เรื่องที่เราจะโพสต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องให้นำมาเผยเเพร่(ละนะ)
เราว่ามันเป็นเคสที่น่าสนใจเเละน่าเตือนใจได้ดี ซึ่งมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพเเละเงินๆทองๆ
อาจจะยาวนิดนึง เเต่อ่านเถอะ
เมื่อกี้นี้มีรุ่นน้องคนนึงมาระบาย+ขอคำปรึกษากับเรา
(ตอนคุยกันเจ้าของกระทู้เป็นไมเกรน เเต่ก็คุยกับน้องเขาหน่อย
เพราะฟังเสียงเค้าแล้วน่าจะหนักจริง)
เรื่องราวมันมีอยู่ว่ารุ่นน้องคนนี้เป็นคนนนบุรี เเกมาทำงานอยู่นอกตัวเมืองไป 200 โล ที่จังหวัดหนึ่งที่มีดอยสุเทพ
(ตอนที่ไปใหม่ๆอายุ 22 ตอนนี้ 32 ละ) ด้วยความที่เเกเป็นคนร่าเริง มองโลกในเเง่ดี
เเกเล่าให้ฟังว่าเเกไปรู้จักกับครอบครัวหนึ่งที่นี่ รู้จักกันมาได้ราวๆ 9 ปี ตอนนี้ก็จะเข้าปีที่ 10
เราก็ถามว่าไปรู้จักกันได้ไง น้องก็ตอบว่าไปเจอกันแถวที่ทำงาน เค้าขายผัดไทอยู่กะเมีย
ได้คุยกันรู้สึกคุยถูกคอกันดี ก็เลยคบกันตั้งแต่นั้นมา มีปัญหาก็ปรึกษากันตลอด
(ขอเรียกคนนี้ว่า “พ่อคนเดิม” หรือ “พ่อคนนี้” ปัจจุบันแกอายุราวๆ 55-57)
ซึ่งเวลาที่ผ่านมาก็สนิทสนมกันจนถึงขั้นรู้เรื่องน้องเค้าหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตคู่ รายได้ต่างๆ
เราก็ถามว่า "เฮ้ย เธอให้เค้ารู้หมดทุกเรื่องเลยเหรอ"
น้องมันก็ตอบมาว่า “ใช่พี่ เพราะว่าครอบครัวนี้เค้าทำให้ผมไว้ใจมาก เค้าช่วยผมมาโดยตลอด”
น้องก็เล่าต่ออีกว่า ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา คนที่เป็นพ่อเค้าช่วยแก้ปัญหาในชีวิตเค้าหลายอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น ตอนแรกที่เริ่มทำงาน น้องไปซื้อรถบิ้กไบค์เพราะความอยากได้ ก็ถูกคนในที่ทำงาน
ซุบซิบนินทาและเอาไปด่าลับหลังจนเสียหาย เรียกได้ว่าเป็นตัวเลวร้ายของสังคมตรงนั้นเลย
ก็ได้พ่อคนนี้มาแก้ปัญหาแนะนำให้ซื้อบ้านอยู่ไปเลย จะได้ลบคำครหา ซึ่งน้องแกเห็นว่ามันเป็นความคิดที่ดี
ก็เลยซื้อบ้านจริงๆ โดยพ่อคนนี้เป็นคนหาและเป็นตัวกลางในการติดต่อเจรจาซื้อขาย
โดยบ้านนี้เป็นบ้านไม้ชั้นครึ่ง มีพื่นที่ 150 ตารางวา ตั้งราคาไว้ล้านนึง เราก็ถามน้องว่าทำไมมันแพงจัง
ก็ได้คำตอบว่า พ่อเค้าบอกว่าบ้านไม้ดีๆมันหายากแล้วและพื้นบ้านเป็นไม้แดงหน้ากว้าง 8 นิ้วทั้งบ้าน ก็เลยแพง
(เราก็เลยถึงบางอ้อ)
ทีแรกน้องผมก็ว่าจะไปขอเจรจาต่อลองเอง แต่พ่อเค้าบอกว่าคนต่างถิ่นไปคุยมันจะทำให้ราคาสูงขึ้น น้องเราก็เข้าใจ เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อคนนี้ สรุปได้ราคาตกลงกันที่ 9 แสนบาท (พ่อคนนี้บอกว่าทีแรกเจ้าของจะเอา 960,000 แต่แกไม่เอาค่านายหน้าเพราะช่วยน้องเค้า) ทีนี้เงินซื้อบ้านมีไม่พอเลยทำสัญญากับเจ้าของบ้านเอาไว้ และขายรถบิ้กไบค์เอาเงินมาเติมในส่วนของซื้อบ้าน ซึ่งกว่าจะได้ขายได้ก็ใช้เวลานาน แต่สุดท้ายก็ได้บ้านราคาเกือบล้านมาเป็นของตัวเองสมใจ แต่บ้านที่ซื้อมาเป็นบ้านมือสองซึ่งต้องซ่อมเนื่องจากหน้าบ้านเค้าบางส่วนปลวกกิน ขัดพื้นไม้ ยาแนวพื้นไม้เนื่องจากไม้หดและทำโรงรถเพิ่ม หมดไปอีก100,000 บาท คนหาช่างก็พ่อคนเดิมหามาให้ ก็ได้บ้านพื้นไม้สวยๆมา
