รู้จักกับ “รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก” ไอคอนทนายหญิงแกร่ง ผู้กล้าท้าชนกับกฎหมายทั้งอเมริกา

Ruth Bader Ginsburg หรือชื่อเดิม Joan Ruth Bader เกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2476 ที่เมืองบรู๊คลิน รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาแห่งสูงสุดสหรัฐตั้งแต่ พ.ศ. 2536 และเป็นสุภาพสตรีคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งในศาลแห่งนี้


Joan Ruth Bader เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้งสองของนาย Nathan Bader ซึ่งเป็นพ่อค้าและนาง Celia Bader. Marilyn พี่สาวคนโตของเธอเสียชีวิตด้วยโรคไข้สมองอักเสบเมื่ออายุได้เพียง 6 ขวบ เมื่อ Joan ยังมีอายุได้ 14 เดือน นอกจากภายในครอบครัวแล้ว เธอเริ่มใช้ชื่อว่า “Ruth” ตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาลเพื่อให้คุณครูไม่จำเธอสับสนกับนักเรียนคนอื่นที่มี Joan เหมือนเธอ ครอบครัว Bader มีรากฐานเป็นคนยิว และในสมัยเด็กตัวของ Ruth เองได้เข้าร่วมสุเหร่าและธรรมเนียมของคนยิว ชีวิตในรั้วโรงเรียนของเธอนับว่าเยี่ยมยอด โดยเธอได้เข้าร่วมกิจกรรมมากหลายรวมถึงได้ผลการเรียนโดดเด่นอีกด้วย

Ruth เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัย Cornell University โดยได้รับทุนเต็มจำนวน ระหว่างที่ศึกษาอยู่ในเทอมแรก เธอได้พบ Martin (“Marty”) Ginsburg ว่าที่สามีของเธอในอนาคตซึ่งศึกษาในมหาวิทยาลัยเดียวกัน Martin ผู้ซึ่งในภายหลังเป็นนักกฎหมายด้านภาษีได้บันดาลใจ Ruth มากขึ้นด้วยความมุมานะและสนใจในความพยายามของเธอ เธอเองยังได้รับอิทธิพลจากบุคคลสำคัญอีกสองท่านซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Cornell University ได้แก่ นักประพันธ์ Vladimir Nabokov ผู้ขัดเกลาความคิดของเธอเกี่ยวกับงานเขียน และ Robert Cushman นักกฎหมายรัฐธรรมนูญผู้บันดาลใจให้เธอประกอบอาชีพทางกฎหมาย Martin และ Ruth สมรสกันในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2497 เก้าวันหลังจากเธอสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Cornell


(Ruth Bader Ginsburg และ Martin Ginsburg)


หลังจากที่ Martin ถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมกองทัพสหรัฐ ครอบครัว Ginsburg ได้ย้ายไปอาศัยอยู่ในรัฐโอคลาโฮมาที่ Martin ประจำการอยู่ Jane ลูกสาวคนแรกของพวกเขาได้ลืมตาดูโลกในระหว่างนั้น ต่อมาครอบครัว Ginsburg ได้ย้ายไปรัฐแมสซาชูเซ็ตส์และ Martin ได้เข้าเรียนต่อใน Harvard Law School โดย Ruth เพิ่งเริ่มเข้าเรียนเป็นปีแรก ในขณะที่เธอสำเร็จงานตามหลักสูตรและทำงานเป็นพนักงานฝ่ายบรรณาธิการของ Harvard Law Review (โดยเธอเป็นสุภาพสตรีคนแรกที่ได้ทำงานนี้) Ruth สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายที่ Columbia Law School โดยทำงานด้านวิพากษ์กฎหมายและสำเร็จการศึกษาด้วยอันดับหนึ่งของชั้นเรียนในปี พ.ศ. 2502

ทว่า แม้ว่าผลการเรียนของเธอจะโดดเด่น เธอประสบปัญหากับการหาตำแหน่งงานเป็นทนายความ เนื่องด้วยเธอเป็นสตรีและยังเป็นแม่คน ในสหรัฐอเมริกาสมัยนั้น ทนายความที่เป็นสุภาพสตรีมีน้อยมาก และมีสุภาพสตรีเพียงสองคนเท่านั้นที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาศาลส่วนกลาง แต่ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งจากโรงเรียนกฎหมาย Columbia ได้ช่วยเหลือเธอและเกลี้ยกล่อมให้ผู้พิพากษา Edmund Palmieri แห่งศาลประจำภาคของสหรัฐอเมริกาสำหรับเขตนิวยอร์กใต้ให้เสนอตำแหน่งเสมียนกับ Ginsburg (พ.ศ. 2502–04)  

