อยากขอคำปรึกษาค่ะ
ขอเล่าที่มายาวๆ ในนี้นะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เรื่องมีอยู่ว่าเราทำกิจการเปิดร้าน (บุคคลธรรมดา) ได้ประมาณเกือบ 5 ปี
ทุกอย่างเป็นชื่อของบิดา เพราะบิดาเป็นเจ้าของอาคาร และขายสินค้าในธุรกิจใกล้เคียงกันอยู่ก่อนแล้ว
แต่เราอยากพัฒนากิจการให้ทันโลก เราลงทุนเงินรีโนเวทร้านใหม่ และลงทุนแตกไลน์มาขายสินค้าอีกไลน์หนึ่ง
กลุ่มเป้าหมายคนละตลาด และเราแยกกันบริหาร แยกกระเป๋าเงินกัน
เงินลงทุนทั้งหมดเป็นเงินเก็บของเราเอง
จากเงินเดือนเราแค่หมื่นห้า เก็บฝากประจำจนได้ 2 แสน
ไม่ได้ใช้เงินลงทุนเยอะอะไรค่ะ แต่ก็เป็นเงินทั้งหมดของเรา
พยายามใช้ทุกบาทอย่างคุ้มค่า ทำทุกหน้าที่เอง
เราพยายามอย่างมากทุกวิถีทางเพื่อหวังแค่ร้านจะอยู่รอด
การเปิดร้านนี้ถือว่าทำอะไรสวนกระแสอยู่พอตัว เราไม่ได้หวังจะรวย
แต่มันประจวบเหมาะลงตัวกับจังหวะชีวิตตอนนั้นมาก
เลยลองท้าทายตัวเองดู ลงมือทำแม้จะไม่ได้พร้อมในหลายๆ อย่าง
เราตีโจทย์ สร้างแบรนด์ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งควบคู่กับหน้าร้านสแตนอโลน
พยายามคิดกลยุทธ ทำการตลาดในเชิงรุก เริ่มต้นให้เป็นที่ยอมรับในวงการก่อน
ในปีแรกกำไรน้อยมากแต่มีกำลังใจดี ร้านค่อยๆ มีสไตล์ของเราเองชัดเจน
มีลูกค้าประจำ และมีแนวโน้มเติบโตตามเป้าทั้งที่ตอนแรกกลัวว่าจะขายไม่ได้ด้วยซ้ำ
อันนี้เป็นกิจการที่เราคิดจะทำขึ้นมากะทันหันด้วย เพราะเราได้ไปรู้ช่องทาง
และเรามี Know-How กับคอนเนคชันจากการทำงานในสายงานนี้มาพอสมควร
จึงลองลุยดูต่อยอดกิจการเดิมของที่บ้าน กะว่าจะทำงานประจำควบคู่ไปด้วย
ทั้งที่ธุรกิจนี้กำลังดิ่งขาลง หดตัวสูงมาก
แม้แต่บริษัทเราทำงานอยู่ก็ปิดบริษัทในเครือลง
สุดท้ายเราเลยต้องมาทำร้านเต็มตัว
ถึงแม้จะพยายามกลับเข้าไปทำงานประจำในสายเดิม
แต่ตำแหน่งงานเปิดรับน้อยมาก เคยเกือบได้เข้าบริษัทใหญ่ก็เป็นอันชวด
เพราะเมื่อรู้ว่าเรามีร้านเป็นของตัวเอง เขาก็ลังเลที่จะรับเราเข้าทำงานค่ะ
แล้วเราก็เลยทุ่มเทให้ร้านต่อมาในปีที่ 2
และแม้จะชนกับงานเซลล์ต่างๆ ประจำชาติ ยอดขายร้านเราก็ยังถือว่าดีขึ้น
แม้จะไม่เยอะถ้าเทียบกับกิจการอื่น แต่สำหรับธุรกิจนี้ เราเริ่มจาก 0
ไม่ใช่คนดังในวงการ เป็นแค่คนธรรมดา ถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง
มีแนวโน้มที่ดีแล้ว ต้องพยายามผ่าน 3 ปี แรกไปให้ได้ก็คงพอจะเห็นภาพ
เราดื้นรนหาความรู้ใหม่ๆ เสมอ เราเรียนดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง
เรียนทำเว็บ Wordpress เอง เรียนทำแอพจาก Appsheet เอง
หาคู่ค้าใหม่ทั้งหมดเอง สร้างคอนเนคชันระหว่างคู่ค้าจนเป็นที่รู้จักและไว้ใจ
