อย่างไรก็ตาม มีการนำเรื่องนี้ไปเทียบกับคดีของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม กรณีการครอบครองรถโฟล์ค ราคา 2.9 ล้านบาท ที่อ้างว่า ภรรยายืมเพื่อนนักธุรกิจมา จึงไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน
1) กรณี นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม นายสุพจน์ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 17 ล้านบาทเศษ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2542 นายสุพจน์อ้างว่า นายเอนก จงเสถียร เพื่อนนักธุรกิจของภรรยา ให้ยืมใช้ รถยนต์ Volkwagen มูลค่า 2.9 ล้านบาท จึงไม่ได้ระบุรายการรถยนต์ไว้ในบัญชีทรัพย์สิน แต่หลัง ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่า มีข้อมูลหลายอย่างไม่สัมพันธ์กัน เช่น การตรวจสอบพบว่า ผู้ยืม-ผู้ให้ยืม เพิ่งทำงานร่วมกันไม่ถึง 2 เดือน การให้ยืมสิ่งของมูลกว่าเกือบ 3 ล้านบาท จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ประกอบกับตรวจสอบพฤติการณ์การใช้ การซ่อม การเติมน้ำมันรถ และพยานแวดล้อมอื่นๆ จนพบและเชื่อได้ว่า ข้อเท็จจริงไม่น่าจะเป็นไปตามที่นายสุพจน์กล่าวอ้าง ทำให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและส่งฟ้องตามกระบวนการ
แต่พฤติการณ์ของนายปัฐวาทต่างออกไป เขาให้คนยืมนาฬิกาเยอะแยะไปหมดโดยเฉพาะเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา การให้ พล.อ.ประวิตร ยืม ไม่ใช่พฤติกรรม “ผิดปกติ” ของนายปัฐวาท
2) มีคนเอาไปเทียบกับกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ด้วย กรณีของนายชูวิทย์นั้น ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายชูวิทย์ให้การรับสารภาพนะครับ พร้อมแถลงประกอบคำรับสารภาพว่า ตนมีทรัพย์สินมากกว่า 500 ล้านบาท โดยไม่ได้เจตนาปกปิดการรายงานหุ้นร่วมลงทุนจำนวน 150,000 บาท เนื่องจากผู้ทำรายงานคงตกหล่นไป ประกอบกับในปี 2546 ตนได้โอนหุ้นดังกล่าวให้กับบุคคล 2 คนเป็นผู้ถือหุ้นแทน เนื่องจากการขอใบอนุญาตสถานประกอบการ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้ใช้ชื่อตนเป็นผู้ประกอบการ และหุ้นของภัตตาคารดังกล่าวไม่มีรายได้ จึงเข้าใจว่าไม่ต้องรายงานทรัพย์สินดังกล่าวแก่ ป.ป.ช. ที่ผ่านมาตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองปี 2548 ก็ไม่เคยรายงานทรัพย์สินดังกล่าวขอให้ศาลใช้ดุลพินิจนำคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของตนเพื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาโทษ
ศาลพิจารณาแล้วผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ คดีไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานอีก จึงอ่านคำพิพากษาทันที
ศาลพิเคราะห์คำร้องเอกสารประกอบคำฟ้องและคำให้การผู้ถูกกล่าวแล้ว เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อปี 2554 พ้นจากตำแหน่งปี 2556 ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแก่ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน นับจากวันเข้ารับตำแหน่ง, วันที่พ้นตำแหน่ง และวันที่พ้นตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32,33 ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเคยยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในการดำรงตำแหน่ง สส. ครั้งที่ 1 และ 2 มาแล้ว ย่อมทราบดีว่าผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินฯ ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
แต่ผู้ถูกกล่าวหายื่นรายการแสดงทรัพย์สิน โดยไม่แสดงรายการเงินลงทุนกับภัตตาคารแห่งหนึ่ง มูลค่า 150,000 บาท โดยชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ว่า ได้โอนหุ้นให้พนักงานสถานประกอบการไฮคลาสเอ็นเตอร์เทนเมนต์ 2 ราย ไปก่อนกำหนดการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