หลังจากเธอได้รับการว่าจ้างเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในโรงเรียนกฎหมาย Rutgers ในปี พ.ศ. 2506 เธอถูกคณบดีขอร้องให้รับเงินเดือนจำนวนน้อยเนื่องด้วยงานของสามีเธอได้รายได้สูง หลังจากเธอตั้งท้อง James ลูกชายคนที่สองซึ่งลืมตาดูโลกในปี พ.ศ. 2508 เธอจงใจสวมเสื้อตัวหลวกโพรกเพราะกลัวว่าสัญญาจ้างงานของเธอจะถูกยกเลิก ในที่สุดเธอได้รับการดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่โรงเรียนกฎหมาย Rutgers ในปีพ.ศ. 2512



ในปี พ.ศ. 2513 Ginsburg ได้มีส่วนร่วมในประเด็นความเท่าเทียมกันทางเพศเมื่อเธอถูกไหว้วานให้นำเสนอและสอนนักเรียนกฎหมายในการอภิปรายเรื่อง “เสรีภาพของสตรี” ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 เธอตีพิมพ์บทวิพากษ์กฎหมายและสัมมนาในหัวข้อการแบ่งแยกทางเพศ โดยการเป็นส่วนหนึ่งของการสอนนั้น เธอได้เข้าร่วมกับสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (American Civil Liberties Union; ACLU) เพื่อร่างข้อสรุปโดยย่อในสองกรณี กรณีแรก (ซึ่งสามีเธอเป็นคนเสนอให้เธอ) นั้นเกี่ยวกับข้อกำหนดของภาษีรัฐบาลกลางที่ไม่ลดหย่อนภาษีให้ชายโสดเพราะเห็นว่าเป็นคนดูแลครอบครัว

กรณีที่สองนั้นเกี่ยวกับกฎหมายของรัฐไอดาโฮที่มักให้ผู้ชายเป็นผู้ตัดสินเรื่องของการบริหารอสังหาริมทรัพย์ของผู้ตายที่ไม่มีพินัยกรรมอย่างโจ่งแจ้ง คำตัดสินของศาลสูงสุดสหรัฐต่อกรณีที่สอง ซึ่งตั้งชื่อกันต่อ Reed v. Reed (พ.ศ. 2514) เป็นครั้งแรกที่มาตราซึ่งเกี่ยวกับเพศได้กลายเป็นพื้นฐานของข้อคุ้มครองความเท่าเทียมกัน

ในทศวรรษที่ 1970 ที่เหลือ Ginsburg เป็นแบบอย่างผู้นำในเรื่องการดำเนินคดีซึ่งเกี่ยวกับการแบ่งแยกทางเพศในปีพ.ศ. 2515 เธอเป็นที่ปรึกษาในโครงการสิทธิสตรีของสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน และร่วมแต่งตำราเรื่องการแบ่งแยกทางเพศสำหรับโรงเรียนกฎหมาย ในปีเดียวกัน เธอเป็นสตรีคนแรกที่มีตำแหน่งในคณะของโรงเรียนกฎหมายโคลัมเบีย เธอได้เขียนบทวิพากษ์กฎหมายมากหลายชิ้น ร่างหรือมีส่วนสนับสนุนข้อสรุปของศาลสูงสุดเกี่ยวกับประเด็นการแบ่งแยกทางเพศ ในช่วงทศวรรษนั้น เธอได้ว่าความในศาลสูงสุดหกครั้ง และชนะคดีไปถึงห้าคดี


(Jimmy Carter และ Ruth Bader Ginsburg)


ในปี 1980 Jimmy Carter ประธานาธิบดีพรรคประชาธิปัตย์แต่งตั้งให้ Ginsburg รับหน้าที่งานในศาลอุทธรณ์สหรัฐในแขวงโคลัมเบียของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ขณะที่เธอดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาในส่วนของดี.ซี. Ginsburg มีชื่อเสียงในด้านเสรีนิยมและจดจำรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ

ภายในศาล Ginsburg เป็นที่รู้จักของผู้อื่นด้านการมีส่วนร่วมในการแถลงการณ์ด้วยวาจา และกิจวัตรของเธอที่ต้องสวมผ้าจีบรอบคอกับผ้าคลุมผู้พิพากษาซึ่งมีความหมายแฝง เช่น เธอเรียกมันว่าปลอกคอที่แทนความเห็นส่วนรวม และปลอกคอแทนความไม่เห็นด้วย ในสมัยที่เธอเพิ่งรับตำแหน่งในศาล Ginsburg ได้เขียนถึงความเห็นของคนส่วนมากใน United States v. Virginia (1996) ซึ่งกล่าวว่า Virginia Military Institute (VMI) มหาวิทยาลัยรัฐบาลที่มีนโยบายรับเฉพาะสุภาพบุรุษเข้าเรียนนั้นทำลายข้อคุ้มครองความเท่าเทียมกัน เธอปฏิเสธการโต้กลับของมหาวิทยาลัยที่อ้างว่าโปรแกรมการศึกษาที่มุ้งเน้นทางการทหารไม่เหมาะกับสุภาพสตรี