เราฟังมาตั้งนานก็นึกว่าหมดแล้ว น้องก็เล่าต่อว่า พอมีบ้านก็ต้องมีรถยนต์ แต่เงินมันเหลือไม่เยอะแล้ว
ทีแรกพ่อคนนี้ก็แนะนำว่าให้ซื้อกระบะมือสองไม่ต้องแพงเอาซักแสนต้นๆ
แต่เนื่องจากตังเหลือไม่มากละ ก็ได้รถเก๋งปี 38 มาคันนึงในราคา 120,000 บาท
ซึ่งทุกวันนี้รถยังไม่ได้โอนเป็นชื่อของน้องเลย (ทั้งบ้านและรถนี้ ซื้อเมื่อปี54 )
เราก็ถามว่าไปซื้อที่ไหน น้องก็ตอบว่าก็พ่อคนเดิมเนี่ยแหละ พอดีพ่อของแฟนลูกสาว เค้าเป็นคนจับรถบ้านมาขาย ก็เลยได้คันนี้มา
เราก็ตั้งใจฟังเรื่อยๆ แกก็เล่าต่อประมาณว่า ได้ไปรู้จักกับคนในครอบครัวของเขา มีเมียกับลูกสาว
ซึ่งพ่อเค้ารักลูกสาวมาก เรียกได้ว่าทุ่มทุนสร้าง ให้เงินไปดาวน์รถ ซื้อทองให้ใส่ ไม่ให้ใครมองว่าลูกชั้นน้อยหน้าใคร
ซึ่งลูกสาวเค้าก็มีแฟนอยู่ต่างอำเภอ เมื่อเรียนจบก็ไปทำงานและอยู่กับครอบครัวแฟน
ทำให้เหลือเพียงพ่อแม่เค้าและน้องเราอยู่ด้วยกัน
น้องก็ไปอยู่ไปสนิทกับเขา กินข้าวกับครอบครัวเค้าบ้าง กินเหล้ากับพ่อคนเดิมเป็นประจำ
เทศกาลใหญ่ก็มีปาร์ตี้กัน พาครอบไปกินอาหารอร่อยๆในเมืองยังมี มีเรื่องอะไรก็ช่วยกัน
เช่น บางทีน้องจะกลับบ้าน แต่เงินไม่พอ เค้าก็ให้ยืม บางทีเค้าไม่มี เราก็ให้ยืม ก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ
ไปเที่ยวกันก็ไปกันทั้งครอบครัว เจอปัญหาอะไรก็ช่วยกันมาตลอด จนน้องรักครอบครัวนี้มาก
และเนื่องจากครอบครัวนี้ขายผัดไท เค้าเสนอว่าให้น้องผูกปิ่นโตกับเค้า ทีแรกน้องก็งง จะให้กินผัดไททั้งเดือนเหรอ
แต่พ่อคนนี้ก็บอกว่าเค้าสามารถทำอย่างอื่นได้และไม่อยากให้น้องเราต้องวุ่นวายกับการทำอาหารเองเพราะทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว
โดยคิดค่าอาหารกลางวัน 60 บาท (น้องมันกิน 2 จาน จานละ 30)
และตอนเย็นอีก 70 บาท โดยจะจัดอาหารให้ตามสมควร กับ 2 อย่าง ข้าว 1 ถุง
รวมๆตกเดือนละ 3,900 บาทน้องก็เห็นว่าดี ก็ตอบตกลง (มิน่าล่ะ ตอนนั้นอ้วนขึ้นเยอะ)
ระหว่างนั้นก็มีการยืมเงินจากน้องเรา แต่เวลาจ่ายคืนจะคืนเป็นกับข้าว เช่น ยืมไป 15,000 บาท ก็ตีเป็นค่าข้าวได้ตามจำนวนเดือน
หลังจากที่ฟังมาตั้งนาน เราก็ถามว่า แล้วพ่อแม่น้องล่ะ ได้ดูแลเค้ามั้ย
คำตอบที่ได้คือ ไม่ได้ดูแลมากเท่าไหร่ เพราะพ่อแม่สามารถดูแลตัวเองได้
ทำงานงานเดียวได้เงินมากกว่าน้องมันทำงานทั้งปี) แต่อะไรที่พ่อแม่ต้องการให้ทำก็ทำให้ เช่น การบวช เป็นต้น
ส่วนมากไปหมดกับครอบครัวพ่อคนเดิมนี้
น้องก็เล่าต่อว่า พ่อคนนี้มามีอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องแฟนด้วย ระหว่างที่เรื่องซื้อบ้านกำลังดำเนินอยู่
น้องเราก็มีแฟนซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ก็อยู่ที่นนทบุรี ก็เดินทางมาหากัน ไปเที่ยวกัน
ซึ่งพอน้องเค้ากลับบ้าน ก็จะถูกถามว่าไปมีอะไรกันมารึเปล่า รู้ได้ไงผู้หญิงเค้ารักคุณ
ประมาณว่าไม่แนะนำผู้หญิงคนนี้ เพราะมันยากที่จะมาอยู่ด้วยกัน เค้าจะมาทำอาชีพอะไรถ้าจะมาอยู่ที่นี่
และให้น้องไปหาคนอาชีพเดียวกัน
แต่น้องบอกว่าไม่อยากได้คนอาชีพเดียวกัน เพราะมันมีข้อแม้เยอะ มีเรื่องหน้าตาในสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง
และน้องไม่รู้สึกว่ามันมีความรักจริงๆให้แก่กันอย่างแท้จริง
แต่พ่อคนเดิมก็เกือบทำให้น้องเรากับแฟนเลิกกันได้ (ตอนนั้นเเฟนน้องเรามีเพื่อนเป็นทอม ไปไหนมาไหนตลอด)
สุดท้ายแล้วพ่อคนนี้ก็ไม่สามารถทัดทานเรื่องแฟนของรุ่นน้องเราได้
(ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ด้วยกัน จดทะเบียนกันเรียบร้อย คนกัน 8 ปีแล้ว)
และพ่อคนเดิมก็ได้เจอกับแฟนน้องเราในปีที่ 6 ที่รู้จักกับน้องเรา และก็เสนอว่าถ้าจะมาอยู่ที่นี่กับน้อง
ให้มาทำงานเกี่ยวกับการทำอาหารเพราะเค้าสอนได้ เป็นทางของเค้า
แต่ตอนนั้นแฟนน้องยังไม่พร้อมเพราะไม่มีเงินเพราะต้องดูแลครอบครัว
วันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ จนราวๆ ปีที่ 8 ของการรู้จักกัน ครอบครัวนี้ประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ
ทั้งหมู่บ้านมีคนมากินแค่วันละ 2 คน ทำให้ไม่มีเงินใช้ ครอบครัวนี้จึงต้องการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน
พ่อคนนี้ก็เสนอกับน้องว่า งั้นไปทำธุรกิจขายอาหารในโรงเรียน แกจะสอนทุกอย่างให้กับแฟนน้องเรา
เพราะน้องเป็นคนที่ทำดีกับครอบครัวเค้ามาก
แต่เนื่องจากเงินไม่มี พ่อคนนี้จึงให้น้องเราไปกู้เงินมาจำนวน 200,000 บาท(ได้จริง190,000 บาท)
โดยบอกว่าผู้ชายควรเป็นฝ่ายออกเงินให้ฝ่ายหญิง ซึ่งน้องเราก็มองว่าช่วนนั้นเป็นช่วงเทอมสอง
ซึ่งไม่มีการประมูลร้านค้าให้โรงเรียน ทำให้น้องเราไม่ยอมเดินเรื่อง พ่อคนเดิมจึงกดดันและตามจี้อยู่ตลอด
จนท้ายที่สุดก็ต้องยอม
ส่วนเรื่องการใช้หนี้ ให้ใช้เงินที่กินผูกปิ่นโตกับเขาเดือนละ 3,900 บาท มาจ่ายเงินกู้
ซึ่งทีแรกน้องไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่นัก ซึ่งสุดท้ายที่ความที่น้องรักเค้าและคิดถึงการอยู่ด้วยกันกับแฟน
น้องก็ต้องกู้เงินออกมา ซึ่งน้องเอาเงินออกมา 40,000 เพื่อเอาใช้เรื่องสำคัญส่วนตัว
และเงินที่เหลือมาซื้อของทำกิจการ ซึ่งต้องโอนให้พ่อคนนี้เพื่อซื้อของ
จำนวน 150,000 บาท โดยอ้างว่าเอาไปซื้อของเพื่อรอแฟนน้องและจะเจรจาขอเข้าโรงเรียนในเทอมที่สอง
แรกๆน้องก็กระฟัดกระเฟียดจนพ่อคนนี้รู้สึกได้ จึงใช้วลีเด็ดเข้ามา คือ
“ถ้าคุณเป็นแบบนี้ วันนึงผมคืนให้แล้วมิตรภาพมันจะไม่เหลือนะ”
ทำให้น้องผมสงบและก็ใช้หนี้ต่อไป เพราะไม่อยากให้มีปัญหากัน
แต่ก็มีบ้างที่ออกอาการ จึงมีวลีเด็ดมาอีกว่า
“ผมใช้เครดิตคุณกู้ แต่ผมเป็นคนจ่าย”
แต่เหมือนฟ้าผ่า ไม่นานหลังจากกู้เงินออกมา เพราะลูกสาวเขามีปัญหาเลิกกับแฟน
ซึ่งไม่ใช้การเลิกธรรมดา แต่มีหนี้สินเรื่องรถและบัตรเครดิตพ่วงมาด้วยร่วมแสนบาท
ทองที่ให้ก็เสียไป เพราะแฟนเอาไปขาย เรียกได้เละเทะ ก็เดือดร้อน
ร้องห่มร้องไห้มาขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน
ด้วยความที่น้องเราเป็นคนดีหรือคนโง่ก็ไม่รู้ เมื่อเห็นปัญหานี้จึงเสนอว่า
เงินที่อยู่กับพ่อคนนี้ให้เอาไปช่วยน้องก่อน และค่อยเอาเงินเติมกลับมา
เรื่องราวก็คลี่คลายและเมื่อลูกสาวเค้ากลับมาบ้าน พ่อคนนี้ก็ยังบอกให้ลูกสาวมาขอบคุณน้องเรา
ที่ช่วยดูพ่อแม่เค้าและช่วยเรื่องหนี้สินของลูกสาว ซึ่งลูกสาวก็กล่าวคำขอบคุณกับน้องเรา
