สวัสดีเพื่อนๆ ชาวบลูแพลนแนตค่ะ
และแล้ว...Road Trip ที่โมร็อคโคของเราก็มาถึงตอนจบละจ้า ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่คอยติดตามอ่านมาจนถึง Ep สุดท้ายนี้เด้อ สำหรับคนที่เพิ่งเปิดเจอกระทู้นี้เป็นกระทู้แรก สามารถหาอ่าน Ep อื่นๆ ได้จาก link ต่อไปนี้ค่ะ
Day 9 ของการเดินทาง เป็นการขับรถขาที่นานที่สุดของทริปนี้เลย นั่นคือกินระยะทางทั้งหมด 470+ กิโลเมตรในวันเดียว โดยที่เราจะแวะเที่ยวทั้งหมด 4 เมือง เริ่มจาก Tangier (หรือ Tanger) เป็นเมืองเหนือสุดของทวีปแอฟริกา ลงมายัง Asilah ต่อมาถึงราบัด และปิดท้ายการขับรถอันยาวนานที่ Casablanca เมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวง แต่โด่งดังไปทั่วโลกจากภาพยนต์คลาสสิกเรื่อง Casablanca นั่นเอง…
ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 9 จากเมือง Chefchaouen เรามุ่งหน้าขึ้นเหนือ จุดหมายปลายทางของเราคือ เมือง Tangier เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแสนโรแมนติก เป็นเมืองสำหรับผู้แสวงหาการผจญภัย และยังเป็นเมือง gateway ที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกด้วย ที่นี่… มีท่าเรือ Ferry ที่คุณสามารถใช้เดินทางเชื่อมไปยังประเทศสเปนได้ ทัวร์ส่วนใหญ่เวลาเที่ยวก็จะเที่ยวสองประเทศไปด้วยกันเลยทีเดียว… เราขับรถออกจากเมือง Chefchaouen ตั้งแต่เช้าตรู่โดยออกตั้งแต่ 7 โมงเช้า ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมงก็ถึงจุดเที่ยวที่แรกของเรา Cap Spartel
==============================
CAP SPARTEL
==============================
Rating: 4/5 ดาว
ที่นี่เป็นจุดที่ถือว่าตะวันตกเฉียงเหนือที่สุดของทวีปแอฟริกา เป็นที่ตั้งของประภาคารแห่งนึง ที่นี่เป็นจุดน้ำจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไหนมารวมกันกับน้ำในมหาสมุตรแอนแลนติก โดยน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกจะสีเข้มกว่า ส่วนน้ำจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะสีอ่อนกว่า ออกแนวสี Turquise สวยมาก คุณจะเห็นน้ำแยกกันเป็นสองสีอย่างชัดเจนเลยที่จุดนี้ ใกล้ๆ กันนี้เองมีร้าน Café Restaurant Cap Spartel ที่วิวดีมาก บรรยากาศชิวสุดๆ เราก็จอดรถกันที่นี่ รวมถึงทานอาหารเช้ากันที่นี่ด้วย
ต่อจากนี้ไป เส้นทางที่เราขับก็จะเป็นเส้นทางเรียบชายหาดสลับกับ Highway (ซึ่งจะมีด่านเก็บเงินเป็นระยะๆ) เรียบ atlantic coast ไปเรื่อยๆ บรรยากาศดีเลยทีเดียว คาดว่าหน้าร้อนคงจะคึกคักกันน่าดู เพราะรอบๆ ก็เต็มไปด้วยบ้านพักตากอากาศ หันหน้าเข้าหาทะเล
==============================
HERCULES CAVES
==============================
Rating: 2/5 ดาว
