นั่ง
แหล่งข่าวจาก https://siamrath.co.th/n/61714?fbclid=IwAR3046hRwHPjNDudlbcNEa0pdaP7j88sU1_zhYQwxPhvKsGhj8ItO-a0zoA
วันที่ 19 ม.ค. 62 นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจากยุติบทบาทพรรคคนไทยไปแล้ว เมื่อช่วงเดือน พ.ย.61 แต่ก็ยังเฝ้าสังเกตสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ได้เห็นการสร้างวาทกรรมทางการเมืองของพรรคต่างๆว่า กระแสของพรรคของตัวเองดีเช่นนั้นเช่นนี้ ตนจึงตั้งสมมติฐานส่วนตัวว่าการที่นักเลือกตั้งต่างแสดงความมั่นใจว่าจะชนะการเลือกตั้งนั้น ตรงกับความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ จึงได้เริ่มทำแบบสอบถามความคิดเห็นจากประชาชน หรือโพล เกี่ยวกับความนิยม ที่มีต่อพรรคการเมืองต่างๆขึ้นมาในหลายจังหวัด ทั้ง ใน กทม.จำนวน 7 เขตเลือกตั้ง โดยเลือกทำโพลในพื้นที่รอบนอกที่เป็นชายขอบติดกับ จ.สมุทรปราการ และ จ.สมุทรสาคร นอกจากนี้ยังทำโพลในต่างจังหวัดด้วย อาทิ จ.สมุทรสาคร ทั้ง3เขต และบางเขต ใน จ.หนองคาย และ จ.อุดรธานี ซึ่งผลปรากฎว่าแนวโน้มการเลือกพรรคที่ชนะ ยังคงเป็นเหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 โดย พรรคเพื่อไทย ก็ยังสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้ เช่นเดียวกับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ก็เหนียวแน่นในเขตเดิมๆของตัวเองโดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.ฝั่งธนบุรี และภาคใต้ จนพอสรุปได้ว่าผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นนั้น พรรคเพื่อไทย จะได้ที่นั่งเป็นอันดับ 1 และพรรคประชาธิปัตย์ จะได้ที่นั่งมาเป็นอันดับ 2 เช่นเดิม
“การสำรวจครั้งนี้ ผมเน้นที่จำนวนกลุ่มตัวอย่างกว่า 6-7% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในพื้นที่นั้นๆ กระจายไปทั่วทั้งเขต เพื่อให้ได้ผลที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด โดยใช้การนักศึกษาในเครื่องแบบ อีกทั้งผมยังลงไปควบคุมการทำผลสำรวจด้วยตัวเองทุกขั้นตอน เหมือนเมื่อครั้งที่เคยทำโพลให้กับพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2543 ใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับว่าผลอุเทนโพลนั้นมีความแม่นยำสามารถอ้างอิงผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นได้” นายอุเทน ระบุ
นายอุเทน กล่าวด้วยว่า ในแบบสอบถามความคิดเห็นที่ตนออกแบบขึ้นมาเองนั้น ได้สอบถามทั้งการลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองใดในอดีต สมัยที่แล้ว ตลอดจนจะลงคะแนนให้กับพรรคไหนในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ปรากฎว่าส่วนใหญ่พฤติกรรมของประชาชรยังนิยมเลือกเฉพาะ 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่พรรครองๆลงมาถูกเลือกค่อนข้างน้อย ไม่เว้นกระทั่ง พรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่อีสาน ที่หนักไปกว่านั้นคือพรรคการเมืองใหม่ๆ ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ พรรคไทยรักษาชาติ และพรรคเสรีรวมไทย ที่หลายพรรคถูกกล่าวขานถึง และมีกระแสความนิยมที่ดีในสังคมออนไลน์นั้น กลับได้รับเลือกในจำนวนที่น้อยกว่าที่คาดไว้ ทำให้ผลอุเทนโพลครั้งนี้ ตรงกับสมมติฐานของตน และทำให้มั่นใจว่าเลือกตั้งปี 2562 นี้ พรรคเพื่อไทย ก็ยังครองแชมป์ได้เป็นที่ 1 อีกสมัย ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง จึงขอส่งความห่วงใยไปที่พรรคการเมืองต่างๆว่าอย่าไปหลงเชื่อกับกระแสลวง หรือกระแสมโนในโลกโซเชียลฯมากนัก
