เมื่อพ่อหรือแม่ติดเตียง ภาระที่ต้องจ่ายไม่ใช่เรื่องเล็กเมื่อจ้างศูนย์ดูแลหรือจ้างผู้ดูแลที่บ้าน ต้องวางแผนพอเหมาะไว้ก่อน

แม่ผมติดเตียงตั้งแต่อายุ 87-88 ปี เป็นอัมพฤตด้วยเส้นเลือดฝอยในสมองแตก   นี้ก็ย่าง 95 ปีแล้ว แต่สติท่านยังจำได้ ยังรู้จักทุกอย่าง เพราะผมได้แนะนำการเจริญสติและสมาธิมาตลอด นี้ก็เป็นเวลา 6 ปีเต็มไปแล้ว ก็ยังอยู่ได้ต่อไปครับ จะหนักก็ค่าเลี้ยงดู ต้องจ้างศูนย์เขาดูแล ถ้าพี่ๆ น้องๆ  รวมกันแชร์กันมากน้อยก็ว่ากันไปตามฐานะกำลัง ก็พอมีกำลังใจบ้าง ..

    แต่เมื่อเท หนักอยู่ที่คนเดียว เป็นเรื่องที่หนักน่าดู  บางครั้งคนที่ไม่จ่ายก็กล่าวว่าเป็นความผิดของคนจ่าย เช่น ก็อยากรับไปเองบ้าง(ทั้งที่แม่เครียดจนเกือบกลายเป็นโรคจิต  ที่เป็นหนังหน้าไฟของลูกที่ทะเราะกันกับลูกที่จ่ายน้อย ว่ารายได้จากการรับดูแลแม่น้อยไป)  หรือคนที่หยุดจ่ายแล้ว(แม้ที่จ่ายก็เพียงนิดหน่อย) แต่คำพูดเก่าๆ ที่เคยพูดไว้ตามประสาพี่น้อง ก็วนเวียนให้นึกถึงคำที่พูดไว้ว่า  

    "มึ. จ่ายไปจนหมดเงินเก็บ ต้องจนหมดตัวแน่"   

     ก็กลายเป็นความผิดของผู้ที่รับภาระหนักคนเดียวไปเสีย   ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ของพี่ๆ น้องๆ ที่เหลื่อมล้ำกันทางจิตใจและฐานะรายได้ ทำให้ความนึกคิดเฉ แบบผิดรูปไป เพื่อปกป้องใจตนเอง  

     ผมจึงต้องรับภาระหนักจ่ายไป(ก็รับมาตั้งแต่ต้นเแล้วแหละ ที่แม่เริ่มติดเตียง) จะเป็นล้านบาทแล้วครับ. หรือถึงแล้วเพราะไม่ได้มานั่งนับ เมื่อรวมทุกอย่างที่จ่ายไป กับแม่ที่ติดเตียง  ก็ไม่ไม่ได้เกียดหรือโกรธพี่ๆ เขาหรอกครับ แต่ก็ระบายกับคำพูดของเขาเหล่านั้นออกมาบ้าง เป็นธรรมดา เผื่อมีประโยชน์กับท่านอื่นๆ ในการวางใจ ที่ต้องตกอยู่ในฐานะ ต้องรับผิดชอบที่ต้องรับภาระหนักเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งที่มีรายได้ก็ธรรมดา 5 หมื่นกว่าบาทที่ป็นเงินเดือน(ไม่รวมรายได้เล็กๆ น้อยๆ จากส่วนอื่น) ไม่ได้มากมายหนักเท่าไหร่ต่อเดือน กับพ่อและ/หรือแม่ที่นอนติดเตียง  เพราะจะหวั่นไหวจนทุกข์มากได้ง่าย ด้วยกินเวลา ไม่ใช่ 2-3 เดือน แต่เป็นปี หรือลากยาวไปหลายปี ที่เดียว ดังเช่นกรณีผม.
   
       แต่ด้วยผมนั้นได้วางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน แล้วว่าจะต้องปลดภาระ เช่น หนี้ บ้าน ที่ดิน รถ  และทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้หลังเกษียณ แม้จะเล็กน้อย ต้องหมดก่อนเกษียณ แล้วค่อยเก็บเงินสด ที่เป็นของส่วนตัวสัก 2 ล้านบาท ก็เกษียนพอดี แม้ขณะนั้นเมื่อ 6 ปีกว่ามาแล้ว ก็พอทราบอยู่แล้วว่า เงินเดือนจะไม่ขึ้น โบนัสก็จะไม่ได้รับ ซึ่งดูแล้วได้ตามเป้าหมายหรือเกินเป้าหมายไปเล็กน้อย เมื่อยามเกษียณคือ..