ห่างจากตรงประภาคารไม่ไกล ลงมาประมาณ 4 กิโลกว่า จะมีถ้ำแห่งนึงที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและตำนาน ตำนานแรกกล่าวไว้ว่า… ที่นี่เป็นที่พำนักของ Hercules (ก้อตำนานกรีกโบราณนั่นแหละ) ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างทางที่จะไปขโมยแอปเปิ้ลทอง 3 ผลจากสวนแห่ง Herpirides บางตำนานก็บอกว่าถ้ำแห่งนี้เป็นปลายด้านหนึ่งของอุโมงค์ใต้ผืนน้ำยาว 15 ไมล์ ที่เชื่อมระหว่างประเทศโมร็อคโคและประเทศสเปน ซึ่งนี่ก็เป็นความเชื่อจากนิทานพื้นบ้านว่า ลิง macaque ซึ่งเป็นลิงที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทวีปแอฟริกา แต่ปัจจุบันพบได้ที่แหลม Gibraltar ของประเทศสเปน ก็ข้ามทะเลมาโดยอุโมงค์แห่งนี้… แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักของเราสำหรับการมาเยือนถ้ำแห่งนี้เสียทีเดียว …
เมื่อคุณเข้าไปในถ้ำ คุณจะไม่เจอทั้ง Hercules หรือว่าลิงใดๆ แต่สิ่งที่คุณจะเจอ มันมหัสจรรย์กว่านั้นอีก เพราะถ้ำแห่งนี้จะมีช่องเปิดหันหน้าเข้ามหาสมุทรแอตแลนติก โดยรูปร่างของช่อง ถ้าคุณมองดีๆ แล้วหล่ะก็… มันจะไปละม้ายคล้ายคลึงกับแผนที่ทวีปแอฟริกาโดยบังเอิ๊ญบังเอิญ แม้แต่รูปเกาะมาดากัสก้า ก็ยังมี!! น่าทึ่งมากๆ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าช่องเปิดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาว Phoenicians นั่นเอง… เสียดายที่วันที่เราไป ฟ้าค่อนข้างปิด ด้านนอกถ้ำมีแต่หมอก มองลอดช่องออกไปแล้ว เห็นแผนที่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
ถัดจากถ้ำ Hercules เราก็ขับรถกันยาวๆ ขึ้น Highway ไป จุดหมายถัดไปของเราคือเมืองที่ได้ชื่อว่า “สวรรค์ของอาร์ตตัวแม่” เมืองนี้เป็นเมืองที่เราชอบมากที่สุดในทริปนี้เลย
==============================
MEDINA OF ASILAH
==============================
Rating: 5/5 ดาว
Asilah เป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตเลนติก เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศสเปนมาก่อน ดังนั้นคุณจะเห็นว่า วัฒนธรรมของที่นี่เกิดจากการผสมผสานของวัฒนธรรมสเปนและวัฒนธรรมโมร็อคโค เมืองนี้เริ่มโด่งดังขึ้นในปี 1978 ซึ่งเป็นปีที่นาย Mohammed Melehi ศิลปินคนนึง และนาย Mohamed Benaïssa ผู้เป็นช่างภาพและนักการเมือง ทำการเชื้อเชิญศิลปินและจิตรกรจากทั่วทุกมุมโลก มาสร้างสรรค์ผลงาน ทำการเนรมิตรผนังสีขาวในเมือง Asilah ให้กลายเป็นสีสันสวยงาม วัฒนธรรมนี้ได้ดำเนินต่อมาเรื่อยๆ จนกลายเป็น
International Cultural Moussem of Asilah ซึ่งเป็น Festival ที่จัดขึ้นทุกๆ ปีในช่วงหน้าร้อน (สิงหาคม) จะมีดนตรี การขับร้อง การขับกลอน และที่สำคัญคือจะมีการแข่งขันวาดรูปบนกำแพงเมือง ผลงานของใครที่ได้รับรางวัลก็จะได้อยู่บนกำแพงต่อไป ของใครที่ตกรอบก็จะถูกสีขาวทาทับไป หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จ้า…
ดังนั้น กิจกรรมหลักๆ ของนักท่องเที่ยวอย่างเราเวลามาเยือน Asilah แห่งนี้ก็คือการเดินชื่นชมศิลปะตามกำแพง ฝาผนัง ที่จะเห็นได้เรื่อยๆ ในส่วนของเมดิน่านั่นเอง
ร้านขายภาพวาดและศิลปะ จะเห็นได้เรื่อยๆ ในเมดิน่า
ใครอยากได้ Henna ก็มีให้นั่งทำนะจ๊ะ
ร้านขายของอาร์ตๆ วางริมทางเดินเต็มไปหมด