จนผลักดันร้านเข้าสู่สมาคมฯ ได้ออกสื่อ เป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจสายนี้
แม้จะไม่ได้เด่นดังมาก แต่ถ้าคนชอบทางนี้จะต้องเคยได้ยินชื่อร้านเรา
แต่พอเราถูกดึงเข้าไปเจอกับการเมืองในวงการลึกๆ เข้า
สิ่งที่เรารับรู้มันน่าสิ้นหวังหดหู่มาก เราไม่รู้เราจะพยายามไปเพื่ออะไร
ไหนจะเจอดราม่าครอบครัวที่คนอื่นก็คงไม่อยากฟังความน้ำเน่านี้
ไม่มีใครสนับสนุนเรา เราดื้อดิ้นรนของเราเองหมด
บิดาก็มองว่าเราจะมาฮุบกิจการเขา
และเราก็มักจะขัดแย้งทั้งรสนิยม การทำงาน ความคิดทุกอย่าง
อยู่ร่วมร้านกันแทบไม่ได้ ต้องสลับเวลากันเฝ้าร้าน เพื่อไม่ให้ทะเลาะกัน
เราเองก็จะต้องมีเรื่องให้บ่นบิดา บิดาก็หาเรื่องตอกย้ำในเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ทุกวัน
คือสภาพจิตใจเราไม่ดี โมโหง่ายตลอดเวลาค่ะ
แต่เราก็เป็นคนเดียวที่พยายามจะแก้ปัญหาของที่บ้าน
แต่ทุกคนนอกจากจะไม่ยอมรับความจริง ไม่อยากแก้อะไรแล้ว ยังจะฉุดกันลงเหวด้วย
เราเล่าอะไรให้ใครฟังไม่ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่ละเอียดอ่อน
และเมื่อเล่าไปก็ไม่เกิดผลดี ถึงรู้ก็ช่วยอะไรเราไม่ได้
เคยเล่าให้บางคนที่เซ้าซี้อยากช่วย สุดท้ายเค้าก็ถอยหนีหายกันไปหมด
เราต้องรับรู้อะไรหลายๆ อย่างที่บั่นทอนจิตใจเข้ามาพร้อมกันทุกทาง
เหตุการณ์ประจวบเหมาะทุกด้านรวมกันปะดังปะเด มันหนักหนามากสำหรับเรา
เราอาจมีภูมิคุ้มกันชีวิตน้อยกว่าคนอื่น คนอื่นอาจจะเจอหนักกว่าเราอีกเยอะ
แต่เราไม่ไหว เพราะเราเคยเป็นเด็กอยู่แต่ในกรอบมาก่อน
พอเรานอกกรอบ เราเริ่มเป็นผู้ใหญ่ เริ่มเป็นตัวเอง ผู้ใหญ่ก็มองเราก้าวร้าวค่ะ
เราโตแล้วนะคะตอนนั้นจะ 30 แล้ว แต่บิดามารดายังทำเหมือนเราเป็นเด็กมัธยม
ทุกวันที่เราอยู่ร้านที่เราสร้าง แต่ไม่อาจทำให้เป็นอย่างที่เราต้องการ เราไม่มีความสุขเลยสักวัน
ยิ่งอยู่ยิ่งกัดกินเราจากข้างใน แล้วเราก็แพ้ภัยตัวเอง กลายเป็นโรคซึมเศร้า
แต่ยังรักตัวเองมากพอ ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย แค่อยากหนีไปไหนไกลๆ แต่ก็ไปไม่ได้ค่ะ
ทำได้แต่นอนอยู่เฉยๆ ให้หมดไปวันๆ นึง ไม่กินข้าว ไม่อาบน้ำ กินได้อย่างน้อยแค่วันละมื้อ
แม้จะกินยาแล้วอาการดีขึ้น แต่ก็รับความกดดันใดใดไม่ได้เลย ความบันเทิงก็เสพไม่ได้
เราหนีไปเล่นเกมที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดูวาไรตี้ตลกๆ ไร้สาระเพื่อให้ตัวเองได้หัวเราะ
เราไม่เสียใจที่เราทำตามความฝันของเรานะคะ
แต่เราเสียใจที่เรามองทุกอย่างผิดไป เราคิดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เรายึดอุดมการณ์เพื่อสังคม แต่เรายังตอบโจทย์ด้านธุรกิจให้เลี้ยงตัวเองรอดก่อนยังไม่ได้
