Ph.D Depression สิ่งที่ไม่คาดหวังจะได้รับกับการเรียนระดับปริญญาเอก

สวัสดี เพื่อนๆ สมาชิกทุกท่าน

เราตั้ง กระทู้นี้ สดๆ ร้อนๆ หลังทำเเบบสอบถามโรคซึมเศร้าเสร็จ ผลจากแบบสอบถามสรุปออกมาว่า เราเป็นโรคซึมเศร้าขั้นกลางถึงรุนแรง
จริงๆ ก็รู้ว่าตอนนี้น่าจะมีอากาศซึมเศร้าอยู่ แล้วก็นานจะเป็นมานานแล้วด้วย ทุกวันจะมีความคิดว่าอยากนอนหลับไป ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ดีซิ
ความคิดนี้น่าจะเริ่มเป็นมาเกือบ 2 ปีได้ แต่เราไม่เคยบอกใครแม้แต่กับครอบครัว เราเคยเปรยๆ เล่นกับสมาชิกร่วมแลป ก็มีคนบอกว่าขี้เกียจหน่ะซิ

อาจจะเป็นกระทู้ไรสาระ ใครรำคาญก็ผ่านได้เลยนะ

ตอนนี้เรากำลังศึกษาระดับปริญาเอก อยู่ในมหาลัยชั้นแนวหน้าของประเทศ ซึ่งศึกษาในสายวิทยาศาสตร์ ตอนนี้กำลังมาทำงานวิจัยที่ต่างประเทศเข้าเดือนที่ 5 แล้ว ซึ่งเรามีกำหนดกลับในอีก 2 เดือนครึ่ง

ความอัดอันจนต้องมากระทู้วันนี้ ก็คงไม่พ้นการทำงานวิจัยหลายปีโดยไม่ได้ผลดีซะที ท้อแล้วก็ฮึด แล้วก็ท้อแล้วก็ฮึด สลับกันไป

ทุกอย่างน่าจะเริ่มมาจากเราตัดสินใจผิดตั้งเเต่แรก  ในการเลือกเราระดับปริญญาโท และเอก ที่ไม่ตรงกับพื้นฐานความรู้ตอนป. ตรี เลยเเม้เเต่นิดเดียว
ตอนเรียนป. โท จบมาด้วยความไม่ลำบากมากเท่าไร ก็ทะนงตัวว่าเราไหว ประจวบเหมาะกับอาจารย์ที่ปรึกษาตอนป.โท เเนะนำอาจารย์ที่ปรึกษาตอนนี้ให้ พร้อมกับได้รับทุน เลยตัดสินใจเรียนต่อ ทั้งๆ ที่อายุก็เยียบเลข 3 เเล้ว

เราน่าจะมีอาการโรคซึมเศร้าตั้งแต่ทำวิจัยเป็นปีที่ 2 ได้ การทำงานวิจัยที่ไม่เคยได้ผลดี พยายามแก้ แล้วแก้อีกก็ไม่ได้
แม้แต่อาจารย์ก็ไม่สามารถให้คำเเนะนำได้ เพราะเป็นงานที่อาจารย์ก็ไม่มีความรู้มาก่อน เเต่เป็นหัวข้อที่ได้จากภาคอุตหากรรม
ซึ่งเป็นหัวข้อที่ติดมากับทุน ระยะเวลารับทุนคือ 3 ปี แต่ตอนนี้เราขยายมา 1 ปีแล้ว (ทุนหมดเเล้ว เเต่ยังมีสัญญากันอยู่)
โดยที่ไม่เห็นหนทางจบเลย

เราเข้าใจแหละว่าการเรียนป.เอก คือการพึ่งตนเอง เเต่การที่ไม่มีใครให้ปรึกษาเรื่องงานวิจัยได้เลย ก็ทำให้งานเดินไปไม่ได้
เนื่องจากเราก็ไม่ชำนาญในเรื่องนี้ คุยกับที่บ้านแม่ก็บอกว่ารีบๆ จบได้เเล้วเเม่รออยู่ อายุเยอะเเล้ว เครียด

จนหลังปีใหม่มานี่ เริ่มมีความอยากจะฆ่าตัวตายให้พ้นๆ ไปซะที เริ่มมีการวางแผนฆ่าตัวตายเมื่อกลับไทย
ถ้าเรียนไม่จบก็ต้องชดใช้ทุน 3 เท่า รวมทั้งดอกเบี้ย รวมๆ เเล้วก็น่าจะ 10 ล้านได้
เเต่ถ้าตายหรือพิการไม่ต้องชดใช้ทุน ครอบครัวเราไม่ใช้ครอบครัวร่ำรวยใดๆ เราขอเลือกหนทางตายดีกว่า