ไม่นานนักก็มีผู้ใหญ่ในบ้านของครอบครัวพ่อคนเดิมก็เสีย ก็ทำให้ได้เงินมาอีกจำนวนราวๆเเสนกว่าบาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่ากว่าเท่าไหร่
น้องเราก็เป็นธุระขับรถเข้าเมืองเพื่อไปดำเนินการเรื่องการเเจ้งตาย เเละการสวดณาปนกิจอะไรต่างๆ
ส่วนเรื่องเงินที่จะเอาไปซื้อของก็ไม่ได้ซื้อและยังไม่ได้ทำกิจการขายอาหารในโรงเรียน
วันเวลาผ่านไป น้องเรางานเยอะขึ้น ซึ่งทำให้ไม่มีเวลากินข้าวบ่อยๆ
ทำให้ไม่ได้กินข้าวครบตามโควต้าที่คุยกันไว้ แต่ยังถูกคิดราคาเท่าเดิม
ซึ่งน้องเราก็ยังคงใจดีคิดซะว่าช่วยเค้า
ในโลกนี้ยังมีคนแบบนี้อยู่หรือวะ!! (จขกท สถบเอง)
น้องก็เล่าให้ฟังต่ออีกว่า เมื่อถึงเวลาประมูลการขายอาหารในโรงเรียน
ปรากฏว่าแพ้การประมูล เลยทำให้ไม่ได้ขาย จึงใช้มีแผนสองก็คือ
ตอนนั้นมีห้องว่างในตัวอำเภอว่างห้องหนึ่ง(น้องเราบอกว่าโคตรจะพอดีกับสถานการณ์)
จึงไปบอกพ่อคนเดิมและไปติดต่อเช่าและทำกิจการ
พ่อคนเดิมบอกว่า ตอนนี้ต้องใช้เงินของแฟนน้องมาทำกิจการนี้ โดยบอกว่าให้ผู้หญิงออกเงินบ้างเพราะจะได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของร้าน
ถ้าไม่ออกเงินอะไรเลยจะมาอยู่ในฐานะอะไร สรุปคือแฟนน้องออกเงิน พ่อ-แม่คนเดิมออกแรงทำอาหาร
และบอกว่าจะให้สูตรแฟนน้องทั้งหมดโดยไม่คิดค่าตอบแทน และให้แฟนน้องเป็นคนถือเงิน พ่อคนเดิมจะไม่ยุ่ง
จากนั้นก็ให้น้องเราไปคุยกับแฟนเค้า สรุปคือตกลง แต่ตอนนั้นแฟนน้องยังไม่ได้ลาออกจากงานจึงส่งเงินขึ้นมาแทนก่อน
โดยพ่อคนเดิมบอกให้โอนเข้าบัญชีน้องเรา จากนั้นก็เอาไปซื้อของไม่ว่าจะเป็นเครื่องครัวดีๆ เครื่องปรุงต่างๆ ดาวน์ตู้เย็น
หมดไป 70,000 บาท และก็ได้เปิดร้านในเดือนเมษา โดยที่มีพ่อ-แม่คนเดิมและน้องเราทำร้าน
โดยเมนูก็มีขาหมู ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ อาหารตามสั่งเป็นต้น
ระหว่างนี้พ่อคนเดิมก็แนะนำให้น้องเราไปจดทะเบียนกับแฟน เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะรับผิดชอบชีวิตเขาและสร้างความมั่นใจ
เพราะแฟนน้องต้องออกจากที่ทำงานเพื่อเปลี่ยนงาน
ทุกวันพ่อคนเดิมก็จะเข้างานตอน 7 โมง แม่คนเดิมกับน้องเรามาตี 5-ตี5ครึ่ง
น้องเล่าให้ฟังว่าแรกๆน้องยังไม่ได้ค่าตอบแทนจากการทำงานเลย
(เสาร์-อาทิตย์ เปิดร้าน จัดของ เสิรฟ์อาหาร ปิดร้าน แต่วันจันทร์-ศุกร์ต้องไปทำงานประจำ จะมาช่วยคือตอนเปิดร้านและตอนปิดร้าน)
แถมพ่อคนเดิมยังให้น้องเราไปคุยกับพ่อที่แท้จริงให้ช่วยเรื่องเงินตกแต่งร้าน
ซึ่งพ่อที่แท้จริงไม่ให้ ซึ่งพ่อคนเดิมก็ได้พูดเชิงว่า
“มีตังทำไมไม่ช่วยลูกวะ” เเละก็พูดให้น้องโกรธกับคนที่บ้านที่เเท้จริง
ส่วนเรื่องเงินที่ได้จากการขายนั้น พ่อคนเดิมเป็นคนถือทั้งหมดและเป็นคนจัดการร้าน
เค้าบอกว่าเปิดร้านช่วงแรกยังไม่ค่อยได้กำไรเพราะคนไม่รู้จัก
ระหว่างนี้ก็เอาเงินเดือนของน้องเราไปลงกับร้านเดือนละ 3000-4000 บาท เป็นค่าข้าวสาร ปรับปรุงในร้านบ้าง
จึงทำให้น้องเราขาดสภาพคล่องมาโดยตลอด ซึ่งต่อมา 3-4 วันก็จะได้ค่าแรง ตั้งแต่ 100-200 บางทีทั้งสัปดาห์ยังไม่ได้ก็มี