เราได้แต่เสียงชื่นชม ได้รับการยอมรับ แต่เราไม่ได้เงิน
ไม่มีกำไรพอจะนำมาพัฒนากิจการให้แข่งขันได้
และเราไม่มีวินัยในตัวเองมากพอด้วยค่ะ
ตอนนี้รู้เป็นอย่างดีแล้วว่าเราพลาดอะไรตรงไหนบ้าง
ยังฝันว่าอนาคตจะทำกิจการที่ต่างออกไปต้องอยู่ได้จริง และที่สำคัญต้องมีความสุข
อันที่จริงการบริหารเงินของเราซื่อตรงและค่อนข้างตึงเป๊ะมาก
เราจะได้เงินสดทุกสิ้นเดือนจากบิดาที่เป็นคนเฝ้าร้านขายของลงบัญชีให้
แล้วเรามีหน้าที่นำยอดขายแต่ละเดือนมาทำบัญชีแยกส่งให้คู่ค้าแต่ละราย
เมื่อทางเราส่งยอดขาย (เอกสารออนไลน์) ทางคู่ค้าตรวจสอบว่าถูกต้องแล้ว
เราก็จะทำการโอนเงินให้ และตัดสต๊อก พร้อมสั่งของเพิ่ม
แต่ไม่ใช่ทุกรายที่เขามีระบบที่ดี แม้จะจดบริษัทใหญ่กว่าเรามากก็ตาม
เราร้านเล็กระบบไม่ได้ทันสมัย แต่ระบบเราถือว่าดีค่ะ ถึงแม้จะจดมือ
ปัญหาจริงๆ ของเรื่องทั้งหมดอยู่ตรงที่ปีที่ 3 เราพบว่าเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
เนื่องจากปัญหาครอบครัว และธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง
รายย่อยอย่างเราแทบไม่มีทางรอด แม้จะปรับตัวขายออนไลน์ก็อยู่ไม่ได้
เพราะสินค้ากำไรไม่มาก และมีดีมานน้อยนิด
แม้เราจะพยายามเจาะตลาดหาลูกค้าใหม่ สุดท้ายก็หลุดมือไปเจ้าอื่นหมดค่ะ
ถึงเรารู้ดีว่าลูกค้าสมัยนี้ไม่โลยัลตี้ ทุกคนมีสิทธิ์เลือกตามความสะดวก และความสุขของเขา
แต่เราก็เก็บเล็กผสมน้อยมาท้อแท้เอง
เราเจอพิษของคนอื่น และตัวเอง ทั้งคนใกล้ชิด คนนอก คนในวงการ คู่แข่ง
จากแรกๆ ที่เราใจสู้มาก ลำบากแค่ไหนไม่ยอมแพ้ แต่พอใจเราสิ้นหวัง ไม่รู้จะพยายามไปเพื่ออะไร
แถมพบว่าตัวเองดึงดูดแต่คนแย่ๆ เข้ามามีอิทธิพล และบทบาทในชีวิต
เหตุการณ์ทุกอย่างประกอบกันทำให้เราป่วยหนัก
อันที่จริงเรามีความเสี่ยงจะป่วยอยู่แล้ว เพราะครอบครัวไม่อบอุ่น
แต่เราก็ระวังใจตัวเองมาได้ตลอด ไม่เคยเสียคน แต่ดันมาแย่ตอนอายุจะเข้าวัย 30
กว่าเราจะกอบกู้ตัวเองกลับมาได้ ปรับมายเซ็ตใหม่ เลิกโทษตัวเอง เลิกโทษโลกนี้ ก็แทบตาย
ในระหว่างป่วยร้านยังเปิดต่อไปในปีที่ 4 เราหยุดสั่งของเพิ่มทั้งหมด
ทยอยเก็บลงลังเพื่อตัดสต๊อก ไม่ขายออกไปเป็นเงิน
เพราะเมื่อกลายเป็นเงินจะทำให้เป็นหนี้เพิ่มทันที แต่บิดาไม่เข้าใจตรงจุดนี้
ก็ชอบแอบเอาออกมาขายเพื่อให้มีเงินหมุน แต่กลับยิ่งทำให้ยอดหนี้สูงขึ้น
เพราะกำไรแทบไม่ได้ สมมติขายได้หมื่นบาท กำไรที่เราใช้ได้คือไม่เกิน 2,500 บาท
พอของกลายเป็นเงินจะเท่ากับเราต้องคืนทุนเขาไป
ถ้าเราไม่ขายเท่ากับเราไม่มีต้นทุนเพราะใช้เครดิตฝากขาย
ไม่ได้ซื้อเงินสด ไม่ต้องลงทุนไปจมก่อน
แต่เมื่อขายออก เท่ากับจะมีโอกาสเผลอใช้เกินยอดกำไรสุทธิแน่นอน