นอกจากนั้น ก็ยังมีอาร์ตตัวแม่หลายคนที่รังสรรค์ผลงานตามข้างถนน และก็ขายของกันตรงนั้นเลย เป็นเมืองที่อาร์ตสุดๆ ตอนแรกไม่คิดว่าจะอยู่นาน แต่เดินไปเดินมา เราอยู่กันเกือบสองชั่วโมงแหน่ะ เมืองนี้เรา highly recommend เลย เพราะมันมีจุดเก๋ให้เดินเล่นถ่ายรูปเต็มไปหมด และที่สำคัญนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะเหมือนเมืองอื่นๆ ไม่ต้องต่อคิวถ่ายรูปหรือเดินแล้วไหล่ชนกัน
หลังจากอิ่มกะศิลปะฝาผนักและ Grafiti กันไปแบบเต็มๆ เราก็เดินทางต่อไปยังเมืองราบัด เมืองหลวงของประเทศโมร็อคโคกันค่ะ…
==============================
MAUSOLEUM OF MOHAMMED V
==============================
Rating: 3/5 ดาว
เมืองราบัต (Rabat) มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ย้อนไปตั้งแต่สมัยก่อนโรมันโน้นนน…เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศโมร็อคโคมาตั้งแต่ปี 1912 และยังคงความยิ่งใหญ่ไว้เสมอมา ที่เที่ยวที่แรกที่เราแวะไปคือ สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ด ที่ 5 เป็นสุสานใหญ่สุดของประเทศ เปิดให้เข้าฟรี มีลานจอดรถ (และมีคนเดินเก็บตังค์ค่าจอด)
สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับมัสยิดฮัสซันอันแรก (Hassan Mosque) ที่สร้างมาเมื่อเกือบหนึ่งพันปีก่อน ตัวมัสยิดเองจะไม่อนุญาตให้ non-muslim เข้าไป ด้านในเป็นส่วนสุสานที่มีระเบียงรอบให้คนสามารถยืนเคารพพระศพและชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรมได้ จุดเด่นอยู่ที่โดมหลังคาขนาดใหญ่ ด้านใน ที่มีการประดับลวดลายสุดอลังการด้วยทอง และกระจกหลากสี โอ้ว แสบตามากจริมๆ
ใกล้ๆ กันจะเป็น Hassan Tower ซึ่งตอนแรกกษัตริย์ตั้งใจจะสร้างให้อลังการดาวล้วนดวงกว่าใครเพื่อน คือกว้างด้านละ 16 เมตร สูง 80 เมตร แต่ทำจริงๆ แล้วไม่เสร็จ (อ๊ะ ทำไมเหตุการณ์คุ้นๆ เหมือนทำ software อะไรซักอย่าง “สิ่งที่คิด มักจะไม่เหมือนสิ่งที่ได้สินะ”…) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้จากไปซะก่อน จึงทิ้งไว้เพียงแค่นั้น เหลือเพียงเสากระจัดกระจายกับหอยักษ์ให้เราชมเท่านั้นเอง
==============================
KASBAH DES UDAYAS
==============================
Rating: 3/5 ดาว
ห่างจาก Hassan Tower ไปไม่ไกล เป็นที่ตั้งของ Kasbah Des Oudayas ซึ่งเป็นส่วนเมืองเก่าที่ติดทะเล เมืองนี้เริ่มแรกก็สร้างให้มาเป็นทั้งอารามและป้อมปราการ โดยอีป้อมปราการนี่แหละ มันโด่งดังมาจากหนังเรื่อง Mission Impossible ตอน Rogue Nation (ซึ่งเป็นตอนที่ทอม ครูซ ขับรถซิ่งลงบันได ตามจี้มาด้วยแก๊งค์มอเตอร์ไซด์) เนื่องจากเวลาที่จำกัดมาก เราจึงไม่ได้เข้าไปเดินในเมดิน่า แต่เดินเล่นถ่ายรูปอยู่ตรงป้อมปราการ UDAYAS นี้เท่านั้น
จากเมืองราบัด เราใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง Casablanca กว่าจะถึงก็มืดพอดี เราทานอาหารค่ำกันที่ร้านอาหารไทย ร้าน Yawatcha ในเมือง Casablanca นับว่าเป็นอาหารไทยมื้อที่ 2 ที่เราทานกันที่ประเทศโมร็อคโค ก่อนที่เราจะเข้า Checkin ที่โรงแรม เราพักที่ Casablanca กัน 2 คืนด้วยกันค่ะ
[CR] ขับรถเที่ยว MOROCCO 2000+ กิโลจากผืนทรายจรดผืนน้ำ Episode 4 (End): ATLANTIC RIM DRIVE เส้นทางสู่ CASABLANCA