นายอุเทน กล่าวต่อว่า สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงหนีไม่พ้น พรรคพลังประชารัฐ ที่ดูจะมีความพร้อมในด้านต่างๆมากกว่าพรรคการเมืองใดๆ และมีนักการเมืองใหญ่ นักเลือกตั้งที่มีประสบการณ์เต็มพรรค แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจชาวบ้านให้มาเลือกผู้สมัครของตัวเองได้ เพราะนโยบายที่มียังไม่โดนใจพอ ห่างไกลเป้าหมาย แม้คนในพรรคพยายามขายฝันไว้ว่าอาจจะได้ถึง 150 ที่นั่ง ซึ่งเชื่อว่าคนภายในพรรคเองก็คงมีการทำโพลในลักษณะเดียวกับตน แม้จะไม่ละเอียดเท่า แต่ก็พอจะประเมินถึงโอกาสของพรรคที่เรียกได้ว่าริบหรี่ในหลายพื้นที่ สะท้อนผ่านนักการเมืองชื่อดัง และนักเลือกตั้งมากประสบการณ์ ที่เข้ามาเป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐ แทบไม่มีรายใดกล้าที่จะลงสมัครเลือกตั้งในระบบเขต แต่กลับหนีขึ้นไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ เนื่องจากเกรงว่าจะแพ้ในระดับเขต แต่ถ้าอยู่ในบัญชีรายชื่อยังพอนำคะแนนรวมจากทั่วประเทศมาคำนวณตามที่นั่ง ส.ส.พึงมีได้
“แนวโน้มเช่นนี้เหมือนเป็นการบังคับให้ พรรคพลังประชารัฐ ต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน โดยให้นักการเมืองที่เป็นดาวฤกษ์ทั้งหลายที่มีพื้นที่ของตัวเองกลับมาสมัคร ลงส.ส.เขต แทนที่จะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ เพราะชื่อชั้นหลายคนอาจจะพอขายได้ และดึงดูดให้ฐานเสียงเทคะแนนให้ ถือเป็นเรื่องที่เหล่าดาวฤกษ์จำเป็นต้องเสียสละ ยอมเหนื่อยลงพื้นที่ มากกว่านั่งกระดิกเท้ารอพรรคอุ้มเข้าสภา ที่สำคัญหากต้องการชนะการเลือกตั้ง หรืออย่างน้อยให้ได้ที่นั่ง ส.ส.มากที่สุด เพื่อลดทอนที่นั่งของพรรคเพื่อไทย ก็ควรเสนอตัวลงเขตกันให้มากที่สุด ต้องจำไว้ว่า เป็นนักรบ อย่าไปกลัวที่จะทำศึกสงคราม หรือกลัวจะมีบาดแผล” นายอุเทน กล่าว
นายอุเทน ได้กล่าวถึง พรรคเพื่อไทย ที่คาดว่าจะชนะเลือกตั้งด้วยว่า ข้อห่วงใยของตนต่อกรณี พรรคเพื่อไทย นั้นคือ โอกาสที่การเมืองจะวนเข้าสู่วงจรเดิมๆ เป็นวงจรแห่งความไม่สงบ สร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากจะใช้อำนาจทำเรื่องต่างๆโดยอำเภอใจ จะมีการอ้างเสียงของประชาชน จนเป็นที่มาของ พ.ร.บ.ลักหลับ หรือกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ที่ทำให้รัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ไม่ได้ ดังนั้นก็ขอฝากไปถึง พรรคเพื่อไทย อย่ามัวแต่หลง เหลิง หรือลุแก่อำนาจ แล้วนำอำนาจที่มีอยู่ ไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนเพียงไม่กี่คน ขัดกันสโลแกนขององค์กรที่ว่า “หัวใจคือประชาชน” ที่ผู้มีอำนาจต้องมองถึงประโยชน์ส่วนรวม ตรงนี้พรรคเพื่อไทยต้องทำให้ได้ หากต้องการมีอำนาจ ปราศจากความขัดแย้งไปนานๆ