พออาการเราดีขึ้นใกล้หาย พยายามจะไปหางานทำ
แต่มายเซ็ตยังไม่ดีจึงเจอปฏิเสธหมด ใจก็ดิ่งหนักไปใหญ่
ไม่มีใครให้โอกาสก็พยายามกลับมาทบทวนตัวเอง
ส่วนกิจการร้านเข้าสู่ปีที่ 5 แต่เราตัดสินใจว่าจะเลือกหายป่วยก่อน
ถ้าป่วยต่อไปแบบนี้จะยิ่งไม่มีทางออกเหมือนเดิม เราเลยตัดใจเลิกกิจการที่กัดกินเราจากทุกทาง
จนในที่สุดปีนี้เราก็หายขาดจากโรคซึมเศร้า
ไม่ต้องกินยาแล้ว (แต่ก็ไม่ประมาทนะคะ มันกลับมาได้เสมอ)
ต้นปีถึงกลางปีที่ 5 เราก็ทยอยปิดบัญชีรายใหญ่ๆ
แจ้งให้เขามาตัดสต็อกเก็บเงินเรียบร้อยโล่งไปเปราะนึง
เหลือแต่รายเล็กเราก็พยายามติดต่อนำของไปส่งคืนเอง
แต่ยังคืนไม่หมด ทุกวันนี้ก็ยังมีของค้างอยู่ที่ร้าน
ร้านกลับไปเป็นของบิดาแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็ร่อแร่เต็มที
ขายของเดิมๆ ไปตามประสาคนแก่อ่าค่ะ แกไม่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง
สิ่งที่เราเตือนไป ที่คาดคะเนไว้ไม่มีผิด เพราะเรารู้ข่าววงในมานานมากแล้ว
แต่ในเมื่อบิดาไม่เชื่อเราก็เลิกจะคุยจะทะเลาะกับแกแล้วค่ะ
เอาตัวเองให้รอดไม่เป็นภาระใครก่อน
ทุกวันที่ต้องแบมือขอพ่อแม่ค่ากินอยู่ เดินทางไปหาหมอ
มันน่าอายมากๆ และผิดหวังในตัวเองมากๆ แต่ต้องทำใจไม่แคร์โลกเพื่อให้หายป่วยก่อน
ระหว่างป่วยก็เหมือนตัวภาระ
ไม่มีใครที่บ้านเข้าใจ ถูกบิดามารดาพูดซ้ำเติม
ที่ฟื้นฟูตัวเองมาได้ก็เพราะรักตัวเองล้วนๆ
สิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนป่วย คือหนีออกจากบ้าน
แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้ ไม่มีที่ไป แม้บ้านจะทำเราป่วยแต่เราก็ต้องทนอยู่
ฝืนความคิดตัวเองสู้โรคจนหาย เยียวยาตัวเองด้วยต้นไม้
พบสัจธรรม ดูมันล้มแล้วก็ลุกได้ เราก็เอาอย่างต้นไม้ค่ะ
แล้วก็ยังมีแมว 3 ตัวคอยปลอบใจ
เราหันเหมาหัดทำอาหาร ทำงานอดิเรกอื่นๆ จนทำให้เราหาย
ไปสมัครงานที่ไหนพอมายเซ็ตเราดี ทั้งที่เราพอร์ตเหมือนปีที่แล้วเด๊ะเลย
แต่เรากลับได้งานเกือบทุกที่ที่เราได้เรียกสัมภาษณ์
เราเลยกลายเป็นฝ่ายเลือกแทนค่ะ ลองที่ไหนไม่ดีอย่างที่โม้เราก็ออก
จนกว่าเราจะเจอที่ที่ดีที่สุด เพราะ 30+ แล้ว ไม่มีเวลาให้ลอง หรือเสียเวลาชีวิตอีกแล้วค่ะ
เราก็แค่พยายามหางานที่เราจะพอมีคุณค่า
มีความสุขเล็กๆ ที่ได้พัฒนาตนเอง มีอนาคตเป็นที่ต้องการของตลาด
ถ้าตกงานอีกก็จะหาใหม่ไม่ยาก เราหาได้ดีระดับที่ฝันสูงสุดเอาไว้ด้วย
ทึ่งในตัวเองมากที่ทำสำเร็จ ค้นพบงานในฝัน (แม้จะไม่ใช่งานที่รัก)
ทำตามปณิธานตัวเองส่งท้ายปี 2018
ย้ายไปสาย Tech Startup ใช้ทักษะเดิมแต่ได้เงินเพิ่ม 1 เท่าตัว