สวัสดีเพื่อนๆ ชาวบลูแพลนแนตค่ะ
และแล้ว...Road Trip ที่โมร็อคโคของเราก็มาถึงตอนจบละจ้า ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่คอยติดตามอ่านมาจนถึง Ep สุดท้ายนี้เด้อ สำหรับคนที่เพิ่งเปิดเจอกระทู้นี้เป็นกระทู้แรก สามารถหาอ่าน Ep อื่นๆ ได้จาก link ต่อไปนี้ค่ะ
ขับรถเที่ยว MOROCCO 2000+ กิโลจากผืนทรายจรดผืนน้ำ
Episode 1: MARRAKECH – ไข่มุกสีแดงแห่งโมร็อคโค
Episode 2: THE ROAD TO MERZOUGA AND SAHARA ที่รัก
Episode 3: ยืนงงในดงเมดิน่า (ALL ABOUT MEDINAS – FES & CHEFCHAOUEN)
---------------------------------------------------------------------------
Day 9 ของการเดินทาง เป็นการขับรถขาที่นานที่สุดของทริปนี้เลย นั่นคือกินระยะทางทั้งหมด 470+ กิโลเมตรในวันเดียว โดยที่เราจะแวะเที่ยวทั้งหมด 4 เมือง เริ่มจาก Tangier (หรือ Tanger) เป็นเมืองเหนือสุดของทวีปแอฟริกา ลงมายัง Asilah ต่อมาถึงราบัด และปิดท้ายการขับรถอันยาวนานที่ Casablanca เมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวง แต่โด่งดังไปทั่วโลกจากภาพยนต์คลาสสิกเรื่อง Casablanca นั่นเอง…
ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 9 จากเมือง Chefchaouen เรามุ่งหน้าขึ้นเหนือ จุดหมายปลายทางของเราคือ เมือง Tangier เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแสนโรแมนติก เป็นเมืองสำหรับผู้แสวงหาการผจญภัย และยังเป็นเมือง gateway ที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกด้วย ที่นี่… มีท่าเรือ Ferry ที่คุณสามารถใช้เดินทางเชื่อมไปยังประเทศสเปนได้ ทัวร์ส่วนใหญ่เวลาเที่ยวก็จะเที่ยวสองประเทศไปด้วยกันเลยทีเดียว… เราขับรถออกจากเมือง Chefchaouen ตั้งแต่เช้าตรู่โดยออกตั้งแต่ 7 โมงเช้า ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมงก็ถึงจุดเที่ยวที่แรกของเรา Cap Spartel
CAP SPARTEL
==============================
Rating: 4/5 ดาว
ที่นี่เป็นจุดที่ถือว่าตะวันตกเฉียงเหนือที่สุดของทวีปแอฟริกา เป็นที่ตั้งของประภาคารแห่งนึง ที่นี่เป็นจุดน้ำจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไหนมารวมกันกับน้ำในมหาสมุตรแอนแลนติก โดยน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกจะสีเข้มกว่า ส่วนน้ำจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะสีอ่อนกว่า ออกแนวสี Turquise สวยมาก คุณจะเห็นน้ำแยกกันเป็นสองสีอย่างชัดเจนเลยที่จุดนี้ ใกล้ๆ กันนี้เองมีร้าน Café Restaurant Cap Spartel ที่วิวดีมาก บรรยากาศชิวสุดๆ เราก็จอดรถกันที่นี่ รวมถึงทานอาหารเช้ากันที่นี่ด้วย
ต่อจากนี้ไป เส้นทางที่เราขับก็จะเป็นเส้นทางเรียบชายหาดสลับกับ Highway (ซึ่งจะมีด่านเก็บเงินเป็นระยะๆ) เรียบ atlantic coast ไปเรื่อยๆ บรรยากาศดีเลยทีเดียว คาดว่าหน้าร้อนคงจะคึกคักกันน่าดู เพราะรอบๆ ก็เต็มไปด้วยบ้านพักตากอากาศ หันหน้าเข้าหาทะเล
HERCULES CAVES
==============================
Rating: 2/5 ดาว