เรื่องราวอภิมหาความซวยของรุ่นน้องเราเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ที่เกิดจากความรัก...คนผิด กว่าจะรู้ตัว ก็สายไปซะเเล้ว
เราว่ามันเป็นเคสที่น่าสนใจเเละน่าเตือนใจได้ดี ซึ่งมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพเเละเงินๆทองๆ
อาจจะยาวนิดนึง เเต่อ่านเถอะ
เมื่อกี้นี้มีรุ่นน้องคนนึงมาระบาย+ขอคำปรึกษากับเรา
(ตอนคุยกันเจ้าของกระทู้เป็นไมเกรน เเต่ก็คุยกับน้องเขาหน่อย
เพราะฟังเสียงเค้าแล้วน่าจะหนักจริง)
เรื่องราวมันมีอยู่ว่ารุ่นน้องคนนี้เป็นคนนนบุรี เเกมาทำงานอยู่นอกตัวเมืองไป 200 โล ที่จังหวัดหนึ่งที่มีดอยสุเทพ
(ตอนที่ไปใหม่ๆอายุ 22 ตอนนี้ 32 ละ) ด้วยความที่เเกเป็นคนร่าเริง มองโลกในเเง่ดี
เเกเล่าให้ฟังว่าเเกไปรู้จักกับครอบครัวหนึ่งที่นี่ รู้จักกันมาได้ราวๆ 9 ปี ตอนนี้ก็จะเข้าปีที่ 10
เราก็ถามว่าไปรู้จักกันได้ไง น้องก็ตอบว่าไปเจอกันแถวที่ทำงาน เค้าขายผัดไทอยู่กะเมีย
ได้คุยกันรู้สึกคุยถูกคอกันดี ก็เลยคบกันตั้งแต่นั้นมา มีปัญหาก็ปรึกษากันตลอด
(ขอเรียกคนนี้ว่า “พ่อคนเดิม” หรือ “พ่อคนนี้” ปัจจุบันแกอายุราวๆ 55-57)
ซึ่งเวลาที่ผ่านมาก็สนิทสนมกันจนถึงขั้นรู้เรื่องน้องเค้าหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตคู่ รายได้ต่างๆ
เราก็ถามว่า "เฮ้ย เธอให้เค้ารู้หมดทุกเรื่องเลยเหรอ"
น้องมันก็ตอบมาว่า “ใช่พี่ เพราะว่าครอบครัวนี้เค้าทำให้ผมไว้ใจมาก เค้าช่วยผมมาโดยตลอด”
น้องก็เล่าต่ออีกว่า ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา คนที่เป็นพ่อเค้าช่วยแก้ปัญหาในชีวิตเค้าหลายอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น ตอนแรกที่เริ่มทำงาน น้องไปซื้อรถบิ้กไบค์เพราะความอยากได้ ก็ถูกคนในที่ทำงาน
ซุบซิบนินทาและเอาไปด่าลับหลังจนเสียหาย เรียกได้ว่าเป็นตัวเลวร้ายของสังคมตรงนั้นเลย
ก็ได้พ่อคนนี้มาแก้ปัญหาแนะนำให้ซื้อบ้านอยู่ไปเลย จะได้ลบคำครหา ซึ่งน้องแกเห็นว่ามันเป็นความคิดที่ดี
ก็เลยซื้อบ้านจริงๆ โดยพ่อคนนี้เป็นคนหาและเป็นตัวกลางในการติดต่อเจรจาซื้อขาย
โดยบ้านนี้เป็นบ้านไม้ชั้นครึ่ง มีพื่นที่ 150 ตารางวา ตั้งราคาไว้ล้านนึง เราก็ถามน้องว่าทำไมมันแพงจัง
ก็ได้คำตอบว่า พ่อเค้าบอกว่าบ้านไม้ดีๆมันหายากแล้วและพื้นบ้านเป็นไม้แดงหน้ากว้าง 8 นิ้วทั้งบ้าน ก็เลยแพง
(เราก็เลยถึงบางอ้อ)
ทีแรกน้องผมก็ว่าจะไปขอเจรจาต่อลองเอง แต่พ่อเค้าบอกว่าคนต่างถิ่นไปคุยมันจะทำให้ราคาสูงขึ้น น้องเราก็เข้าใจ เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อคนนี้ สรุปได้ราคาตกลงกันที่ 9 แสนบาท (พ่อคนนี้บอกว่าทีแรกเจ้าของจะเอา 960,000 แต่แกไม่เอาค่านายหน้าเพราะช่วยน้องเค้า) ทีนี้เงินซื้อบ้านมีไม่พอเลยทำสัญญากับเจ้าของบ้านเอาไว้ และขายรถบิ้กไบค์เอาเงินมาเติมในส่วนของซื้อบ้าน ซึ่งกว่าจะได้ขายได้ก็ใช้เวลานาน แต่สุดท้ายก็ได้บ้านราคาเกือบล้านมาเป็นของตัวเองสมใจ แต่บ้านที่ซื้อมาเป็นบ้านมือสองซึ่งต้องซ่อมเนื่องจากหน้าบ้านเค้าบางส่วนปลวกกิน ขัดพื้นไม้ ยาแนวพื้นไม้เนื่องจากไม้หดและทำโรงรถเพิ่ม หมดไปอีก100,000 บาท คนหาช่างก็พ่อคนเดิมหามาให้ ก็ได้บ้านพื้นไม้สวยๆมา