        กินค่าเช่า ทรับพย์(บ้าน อีกหลัง) เป็นรายได้หลังเกษียน + บำนาณประกันสังคม(4 พันบาท)  โดยไม่ต้องทำงานอะไร ต่อเดือน
        ที่พิเศษคือ มีเงินสด เก็บในมือ  2 ล้านบาท เป็นของส่วนตัว จะไปเที่ยวไหน จะทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ  2-3 แสน ในที่ดินที่ซื้อไว้ เผื่อเกิดรายได้ก็ไม่ต้องคิดมาก (ภรรยาก็มีเก็บของเขา เงินก้อนนี้ไม่เกี่ยวกัน)

      แต่เมื่อ 6 ปีที่แล้วนั้นทุกอย่างเปลี่ยน  เมื่อแม่เส้นเลือดฝอยในสมองแตก เป็นอัมพฤต บ้าน 2 หลัง รถ 1 คัน ที่ดิน 2 แปลง ยังมีหนี้ ติดอยู่ ยังผ่อนไม่หมด รวมแล้วยังหลายแสนหรือเป็นล้านบาท  แผนทุกอย่างก็ต้องรวบรัด ปรับเปลี่ยนหมด ที่จะต้องรองรับแรงกระแทก ข้างหน้าเรื่องแม่ ที่อาจเกิดขึ้น คือ.

     1.ต้องรีบปิดหนี้ทรัพย์สินไปตามลำดับ คือ หลังใหญ่ก่อน แล้วค่อยๆ ตามด้วยหลังเล็ก(ให้เช่า) + ที่ดินตามลำดับ
        ผมใช้เวลา 2 ปีกว่าๆ ก็ปิดหมด โดยเอาเงินก้อนที่เก็บไว้ร่วมกันกับภรรยาโปะ เพราะเหลืออยู่หลังละ 2-3 แสนจึงใช้เงินเก็บ ที่มีอยู่ทุกชอกทุกมุมมาโป๊ะหมด ที่ต้องรีบร้อนเพราะ เพราะสุขภาพจิตของแม่ย้ำแย่มากๆ  ด้วยเป็นหนังหน้าไฟ ของลูกๆ เรื่องรายได้ค่าเลี้ยงดูของพี่ที่รับดูแล  กับพี่ ที่จ่ายน้อยและจะลดเงิน(จ่ายคนละ พัน และ 3 พันเอง) จนผมขอร้องให้จ่ายเหมือนเดิม แล้วผมก็จ่ายเพิ่มขึ้นเอง  แต่แล้วปัญหานั้นไม่จบ ก็ไปลงที่แม่อีก ผมจึงต้องระงับกรรมนั้นเสียไม่ให้มากไปกว่านั้น(ไม่อยากให้พี่สร้างกรรมไปมากกว่านั้น)  
     2.ต้องหารถอีกคันหนึ่ง ใช้ยาว  ก็ได้รถกระบะ อีชูชุ 4 ประตู ไอแลนเดอร์ที่กำลังออกใหม่  ก็หนี้ปิดหมดไปเมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้ว  รถโตโยต้า วีออส ก็ยกให้ลูกไช้ไป ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นเงินดาวส์ เป็นรถใหม่ของลูกไป

     คือใน 2 ข้อนั้นผมตกอยู่ในฐานะ  เงินเดือนไม่ขึ้น โบนัสไม่มีมาตลอดเลยครับ  แต่ด้วยใจไม่ไปเครียดอะไร ทำทุกอย่างไปตามลำดับ ไม่ไปคิดอะไรมากกับสถานะการณ์นั้น ก็จะเห็นทางออก หรือมีทางให้เจริญขึ้นได้แม้ในยามหรือช่วงที่อาจจะแย่.

      ก็ได้มีโอกาส ดาวส์คอนโดใหม่ ราคาไม่เกินล้านอีก 1 ห้อง เพื่อเป็นรายได้หลังเกษียณทดแทนเงินที่จะเก็บได้นั้นเอง ด้วยเงินค่าชดเชยเรื่องเสียงเครื่องบิน แล้วกันเงินโปะหมดเมื่อผ่อนครบ 3 ปี ตามสัญญาที่ห้ามโปะหมดพอดีไว้แล้ว

      กับเล่นๆ กับหุ้นมาครบ 7 ปี ก็ได้แนวทางแบบเฉพาะตัว  ทำให้ได้ค่าปันผลเฉลี่ยที่ 4-5-6 % ต่อปี อย่างพอแน่นอนแล้วนั้นเอง  ก็จะเป็นเงินได้เล็กๆ น้อยๆ หลังเกษียณ อีกทางนั้นเอง
   
     ผมจะแนะวิธีการเล่นหรือลงทุนในหุ้นของผม คือ

            หุ้นกองทุน(รอรับปันผล ตัวไหนแย่ก็เปลี่ยน ตัดขาดทุนเล็กๆ น้อยๆ) + หุ้นที่รู้จังหวะเข้าออก + หุ้นช่วงปันผลที่มีจังหวะเข้าออกแต่ได้ปันผลมากกว่าเสีย ก็ถัวๆ กับ หุ้นที่รู้จังหวะเข้าออก ทำให้เงินในพอร์ตอยู่ในระดับเดิม  (ทริกคือ ต้องดูกราฟบ้าง ดูย้อนหลังบ้าง ได้ข่าวบ้าง ดูค่า p ต่างๆ  ประกอบ  สรุปคือ ต้องอาศัยประสบการณ์นั้นเอง)
            แต่ได้ปันผล 5-6 % ต่อปีค่อนข้างแน่นอน.

        สรุป เมื่อผมเกษียณปี นี้ก็จะไม่ได้แย่มาก ดำเนินไปได้นั้นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่