เราไม่มีเพื่อนสนิท หรือแฟนให้พูดคุยใดๆ ได้ ภาระก็ไม่มี ถ้าจะเป็นห่วงก็ เเค่แม่ที่ถ้าเราตาย เเม่เสียใจมาก อาจถึงขั้นทำใจไม่ได้
แต่เราก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่เเล้ว แต่ก็ไม่อยากตายที่ต่างประเทศ เพื่อยิ่งสร้างความยากลำบากเข้าไปอีก
เพื่อนที่นี่ก็ไม่มี วันๆ อยู่เเต่เเลปที่ผลก็ไม่ได้ และห้องซึ่งอยู่คนเดียว ไม่เจอใคร ไม่มีความสุขใดๆ กับชีวิต กลัววันพรุ่งนี้ กลัวทุกสิ่งอย่าง

พอนึกๆ ย้อนกลับไปตั้งเเต่เรียนจบป. ตรี เราก็ไม่เคยมีความสุขจริงจังกับชีวิตเลยซักครั้ง ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ทำงานก็ไม่มีความสุข
ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อิจฉาคนอื่นที่หาตัวเองเจอตลอดเวลา อยากทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข
พอมานั่งทำงานวิจัยตอนนี้ก็เห็นเเต่ความล้มเหลว ความผิดพลาด ความไม่มีความสามารถของตัวเอง
คิดอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมคนอื่นทำได้ เเต่เราทำไม่ได้

ตอนนี้ได้เเต่คิดวนไปวนมาว่าเอาเวลามาทิ้ง 4 ปี อยากจะย้อนเวลากลับไปก็ทำไม่ได้
ปัญหาอีกอย่างของเราก็น่าจะเป็นไม่เคยพูดถึงปัญหาของเราให้ใครฟังเลย เพราะเราคิดว่าคนอื่นๆ ก็มีปัญหาเหมือนกัน
ไม่อยากเอาปัญหาของเราไปทำให้คนอื่นเครียดเข้าไปอีก เรามักคิดว่าตัวเราผิดเป็นอย่างเเรก หากเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น
เเละมักจะหนีปัญหา หรือจมกับปัญหานั้นๆ ไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ยังไม่เห็นอนาคตเลยจริงๆ

สุดท้ายนี้ ถ้าใครอ่านจนจบ ก็ขอบคุณที่รับฟังเราระบาย เเละขอโทษด้วยทำเอาเรื่องเศร้าๆ มาระบาย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
อย่าตายนะคะ ก่อนทำอะไรนึกถึงคุณแม่ให้มากๆ เราเชื่อว่าต่อให้ต้องเป็นหนี้ร้อยล้านหรือพันล้านท่านก็คงยอมเพื่อแลกกับชีวิตของลูก อย่างแรกเราว่าคุณควรไปพบจิตแพทย์หรือนักบำบัดของทางมหาลัยก่อนเลย อย่างน้อยรักษาเรื่องโรคซึมเศร้าก่อน จากนั้นเรื่องงานวิจัย พอจะลองหาได้ไหมคะทั้งในไทยและในมหาลัยที่ต่างประเทศว่ามีใครที่ทำวิจัยด้านนี้ที่คุณพอจะปรึกษาได้บ้าง และถ้าถึงที่สุดแล้ว ถ้ามันไม่ได้จริงๆก็คงต้องยอมรับ เรื่องใช้ทุนเราว่าคุณน่าจะผ่อนจ่ายได้ เงินสิบล้านเยอะมากก็จริง แต่ถ้ามีความพยายามค่อยๆผ่อนใช้คืน เดี๋ยวมันก็หมดลงได้ค่ะ อย่าไปมัวเสียดายสิ่งที่ผ่านมาค่ะ และในเมื่อคุณบอกว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีความสุขเลย แล้วจะรีบจากโลกนี้ไปทำไมคะ ทำไมไม่พยายามอยู่เพื่อหาให้เจอว่าความสุขของคุณคืออะไร มีคนหลายๆคนเลยที่เค้าหาความสุขในชีวิตของเค้าเจอแล้วบอกว่าถึงตายก็ไม่เสียดาย คุณไม่อยากสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นบ้างเหรอคะ พยายามตั้งสตินะคะ ปล่อยวาง เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับปัญหา ทุกๆคนก็มีปัญหาทั้งนั้นนะคะ แต่สุดท้ายมันก็จะผ่านไป ความทุกข์มันไม่อยู่ไปตลอดหรอกค่ะ สู้ๆนะคะ
ความคิดเห็นที่ 17
สิ่งสำคัญของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า คือต้องตระหนักเอาไว้ "ตลอดเวลา" ว่าความเศร้าที่เกิดขึ้นในตัวเรานั้นมาจากปัญหาของเคมีในสมอง ไม่ใช่เกิดจากความอ่อนแอของตัวเราหรือใคร