ได้เดือนละสองหมื่นห้าก็ดีใจเกินคาดแล้วค่ะ มากกว่าตอนเราทำร้าน
ถ้ายังวนเวียนอยู่สายงานเก่า เราคงหนีไม่พ้นเงินเดือนหมื่นห้า
หรือไม่เกินสองหมื่นคือสุดเพดาน
แต่งานสายใหม่ก็มาพร้อมความเครียด
ใจตอนนี้เราอยากเริ่มต้นใหม่แล้ว อยากตัดทุกอย่างให้จบ
จะได้เลิกกลับไปเครียดเรื่องเดิมๆ อีก
แต่พอเราไม่ได้สรุปส่งเอกสารบัญชียอดขายให้
เจ้าหนี้ก็ไม่ยอมสรุปให้เราเหมือนกัน แล้วปล่อยค้างไว้อย่างนั้น
จนครึ่งปีผ่านมาแล้ว เราก็ยังไม่รู้ยอดหนี้ของเรา ณ เวลานี้ด้วยซ้ำ
กะๆ เอาคิดว่าน่าจะไม่เกิน 5 หมื่นบาท
ตอนนี้เราพร้อมจะกลับมาชดใช้หนี้
หายป่วย และหางานประจำทำมั่นคงได้แล้ว
แต่ยังเก็บเงินไม่ได้มาก เพราะเริ่มต้นใหม่หมดจาก 0 จริงๆ
เงินในบัญชี 0 บาทค่ะ ไม่มีรายได้มา 2 ปีที่ป่วย
ปี 2019 นี้ เราตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่
ชีวิตคงเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง ต่อไปนี้จะพัฒนาตนเอง
ทำให้ตัวเองมีความสุข และทำให้คนอื่นกลับมาเชื่อมั่นในตัวเราได้อีกครั้ง
สบายใจที่จะอยู่กับเรา มีพลังงานบวกส่งให้คนอื่นมากขึ้น
ปีนี้ตั้งใจจะเก็บเงินใช้หนี้ให้หมด แต่ได้ทวงถามไปทางคู่ค้าเก่าเป็นรอบที่ 2
ก็ยังไม่มีใครใส่ใจจะมาทวงเงิน และของคืน
เราคิดว่าทางเขาก็คงไม่อยากเสียเวลาทำเอกสารให้รายเล็ก
ไม่อยากเสียค่าน้ำมันมาเก็บสินค้าที่ขายไม่ออก
ยอดแต่ละรายที่ค้างอยู่น่าจะไม่เกินรายละ 1 หมื่นบาทค่ะ
ส่วนเราเองก็ยังกลัวใจตัวเองอยู่ค่ะ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเอกสาร
รื้อค้นยากด้วยเพราะไฟล์ข้อมูลหายไปบางส่วนค่ะ คอมพัง มีแต่ที่จดมือไว้
คำถามคือถ้าเราจะโยนให้เป็นภาระของทางเจ้าหนี้เป็นคนเรียกเก็บเงินมา
เราทำถูกไหมคะ ตอนนี้เราก็จะพยายามตั้งใจเก็บเงินให้ได้เดือนละ 1 หมื่นบาท เพื่อแบ่งจ่ายหนี้บางส่วน
แต่ไม่สบายใจเลยที่ไม่รู้ยอดหนี้ที่เหลืออยู่ค่ะ แถมไม่รู้ว่าจะถูกทวงเมื่อไหร่ กลัวกลับมาเครียดอีก
เราว่าเราเองจะเก็บเงินจนสบายใจก่อนถึงจะมีแก่ใจรื้อเอกสารทีละเจ้าตามใช้หนี้
ร้านปิดกิจการ เราเป็นหนี้กับคู่ค้าหลายเจ้า แต่เจ้าหนี้ไม่ยอมสรุปยอด และไม่ทวงเงิน แม้เราจะพยายามทวงถาม ต้องทำอย่างไรดีคะ
ขอเล่าที่มายาวๆ ในนี้นะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คำถามคือถ้าเราจะโยนให้เป็นภาระของทางเจ้าหนี้เป็นคนเรียกเก็บเงินมา
เราทำถูกไหมคะ ตอนนี้เราก็จะพยายามตั้งใจเก็บเงินให้ได้เดือนละ 1 หมื่นบาท เพื่อแบ่งจ่ายหนี้บางส่วน
แต่ไม่สบายใจเลยที่ไม่รู้ยอดหนี้ที่เหลืออยู่ค่ะ แถมไม่รู้ว่าจะถูกทวงเมื่อไหร่ กลัวกลับมาเครียดอีก
เราว่าเราเองจะเก็บเงินจนสบายใจก่อนถึงจะมีแก่ใจรื้อเอกสารทีละเจ้าตามใช้หนี้