เราฟังมาตั้งนานก็นึกว่าหมดแล้ว น้องก็เล่าต่อว่า พอมีบ้านก็ต้องมีรถยนต์ แต่เงินมันเหลือไม่เยอะแล้ว
ทีแรกพ่อคนนี้ก็แนะนำว่าให้ซื้อกระบะมือสองไม่ต้องแพงเอาซักแสนต้นๆ
แต่เนื่องจากตังเหลือไม่มากละ ก็ได้รถเก๋งปี 38 มาคันนึงในราคา 120,000 บาท
ซึ่งทุกวันนี้รถยังไม่ได้โอนเป็นชื่อของน้องเลย (ทั้งบ้านและรถนี้ ซื้อเมื่อปี54 )
เราก็ถามว่าไปซื้อที่ไหน น้องก็ตอบว่าก็พ่อคนเดิมเนี่ยแหละ พอดีพ่อของแฟนลูกสาว เค้าเป็นคนจับรถบ้านมาขาย ก็เลยได้คันนี้มา
เราก็ตั้งใจฟังเรื่อยๆ แกก็เล่าต่อประมาณว่า ได้ไปรู้จักกับคนในครอบครัวของเขา มีเมียกับลูกสาว
ซึ่งพ่อเค้ารักลูกสาวมาก เรียกได้ว่าทุ่มทุนสร้าง ให้เงินไปดาวน์รถ ซื้อทองให้ใส่ ไม่ให้ใครมองว่าลูกชั้นน้อยหน้าใคร
ซึ่งลูกสาวเค้าก็มีแฟนอยู่ต่างอำเภอ เมื่อเรียนจบก็ไปทำงานและอยู่กับครอบครัวแฟน
ทำให้เหลือเพียงพ่อแม่เค้าและน้องเราอยู่ด้วยกัน
น้องก็ไปอยู่ไปสนิทกับเขา กินข้าวกับครอบครัวเค้าบ้าง กินเหล้ากับพ่อคนเดิมเป็นประจำ
เทศกาลใหญ่ก็มีปาร์ตี้กัน พาครอบไปกินอาหารอร่อยๆในเมืองยังมี มีเรื่องอะไรก็ช่วยกัน
เช่น บางทีน้องจะกลับบ้าน แต่เงินไม่พอ เค้าก็ให้ยืม บางทีเค้าไม่มี เราก็ให้ยืม ก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ
ไปเที่ยวกันก็ไปกันทั้งครอบครัว เจอปัญหาอะไรก็ช่วยกันมาตลอด จนน้องรักครอบครัวนี้มาก
และเนื่องจากครอบครัวนี้ขายผัดไท เค้าเสนอว่าให้น้องผูกปิ่นโตกับเค้า ทีแรกน้องก็งง จะให้กินผัดไททั้งเดือนเหรอ
แต่พ่อคนนี้ก็บอกว่าเค้าสามารถทำอย่างอื่นได้และไม่อยากให้น้องเราต้องวุ่นวายกับการทำอาหารเองเพราะทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว
โดยคิดค่าอาหารกลางวัน 60 บาท (น้องมันกิน 2 จาน จานละ 30)
และตอนเย็นอีก 70 บาท โดยจะจัดอาหารให้ตามสมควร กับ 2 อย่าง ข้าว 1 ถุง
รวมๆตกเดือนละ 3,900 บาทน้องก็เห็นว่าดี ก็ตอบตกลง (มิน่าล่ะ ตอนนั้นอ้วนขึ้นเยอะ)
ระหว่างนั้นก็มีการยืมเงินจากน้องเรา แต่เวลาจ่ายคืนจะคืนเป็นกับข้าว เช่น ยืมไป 15,000 บาท ก็ตีเป็นค่าข้าวได้ตามจำนวนเดือน
หลังจากที่ฟังมาตั้งนาน เราก็ถามว่า แล้วพ่อแม่น้องล่ะ ได้ดูแลเค้ามั้ย
คำตอบที่ได้คือ ไม่ได้ดูแลมากเท่าไหร่ เพราะพ่อแม่สามารถดูแลตัวเองได้
ทำงานงานเดียวได้เงินมากกว่าน้องมันทำงานทั้งปี) แต่อะไรที่พ่อแม่ต้องการให้ทำก็ทำให้ เช่น การบวช เป็นต้น
ส่วนมากไปหมดกับครอบครัวพ่อคนเดิมนี้
น้องก็เล่าต่อว่า พ่อคนนี้มามีอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องแฟนด้วย ระหว่างที่เรื่องซื้อบ้านกำลังดำเนินอยู่
น้องเราก็มีแฟนซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ก็อยู่ที่นนทบุรี ก็เดินทางมาหากัน ไปเที่ยวกัน
ซึ่งพอน้องเค้ากลับบ้าน ก็จะถูกถามว่าไปมีอะไรกันมารึเปล่า รู้ได้ไงผู้หญิงเค้ารักคุณ
ประมาณว่าไม่แนะนำผู้หญิงคนนี้ เพราะมันยากที่จะมาอยู่ด้วยกัน เค้าจะมาทำอาชีพอะไรถ้าจะมาอยู่ที่นี่
และให้น้องไปหาคนอาชีพเดียวกัน
แต่น้องบอกว่าไม่อยากได้คนอาชีพเดียวกัน เพราะมันมีข้อแม้เยอะ มีเรื่องหน้าตาในสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง
และน้องไม่รู้สึกว่ามันมีความรักจริงๆให้แก่กันอย่างแท้จริง
แต่พ่อคนเดิมก็เกือบทำให้น้องเรากับแฟนเลิกกันได้ (ตอนนั้นเเฟนน้องเรามีเพื่อนเป็นทอม ไปไหนมาไหนตลอด)
สุดท้ายแล้วพ่อคนนี้ก็ไม่สามารถทัดทานเรื่องแฟนของรุ่นน้องเราได้
(ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ด้วยกัน จดทะเบียนกันเรียบร้อย คนกัน 8 ปีแล้ว)
และพ่อคนเดิมก็ได้เจอกับแฟนน้องเราในปีที่ 6 ที่รู้จักกับน้องเรา และก็เสนอว่าถ้าจะมาอยู่ที่นี่กับน้อง
ให้มาทำงานเกี่ยวกับการทำอาหารเพราะเค้าสอนได้ เป็นทางของเค้า
แต่ตอนนั้นแฟนน้องยังไม่พร้อมเพราะไม่มีเงินเพราะต้องดูแลครอบครัว
วันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ จนราวๆ ปีที่ 8 ของการรู้จักกัน ครอบครัวนี้ประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ
ทั้งหมู่บ้านมีคนมากินแค่วันละ 2 คน ทำให้ไม่มีเงินใช้ ครอบครัวนี้จึงต้องการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน
พ่อคนนี้ก็เสนอกับน้องว่า งั้นไปทำธุรกิจขายอาหารในโรงเรียน แกจะสอนทุกอย่างให้กับแฟนน้องเรา
เพราะน้องเป็นคนที่ทำดีกับครอบครัวเค้ามาก
แต่เนื่องจากเงินไม่มี พ่อคนนี้จึงให้น้องเราไปกู้เงินมาจำนวน 200,000 บาท(ได้จริง190,000 บาท)
โดยบอกว่าผู้ชายควรเป็นฝ่ายออกเงินให้ฝ่ายหญิง ซึ่งน้องเราก็มองว่าช่วนนั้นเป็นช่วงเทอมสอง
ซึ่งไม่มีการประมูลร้านค้าให้โรงเรียน ทำให้น้องเราไม่ยอมเดินเรื่อง พ่อคนเดิมจึงกดดันและตามจี้อยู่ตลอด
จนท้ายที่สุดก็ต้องยอม
ส่วนเรื่องการใช้หนี้ ให้ใช้เงินที่กินผูกปิ่นโตกับเขาเดือนละ 3,900 บาท มาจ่ายเงินกู้
ซึ่งทีแรกน้องไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่นัก ซึ่งสุดท้ายที่ความที่น้องรักเค้าและคิดถึงการอยู่ด้วยกันกับแฟน
น้องก็ต้องกู้เงินออกมา ซึ่งน้องเอาเงินออกมา 40,000 เพื่อเอาใช้เรื่องสำคัญส่วนตัว
และเงินที่เหลือมาซื้อของทำกิจการ ซึ่งต้องโอนให้พ่อคนนี้เพื่อซื้อของ
จำนวน 150,000 บาท โดยอ้างว่าเอาไปซื้อของเพื่อรอแฟนน้องและจะเจรจาขอเข้าโรงเรียนในเทอมที่สอง
แรกๆน้องก็กระฟัดกระเฟียดจนพ่อคนนี้รู้สึกได้ จึงใช้วลีเด็ดเข้ามา คือ
“ถ้าคุณเป็นแบบนี้ วันนึงผมคืนให้แล้วมิตรภาพมันจะไม่เหลือนะ”
ทำให้น้องผมสงบและก็ใช้หนี้ต่อไป เพราะไม่อยากให้มีปัญหากัน
แต่ก็มีบ้างที่ออกอาการ จึงมีวลีเด็ดมาอีกว่า
“ผมใช้เครดิตคุณกู้ แต่ผมเป็นคนจ่าย”
แต่เหมือนฟ้าผ่า ไม่นานหลังจากกู้เงินออกมา เพราะลูกสาวเขามีปัญหาเลิกกับแฟน
ซึ่งไม่ใช้การเลิกธรรมดา แต่มีหนี้สินเรื่องรถและบัตรเครดิตพ่วงมาด้วยร่วมแสนบาท
ทองที่ให้ก็เสียไป เพราะแฟนเอาไปขาย เรียกได้เละเทะ ก็เดือดร้อน
ร้องห่มร้องไห้มาขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน
ด้วยความที่น้องเราเป็นคนดีหรือคนโง่ก็ไม่รู้ เมื่อเห็นปัญหานี้จึงเสนอว่า
เงินที่อยู่กับพ่อคนนี้ให้เอาไปช่วยน้องก่อน และค่อยเอาเงินเติมกลับมา
เรื่องราวก็คลี่คลายและเมื่อลูกสาวเค้ากลับมาบ้าน พ่อคนนี้ก็ยังบอกให้ลูกสาวมาขอบคุณน้องเรา