ห่างจากตรงประภาคารไม่ไกล ลงมาประมาณ 4 กิโลกว่า จะมีถ้ำแห่งนึงที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและตำนาน ตำนานแรกกล่าวไว้ว่า… ที่นี่เป็นที่พำนักของ Hercules (ก้อตำนานกรีกโบราณนั่นแหละ) ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างทางที่จะไปขโมยแอปเปิ้ลทอง 3 ผลจากสวนแห่ง Herpirides บางตำนานก็บอกว่าถ้ำแห่งนี้เป็นปลายด้านหนึ่งของอุโมงค์ใต้ผืนน้ำยาว 15 ไมล์ ที่เชื่อมระหว่างประเทศโมร็อคโคและประเทศสเปน ซึ่งนี่ก็เป็นความเชื่อจากนิทานพื้นบ้านว่า ลิง macaque ซึ่งเป็นลิงที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทวีปแอฟริกา แต่ปัจจุบันพบได้ที่แหลม Gibraltar ของประเทศสเปน ก็ข้ามทะเลมาโดยอุโมงค์แห่งนี้… แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักของเราสำหรับการมาเยือนถ้ำแห่งนี้เสียทีเดียว …
เมื่อคุณเข้าไปในถ้ำ คุณจะไม่เจอทั้ง Hercules หรือว่าลิงใดๆ แต่สิ่งที่คุณจะเจอ มันมหัสจรรย์กว่านั้นอีก เพราะถ้ำแห่งนี้จะมีช่องเปิดหันหน้าเข้ามหาสมุทรแอตแลนติก โดยรูปร่างของช่อง ถ้าคุณมองดีๆ แล้วหล่ะก็… มันจะไปละม้ายคล้ายคลึงกับแผนที่ทวีปแอฟริกาโดยบังเอิ๊ญบังเอิญ แม้แต่รูปเกาะมาดากัสก้า ก็ยังมี!! น่าทึ่งมากๆ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าช่องเปิดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาว Phoenicians นั่นเอง… เสียดายที่วันที่เราไป ฟ้าค่อนข้างปิด ด้านนอกถ้ำมีแต่หมอก มองลอดช่องออกไปแล้ว เห็นแผนที่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
ถัดจากถ้ำ Hercules เราก็ขับรถกันยาวๆ ขึ้น Highway ไป จุดหมายถัดไปของเราคือเมืองที่ได้ชื่อว่า “สวรรค์ของอาร์ตตัวแม่” เมืองนี้เป็นเมืองที่เราชอบมากที่สุดในทริปนี้เลย
MEDINA OF ASILAH
==============================
Rating: 5/5 ดาว
Asilah เป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตเลนติก เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศสเปนมาก่อน ดังนั้นคุณจะเห็นว่า วัฒนธรรมของที่นี่เกิดจากการผสมผสานของวัฒนธรรมสเปนและวัฒนธรรมโมร็อคโค เมืองนี้เริ่มโด่งดังขึ้นในปี 1978 ซึ่งเป็นปีที่นาย Mohammed Melehi ศิลปินคนนึง และนาย Mohamed Benaïssa ผู้เป็นช่างภาพและนักการเมือง ทำการเชื้อเชิญศิลปินและจิตรกรจากทั่วทุกมุมโลก มาสร้างสรรค์ผลงาน ทำการเนรมิตรผนังสีขาวในเมือง Asilah ให้กลายเป็นสีสันสวยงาม วัฒนธรรมนี้ได้ดำเนินต่อมาเรื่อยๆ จนกลายเป็น International Cultural Moussem of Asilah ซึ่งเป็น Festival ที่จัดขึ้นทุกๆ ปีในช่วงหน้าร้อน (สิงหาคม) จะมีดนตรี การขับร้อง การขับกลอน และที่สำคัญคือจะมีการแข่งขันวาดรูปบนกำแพงเมือง ผลงานของใครที่ได้รับรางวัลก็จะได้อยู่บนกำแพงต่อไป ของใครที่ตกรอบก็จะถูกสีขาวทาทับไป หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จ้า…
ดังนั้น กิจกรรมหลักๆ ของนักท่องเที่ยวอย่างเราเวลามาเยือน Asilah แห่งนี้ก็คือการเดินชื่นชมศิลปะตามกำแพง ฝาผนัง ที่จะเห็นได้เรื่อยๆ ในส่วนของเมดิน่านั่นเอง