เศร้ามาก ไม่อยากทำอะไร - เคมีในสมองทำให้เราเป็นแบบนั้น ในความเป็นจริง ถ้าเป็นตัวเราที่ไม่มีโรค เราจะไม่คิดรู้สึกแบบนี้
คิดมาก หาทางแก้ไม่ได้ สิ้นหวัง - เคมีในสมองทำให้เราเป็นแบบนั้น ในความเป็นจริง ถ้าเป็นตัวเราที่ไม่มีโรค เราจะคิดแบบอื่นได้ดีกว่านี้ เราจะไม่จมกับความสิ้นหวังเท่านี้
ไม่ไหวแล้ว อยากฆ่าตัวตาย - เคมีในสมองทำให้เราเป็นแบบนั้น ในความเป็นจริง ถ้าเป็นตัวเราที่ไม่มีโรค เราจะคิดสู้มากกว่านี้

สิ่งที่เราเป็นอยู่มันไม่ใช่เรา และมันเป็นโรคที่รักษาหายได้
ดังนั้นเราต้อง "ให้โอกาสตัวเองให้มากๆ" อย่าตัดโอกาสตัวเองด้วยความตาย

ทีนี้ปัญหาที่ทำให้โรคของคุณไม่ดีขึ้น อาจเป็นเพราะปัญหาในชีวิตก็ยังเรื้อรัง ยังไม่ได้ถูกแก้ไขด้วย
เรื่องงานวิจัย ถ้าหาคนปรึกษาในประเทศไม่ได้ ลองพยายามส่งข้อความออกไปปรึกษาคนนอกประเทศดู มันต้องมีคนวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณวิจัยบ้างแหละ โลกนี้กว้างมาก อย่าปิดกั้นความรู้ตัวเอง ถ้าภาษาไม่แข็งจ้างคนแปลข้อความ-เอกสารให้ก็ได้

ถ้าจนแล้วจนรอดหาทางจบวิจัยไม่ได้จริงๆ และต้องใช้หนี้10ล้านจริงๆ ให้เปลี่ยนความคิดใหม่

หนี้ก้อนนี้เป็นตัวเลขที่เยอะไหม ใช่ มันเยอะมากๆเลย แต่กองทุนเขาไม่ได้ใจร้ายกับคนเท่ากับแก๊งทวงหนี้นอกระบบหรอกใช่ไหม เขาจะไม่บุกมาบ้านคุณ ทำลายทรัพย์สินคุณ หรือทำร้ายร่างกายครอบครัวคุณ

คุณไม่ใช่คนแรกแน่ๆที่เรียนไม่จบ และไม่ใช่คนแรกที่ไม่มีปัญญาใช้หนี้ทั้งก้อนในทีเดียว มันจะต้องมีวิธีคุย วิธีไกล่เกลี่ย คุณจะสามารถคุยกับทางกองทุนได้ว่าจะผ่อนผันได้ยังไงบ้าง สุดท้ายแล้วหนี้ก้อนโตก็จริง แต่คุณอาจจะต้องจ่ายจริงๆแค่เดือนละไม่เท่าไร ค่อยๆผ่อนไป ตรงนี้เราไม่รู้ว่าเขาจัดการทวงหนี้กันยังไง แต่ถ้าเขาจะทำอะไรก็ทำไป เราใช้คืนเท่าที่ใช้ได้ในแต่ละเดือน (แต่ต้องตั้งใจว่าจะใช้ให้ครบจริงๆในอนาคต เพราะเราก็เอาเงินเขามาใช้จริงๆ)

หางานทำ ค่อยๆใช้หนี้ไป เลี้ยงแม่ ค่อยๆตั้งตัว โลกนี้มีคนที่เคยล้มมากมาย ล้มแบบไม่เหลือเงินติดตัวสักบาทก็มี แต่ถ้าเราพยายามมองปัญหาให้เล็กลง ค่อยๆสู้กับมันไป ปัญหาก็จะค่อยๆคลี่คลายทีละน้อย คุณแค่ติดปัญหาเรื่องงานวิจัย คุณแค่ติดหนี้กองทุน คุณแค่กำลังสะดุดและหกล้ม แต่ไม่ได้อยู่ในอันตรายที่แก้ไขไม่ได้เลย