ที่ช่วยดูพ่อแม่เค้าและช่วยเรื่องหนี้สินของลูกสาว ซึ่งลูกสาวก็กล่าวคำขอบคุณกับน้องเรา
ไม่นานนักก็มีผู้ใหญ่ในบ้านของครอบครัวพ่อคนเดิมก็เสีย ก็ทำให้ได้เงินมาอีกจำนวนราวๆเเสนกว่าบาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่ากว่าเท่าไหร่
น้องเราก็เป็นธุระขับรถเข้าเมืองเพื่อไปดำเนินการเรื่องการเเจ้งตาย เเละการสวดณาปนกิจอะไรต่างๆ
ส่วนเรื่องเงินที่จะเอาไปซื้อของก็ไม่ได้ซื้อและยังไม่ได้ทำกิจการขายอาหารในโรงเรียน
วันเวลาผ่านไป น้องเรางานเยอะขึ้น ซึ่งทำให้ไม่มีเวลากินข้าวบ่อยๆ
ทำให้ไม่ได้กินข้าวครบตามโควต้าที่คุยกันไว้ แต่ยังถูกคิดราคาเท่าเดิม
ซึ่งน้องเราก็ยังคงใจดีคิดซะว่าช่วยเค้า
ในโลกนี้ยังมีคนแบบนี้อยู่หรือวะ!! (จขกท สถบเอง)
น้องก็เล่าให้ฟังต่ออีกว่า เมื่อถึงเวลาประมูลการขายอาหารในโรงเรียน
ปรากฏว่าแพ้การประมูล เลยทำให้ไม่ได้ขาย จึงใช้มีแผนสองก็คือ
ตอนนั้นมีห้องว่างในตัวอำเภอว่างห้องหนึ่ง(น้องเราบอกว่าโคตรจะพอดีกับสถานการณ์)
จึงไปบอกพ่อคนเดิมและไปติดต่อเช่าและทำกิจการ
พ่อคนเดิมบอกว่า ตอนนี้ต้องใช้เงินของแฟนน้องมาทำกิจการนี้ โดยบอกว่าให้ผู้หญิงออกเงินบ้างเพราะจะได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของร้าน
ถ้าไม่ออกเงินอะไรเลยจะมาอยู่ในฐานะอะไร สรุปคือแฟนน้องออกเงิน พ่อ-แม่คนเดิมออกแรงทำอาหาร
และบอกว่าจะให้สูตรแฟนน้องทั้งหมดโดยไม่คิดค่าตอบแทน และให้แฟนน้องเป็นคนถือเงิน พ่อคนเดิมจะไม่ยุ่ง
จากนั้นก็ให้น้องเราไปคุยกับแฟนเค้า สรุปคือตกลง แต่ตอนนั้นแฟนน้องยังไม่ได้ลาออกจากงานจึงส่งเงินขึ้นมาแทนก่อน
โดยพ่อคนเดิมบอกให้โอนเข้าบัญชีน้องเรา จากนั้นก็เอาไปซื้อของไม่ว่าจะเป็นเครื่องครัวดีๆ เครื่องปรุงต่างๆ ดาวน์ตู้เย็น
หมดไป 70,000 บาท และก็ได้เปิดร้านในเดือนเมษา โดยที่มีพ่อ-แม่คนเดิมและน้องเราทำร้าน
โดยเมนูก็มีขาหมู ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ อาหารตามสั่งเป็นต้น
ระหว่างนี้พ่อคนเดิมก็แนะนำให้น้องเราไปจดทะเบียนกับแฟน เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะรับผิดชอบชีวิตเขาและสร้างความมั่นใจ
เพราะแฟนน้องต้องออกจากที่ทำงานเพื่อเปลี่ยนงาน
ทุกวันพ่อคนเดิมก็จะเข้างานตอน 7 โมง แม่คนเดิมกับน้องเรามาตี 5-ตี5ครึ่ง
น้องเล่าให้ฟังว่าแรกๆน้องยังไม่ได้ค่าตอบแทนจากการทำงานเลย
(เสาร์-อาทิตย์ เปิดร้าน จัดของ เสิรฟ์อาหาร ปิดร้าน แต่วันจันทร์-ศุกร์ต้องไปทำงานประจำ จะมาช่วยคือตอนเปิดร้านและตอนปิดร้าน)
แถมพ่อคนเดิมยังให้น้องเราไปคุยกับพ่อที่แท้จริงให้ช่วยเรื่องเงินตกแต่งร้าน
ซึ่งพ่อที่แท้จริงไม่ให้ ซึ่งพ่อคนเดิมก็ได้พูดเชิงว่า
“มีตังทำไมไม่ช่วยลูกวะ” เเละก็พูดให้น้องโกรธกับคนที่บ้านที่เเท้จริง
ส่วนเรื่องเงินที่ได้จากการขายนั้น พ่อคนเดิมเป็นคนถือทั้งหมดและเป็นคนจัดการร้าน
เค้าบอกว่าเปิดร้านช่วงแรกยังไม่ค่อยได้กำไรเพราะคนไม่รู้จัก
ระหว่างนี้ก็เอาเงินเดือนของน้องเราไปลงกับร้านเดือนละ 3000-4000 บาท เป็นค่าข้าวสาร ปรับปรุงในร้านบ้าง
จึงทำให้น้องเราขาดสภาพคล่องมาโดยตลอด ซึ่งต่อมา 3-4 วันก็จะได้ค่าแรง ตั้งแต่ 100-200 บางทีทั้งสัปดาห์ยังไม่ได้ก็มี