นอกจากนั้น ก็ยังมีอาร์ตตัวแม่หลายคนที่รังสรรค์ผลงานตามข้างถนน และก็ขายของกันตรงนั้นเลย เป็นเมืองที่อาร์ตสุดๆ ตอนแรกไม่คิดว่าจะอยู่นาน แต่เดินไปเดินมา เราอยู่กันเกือบสองชั่วโมงแหน่ะ เมืองนี้เรา highly recommend เลย เพราะมันมีจุดเก๋ให้เดินเล่นถ่ายรูปเต็มไปหมด และที่สำคัญนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะเหมือนเมืองอื่นๆ ไม่ต้องต่อคิวถ่ายรูปหรือเดินแล้วไหล่ชนกัน
หลังจากอิ่มกะศิลปะฝาผนักและ Grafiti กันไปแบบเต็มๆ เราก็เดินทางต่อไปยังเมืองราบัด เมืองหลวงของประเทศโมร็อคโคกันค่ะ…
MAUSOLEUM OF MOHAMMED V
==============================
Rating: 3/5 ดาว
เมืองราบัต (Rabat) มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ย้อนไปตั้งแต่สมัยก่อนโรมันโน้นนน…เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศโมร็อคโคมาตั้งแต่ปี 1912 และยังคงความยิ่งใหญ่ไว้เสมอมา ที่เที่ยวที่แรกที่เราแวะไปคือ สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ด ที่ 5 เป็นสุสานใหญ่สุดของประเทศ เปิดให้เข้าฟรี มีลานจอดรถ (และมีคนเดินเก็บตังค์ค่าจอด)
สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับมัสยิดฮัสซันอันแรก (Hassan Mosque) ที่สร้างมาเมื่อเกือบหนึ่งพันปีก่อน ตัวมัสยิดเองจะไม่อนุญาตให้ non-muslim เข้าไป ด้านในเป็นส่วนสุสานที่มีระเบียงรอบให้คนสามารถยืนเคารพพระศพและชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรมได้ จุดเด่นอยู่ที่โดมหลังคาขนาดใหญ่ ด้านใน ที่มีการประดับลวดลายสุดอลังการด้วยทอง และกระจกหลากสี โอ้ว แสบตามากจริมๆ
ใกล้ๆ กันจะเป็น Hassan Tower ซึ่งตอนแรกกษัตริย์ตั้งใจจะสร้างให้อลังการดาวล้วนดวงกว่าใครเพื่อน คือกว้างด้านละ 16 เมตร สูง 80 เมตร แต่ทำจริงๆ แล้วไม่เสร็จ (อ๊ะ ทำไมเหตุการณ์คุ้นๆ เหมือนทำ software อะไรซักอย่าง “สิ่งที่คิด มักจะไม่เหมือนสิ่งที่ได้สินะ”…) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้จากไปซะก่อน จึงทิ้งไว้เพียงแค่นั้น เหลือเพียงเสากระจัดกระจายกับหอยักษ์ให้เราชมเท่านั้นเอง
KASBAH DES UDAYAS
==============================
Rating: 3/5 ดาว
ห่างจาก Hassan Tower ไปไม่ไกล เป็นที่ตั้งของ Kasbah Des Oudayas ซึ่งเป็นส่วนเมืองเก่าที่ติดทะเล เมืองนี้เริ่มแรกก็สร้างให้มาเป็นทั้งอารามและป้อมปราการ โดยอีป้อมปราการนี่แหละ มันโด่งดังมาจากหนังเรื่อง Mission Impossible ตอน Rogue Nation (ซึ่งเป็นตอนที่ทอม ครูซ ขับรถซิ่งลงบันได ตามจี้มาด้วยแก๊งค์มอเตอร์ไซด์) เนื่องจากเวลาที่จำกัดมาก เราจึงไม่ได้เข้าไปเดินในเมดิน่า แต่เดินเล่นถ่ายรูปอยู่ตรงป้อมปราการ UDAYAS นี้เท่านั้น
จากเมืองราบัด เราใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง Casablanca กว่าจะถึงก็มืดพอดี เราทานอาหารค่ำกันที่ร้านอาหารไทย ร้าน Yawatcha ในเมือง Casablanca นับว่าเป็นอาหารไทยมื้อที่ 2 ที่เราทานกันที่ประเทศโมร็อคโค ก่อนที่เราจะเข้า Checkin ที่โรงแรม เราพักที่ Casablanca กัน 2 คืนด้วยกันค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น