จำไว้ว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็จะสามารถมีวันที่ยิ้มได้อีกครั้ง
ถ้าตายไปแล้ว จะไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสวันที่ตัวเองมีรอยยิ้มอีกเลย
ความคิดเห็นที่ 142
ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะ

เมื่อวานตัดสินใจบอกคุณเเม่ว่ามีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ
คุณเเม่เข้าใจมากๆ บอกว่ากลับมาเเล้วไปหาหมอกัน อย่าคิดมากถ้ามาเเล้วงานไม่เสร็จ
ก็ไม่เสร็จชั่งมัน ทำต่อไปถือเป็นประสบการณ์ชีวิต ถือซะว่าเรามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต ได้เที่ยว ได้เห็นโลก

ตอนนี้เลยรู้สึกดีขึ้นมานิดนึงค่ะ ปลอดล็อกไปขั้นนึง ที่นี้ก็เหลือเเต่ปลอดล็อคตัวเอง

เเต่วันนี้ก็ยังมีความรู้สึกไม่อยากให้มีวันพรุ่งนี้ เเละหรือตื่นขึ้นมาทำอะไรๆ อยู่ค่ะ
ที่ยังอยู่ได้ทุกวันนี้ตื่นขึ้นมาทำอะไรๆ ก็เพราะคิดถึงคุณเเม่และพี่ชาย

พี่ชายกำลังจะแต่งงาน อยากเห็นความสุขของพี่ชายค่ะ
เเต่เรื่องงานอาจจะเเย่ๆ อยู่ รู้สึกสมาธิสั้นโฟกัสงานไม่ค่อยได้

ยังไงจะพยายามเต็มที่ภายในสองเดือนนี้ก่อนกลับค่ะ อมยิ้ม04
ความคิดเห็นที่ 33
เราเคยผ่านจุดที่คุณเป็นมาก่อน เรียนป.เอกเข้าปีที่ 6 7 8 (กระโดดมาจากฐานตรี)
เพื่อนก็ทยอยจบแต่งงาน มีชีวิตก้าวหน้า ทำไมเรายังจมปลักอยู่ตรงนี้ ลาออกก็ไม่ได้ ติดทุน
ได้แต่ทำเรื่องขยายเวลาวนไปทุกเทอม ความก้าวหน้าก็ไม่ค่อยมีเพราะมันหมดไฟแล้ว Burn out syndrome ของจริงเลยค่ะ นอนมองเพดานไปวันๆ

จนเราไปหาหมอ เพราะไม่ไหวแล้วกับสภาพร่างกายและจิตใจ หมอก็ให้ยาและคำแนะนำ ให้เราค่อยๆไปทีละก้าว
ที่เค้าเรียกว่า เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ นั่นแหล่ะ คือคำที่เราเอามาพยุงจิตใจ
ตั้งเป้าหมายให้เล็กๆ แล้วค่อยๆเดินไป อย่าไปมองมุมกว้าง ไม่งั้นมันจะเวิ้งว้างมากๆ เพราะมันใหญ่เกินไป
เขียนงานไม่ได้หรอ ตั้งเป้าทีละย่อหน้าสิ อย่าไปคิดถึงทีละบท ไม่งั้นแค่คิดก็เหนื่อยใจแล้ว พาลจะไม่อยากทำ แล้วก็เทมันไป แล้วงานก็ไม่เสร็จ วนไป

แลปไม่ออก ก็คือไม่ออก มันสำคัญที่ว่าเราจะวิเคราะห์อย่างไร ปัญหาเกิดขึ้นเพราะอะไร
เขาให้เรามาเรียนป.เอก เพื่อเรียนรู้วิธีการและการแก้ไขปัญหา ไม่ได้ให้มาเอารางวัลโนเบล
ถ้าคุณรู้ตัวคุณว่าได้หาทางแก้ไขทุกทางแล้ว แต่ด้วยเวลาของการศึกษา ทำให้ไม่สามารถได้ผลอย่างที่ต้องการ
ก็วิเคราะห์ไปว่าอาจจะเกิดจากสาเหตุใดบ้าง เขียนเป็นแนวทางการวิจัยให้คนอื่นมาทำต่อ

ขอให้คุณฮึด และฮึบๆๆๆเข้าไว้ หลายๆคนที่เรียนป.เอกเป็นมาหมดกับอาการพวกนี้
ขอให้สู้ต่อ อิสรภาพข้างหน้ารอคุณอยู่เมื่อคุณเรียนจบ โลกนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ รีบๆออกมานะ เอาใจช่วยค่ะ ^_^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่