ซึ่งขัดกับคำให้การของพนักงานสถานประกอบการไฮคลาสฯ ทั้ง 2 รายต่ออนุกรรมการไต่สวนว่า พยานเป็นเพียงพนักงานของสถานประกอบการไฮคลาสฯ และมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทนผู้ถูกกล่าวหาเพื่อยื่นเรื่องขอใบอนุญาตสถานประกอบการเท่านั้น แต่ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง
พฤติการณ์จึงเชื่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ถือหุ้นของภัตตาคารที่ร่วมลงทุน แต่มีเจตนาไม่แสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีรายการแสดงทรัพย์สินและหนี้สิน ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องปฏิบัติ เพื่อใช้ตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ จึงฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่ง สส.ครั้งที่ 2
พิพากษาว่า นายชูวิทย์จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32, 33
เรื่อง “แหวนพ่อ นาฬิกาเพื่อน” นี้ สำคัญที่ “ข้อกล่าวหา” กับ “ข้อเท็จจริง” และ “พฤติการณ์” วิญญูชนพึงพิจารณาอย่างมีเหตุผล ดูว่า ป.ป.ช.ตรวจในทุกประเด็นที่ควรตรวจแล้วหรือไม่ ซึ่งอ่านจากเอกสาร ป.ป.ช. ที่ผมนำมากล่าวถึงก็ชัดเจนแล้ว แต่โชคร้ายคือ พล.อ.ประวิตร ถูกมองเป็น “คนเทาๆ” หลายคนไม่เชื่อผลการตรวจครั้งนี้ และมองว่า ป.ป.ช.ช่วย พล.อ.ประวิตร ป.ป.ช.พลอยซวยไปด้วย
และคนที่ซวยท้ายสุดตอนนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังอยู่ในกระแสว่า ควรเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งอีกหรือไม่หางเลขยังฟาดโครมเข้าที่พลังประชารัฐอย่างช่วยไม่ได้ กระแสนิยมจะตกเพราะเรื่องนี้หรือไม่ อยู่ที่ความมีเหตุมีผลของประชาชนแล้วล่ะครับ!!
แนวหน้า
https://www.naewna.com/politic/columnist/38455
@@@พลเอกประวิตร vs สุพจน์ vs ชูวิทย์ @@@@@
1) กรณี นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม นายสุพจน์ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 17 ล้านบาทเศษ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2542 นายสุพจน์อ้างว่า นายเอนก จงเสถียร เพื่อนนักธุรกิจของภรรยา ให้ยืมใช้ รถยนต์ Volkwagen มูลค่า 2.9 ล้านบาท จึงไม่ได้ระบุรายการรถยนต์ไว้ในบัญชีทรัพย์สิน แต่หลัง ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่า มีข้อมูลหลายอย่างไม่สัมพันธ์กัน เช่น การตรวจสอบพบว่า ผู้ยืม-ผู้ให้ยืม เพิ่งทำงานร่วมกันไม่ถึง 2 เดือน การให้ยืมสิ่งของมูลกว่าเกือบ 3 ล้านบาท จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ประกอบกับตรวจสอบพฤติการณ์การใช้ การซ่อม การเติมน้ำมันรถ และพยานแวดล้อมอื่นๆ จนพบและเชื่อได้ว่า ข้อเท็จจริงไม่น่าจะเป็นไปตามที่นายสุพจน์กล่าวอ้าง ทำให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและส่งฟ้องตามกระบวนการ แต่พฤติการณ์ของนายปัฐวาทต่างออกไป เขาให้คนยืมนาฬิกาเยอะแยะไปหมดโดยเฉพาะเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา การให้ พล.อ.ประวิตร ยืม ไม่ใช่พฤติกรรม “ผิดปกติ” ของนายปัฐวาท
2) มีคนเอาไปเทียบกับกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ด้วย กรณีของนายชูวิทย์นั้น ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายชูวิทย์ให้การรับสารภาพนะครับ พร้อมแถลงประกอบคำรับสารภาพว่า ตนมีทรัพย์สินมากกว่า 500 ล้านบาท โดยไม่ได้เจตนาปกปิดการรายงานหุ้นร่วมลงทุนจำนวน 150,000 บาท เนื่องจากผู้ทำรายงานคงตกหล่นไป ประกอบกับในปี 2546 ตนได้โอนหุ้นดังกล่าวให้กับบุคคล 2 คนเป็นผู้ถือหุ้นแทน เนื่องจากการขอใบอนุญาตสถานประกอบการ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้ใช้ชื่อตนเป็นผู้ประกอบการ และหุ้นของภัตตาคารดังกล่าวไม่มีรายได้ จึงเข้าใจว่าไม่ต้องรายงานทรัพย์สินดังกล่าวแก่ ป.ป.ช. ที่ผ่านมาตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองปี 2548 ก็ไม่เคยรายงานทรัพย์สินดังกล่าวขอให้ศาลใช้ดุลพินิจนำคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของตนเพื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาโทษ
ศาลพิจารณาแล้วผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ คดีไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานอีก จึงอ่านคำพิพากษาทันที
ศาลพิเคราะห์คำร้องเอกสารประกอบคำฟ้องและคำให้การผู้ถูกกล่าวแล้ว เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อปี 2554 พ้นจากตำแหน่งปี 2556 ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแก่ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน นับจากวันเข้ารับตำแหน่ง, วันที่พ้นตำแหน่ง และวันที่พ้นตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32,33 ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเคยยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในการดำรงตำแหน่ง สส. ครั้งที่ 1 และ 2 มาแล้ว ย่อมทราบดีว่าผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินฯ ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
แต่ผู้ถูกกล่าวหายื่นรายการแสดงทรัพย์สิน โดยไม่แสดงรายการเงินลงทุนกับภัตตาคารแห่งหนึ่ง มูลค่า 150,000 บาท โดยชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ว่า ได้โอนหุ้นให้พนักงานสถานประกอบการไฮคลาสเอ็นเตอร์เทนเมนต์ 2 ราย ไปก่อนกำหนดการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งขัดกับคำให้การของพนักงานสถานประกอบการไฮคลาสฯ ทั้ง 2 รายต่ออนุกรรมการไต่สวนว่า พยานเป็นเพียงพนักงานของสถานประกอบการไฮคลาสฯ และมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทนผู้ถูกกล่าวหาเพื่อยื่นเรื่องขอใบอนุญาตสถานประกอบการเท่านั้น แต่ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง
พฤติการณ์จึงเชื่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ถือหุ้นของภัตตาคารที่ร่วมลงทุน แต่มีเจตนาไม่แสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีรายการแสดงทรัพย์สินและหนี้สิน ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องปฏิบัติ เพื่อใช้ตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ จึงฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่ง สส.ครั้งที่ 2
พิพากษาว่า นายชูวิทย์จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32, 33
เรื่อง “แหวนพ่อ นาฬิกาเพื่อน” นี้ สำคัญที่ “ข้อกล่าวหา” กับ “ข้อเท็จจริง” และ “พฤติการณ์” วิญญูชนพึงพิจารณาอย่างมีเหตุผล ดูว่า ป.ป.ช.ตรวจในทุกประเด็นที่ควรตรวจแล้วหรือไม่ ซึ่งอ่านจากเอกสาร ป.ป.ช. ที่ผมนำมากล่าวถึงก็ชัดเจนแล้ว แต่โชคร้ายคือ พล.อ.ประวิตร ถูกมองเป็น “คนเทาๆ” หลายคนไม่เชื่อผลการตรวจครั้งนี้ และมองว่า ป.ป.ช.ช่วย พล.อ.ประวิตร ป.ป.ช.พลอยซวยไปด้วย
และคนที่ซวยท้ายสุดตอนนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังอยู่ในกระแสว่า ควรเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งอีกหรือไม่หางเลขยังฟาดโครมเข้าที่พลังประชารัฐอย่างช่วยไม่ได้ กระแสนิยมจะตกเพราะเรื่องนี้หรือไม่ อยู่ที่ความมีเหตุมีผลของประชาชนแล้วล่ะครับ!!
แนวหน้า
https://www.naewna.com/politic/columnist/38455