และกล่าวว่าโปรแกรมดังกล่าวนั้นไม่เหมาะกับนักศึกษาส่วนใหญ่ในรัฐ Virginia ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม เธอเขียนว่า “การกล่าวถึงลักษณะทั่วไปของ “ธรรมชาติของผู้หญิง” และการประเมินว่าอะไรเหมาะกับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่นั้น ไม่สามารถใช้เป็นตัวการลดทอนโอกาสของผู้หญิงผู้มีความสามารถและพรสวรรค์นอกเหนือจากที่กล่าวไว้”



Ginsburg เป็นที่สนใจอย่างมากจากหลายการโต้แย้งที่ใช้ภาษารุนแรงของเธอ รวมถึงการประกาศความไม่เห็นด้วยของเธออย่างสาธารณะจากบัลลังก์ศาลเพื่อเน้นย้ำความสำคัญของกรณีพิพาท สองกรณีในปี 2007 นั้นเกี่ยวข้องกับสิทธิสตรี ในกรณีของ Gonzales v. Carhart ซึ่งเป็นกรณีแรกได้ส่งเสริมกฎหมายการต่อต้านการทำแท้งอย่าง Partial-Birth Abortion ของรัฐบาลกลางด้วยมติคะแนนเสียง 5-4 Ginsburg ประณามการตัดสินครั้งนี้ว่า “น่าตกใจ” โดยโต้แย้งว่าการตัดสินนี้ “ไม่สามารถเรียกเป็นอื่นได้นอกจากพยายามทำลายสิทธิ (สิทธิของสตรีที่เลือกจะทำแท้ง) ที่เคยประกาศมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยศาลแห่งนี้"

และในกรณีของ Ledbetter v. Goodyear Tire ซึ่งจบลงด้วยมติคะแนนเสียง 5-4 เช่นกันนั้น Ginsburg ได้วิจารณ์ถึงเสียงข้างมากที่กล่าวว่าสตรีไม่สามารถฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งจากกรณีที่ผู้จ้างงานเธอจ่ายรายได้น้อยกว่าบุรุษ (ผู้ร้องทุกข์ไม่ได้ตระหนักว่าเธอมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้ จนกระทั่งพ้นระยะที่ฟ้องร้องได้ไปแล้ว) Ginsburg โต้แย้งว่าการให้เหตุผลครั้งนี้ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งอนุมัติบัญญัติ Lilly Ledbetter Fair Pay Act (กฎหมายว่าด้วยความเท่าเทียมเรื่องการจ่ายรายได้) ในปี 2009 และเป็นบัญญัติข้อแรกที่ประธานาธิบดีพรรคประชาธิปัตย์อย่าง  Barack Obama ได้ตราไว้ในกฎหมาย

ตลอดอาชีพการทำงานของเธอ Ginsburg มักสรุปความไม่เห็นด้วยของเธอด้วยวลีว่า “ดิฉันขอคัดค้าน” มากกว่าคำที่ใช้กันทั่วไปอย่าง “ด้วยความเคารพ ดิฉันขอคัดค้าน” ซึ่งเธอคิดว่ามันสุภาพอย่างไม่จำเป็น (แถมยังดูมีเลศนัย)



เนื่องจากความเป็นคนเปิดเผย Ginsburg ได้กลายมาเป็นฮีโร่แถวหน้าของกลุ่มเฟมินิสต์ในสมัยของประธานาธิบดีโอบาม่า (2009–17) นักเรียนกฎหมายชั้นปีที่สองจากมหาวิทยาลัย New York University ซึ่งชื่นชอบบทวิพากษ์ของเธอได้สร้างบล็อก Tumblr ให้เธอโดยใช้ชื่อว่า “Notorious R.B.G” – ซึ่งเป็นการเล่นคำจาก “Notorious B.I.G.” ชื่อในวงการของ Christopher Wallace แร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน – และชื่อนี้ได้กลายเป็นชื่อฮิตติดปากของผู้ที่ชื่นชมเธอ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอายุที่มากขึ้นและปัญหาสุขภาพของเธอ (เธอรอดชีวิตจากโรคมะเร็งมาถึงสองครั้ง) กลุ่มเสรีนิยมบางกลุ่มเสนอว่าเธอควรเกษียณอายุเพื่อให้ประธานาธิบดีโอบาม่าได้เสนอชื่อผู้อื่นเข้าแทน แต่หลายคนเสนอให้เธอดำรงตำแหน่งอยู่ในศาลให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยกล่าวว่าเธอออกกำลังกายอยู่เสมอและไม่เคยพลาดการแถลงการณ์ด้วยวาจา สำหรับตัว Ginsburg เอง เธอปรารถนาจะดำรงตำแหน่งให้นานที่สุดตราบใดที่เธอยังทำงานได้ “อย่างเต็มที่” หนึ่งวันหลังจาก Martin Gainsburg สามีของเธอเสียชีวิตลงในปี 2010 เธอยังคงไปทำงานที่ศาลเช่นเดิม เพราะเธอพูดว่าตัวเขาเองคงอยากให้เธอทำเช่นนั้น

(อ้างอิงจาก = https://www.britannica.com/biography/Ruth-Bader-Ginsburg)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่