ในปี 2008 เมื่อหนัง Ip Man ออกฉายในลักษณะหนังฟอร์มเล็ก ดารานำก็ยังเกรด B อีกต่างหาก ไม่ได้พูดผิดหรอกครับ "ดอนนี่ เยน" เวลานั้นเป็นดาราเกรด B จริงๆ แม้แฟนๆ หนังจีนฮ่องกงจะคุ้นหน้ามาตั้งแต่ยุค 1990s แต่ก็เหมือนอยู่ใต้เงาของ 2 ตัวพ่อสายบู๊ของวงการอย่างเฉินหลงหรือเจ็ทลี ได้เล่นหนังกี่เรื่องแม้จะได้บทเด่นแต่ก็มักเป็นตัวรองไม่ก็ตัวร้ายตลอด กระทั่งได้มาแสดงบท 1 ในอาจารย์มวยหย่งชุน ( Wing Chun ) ที่โด่งดังอย่าง "ยิปมัน" ดอนนี่เยนแกก็งานชุกขึ้นมาทันที แถมเป็นงานในฐานะพระเอกอีกต่างหาก กลายเป็นดาราเกรด A ไปเป็นที่เรียบร้อย จนทุกวันนี้แฟนๆ หนังจีนฮ่องกงก็ยังชอบที่จะเรียกแกว่า "อาจารย์ยิป" แทนที่จะเป็นชื่อจริงของแกเอง ( ดอนนี่เยน - เจิ้นจื่อตัน ) และวลี "ขอ 10 คน" ก็เคยเป็น Meme ที่คนชอบเอาไปเล่นกันอยู่พักหนึ่ง
10 ปีผ่านไป การเดินทางของอาจารย์ยิปในโลกภาพยนตร์จีนฮ่องกงผ่านมาแล้ว 3 ภาคด้วยผลตอบรับค่อนข้างดี ก็ถึงเวลาที่ทีมงานต้องหาอะไรใหม่ๆ แล้วผลก็มาออกที่ "จงเทียนฉี" (Cheung Tin Chi) ตัวละครในภาค 3 ที่แสดงโดยแม็กซ์ จาง ( จางจิน ) ผู้ใช้มวยหย่งชุนเหมือนกับยิปมัน แต่สไตล์การต่อสู้จะออกแนว "โหด - ดุ - ดิบ" มากกว่า โดยตอนท้ายของยิปมัน 3 จงเทียนฉีประลองแพ้อาจารย์ยิป และต่อมาทีมงานได้หยิบเอาตัวละครนี้มาเล่าต่อในเส้นทางที่แยกออกไป ถ้าอาจารย์ยิปมีคาแรคเตอร์เป็นนักสู้แบบสุภาพบุรุษ เป็นปรมาจารย์ที่โลกรู้จัก คาแรคเตอร์ของจงเทียนฉีจะเป็นตรงกันข้าม "จงเทียนฉีไม่ใช่นักสู้แต่เป็นนักฆ่า" ถ้าไม่ลงมือคือไม่ลงมือ แต่ถ้าลงมือก็ไม่รับประกันว่าจะไม่มีคนตาย แน่นอนละว่าเมื่อไม่ต้องอิงกับบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ การวางบทก็สามารถจัดหนักจัดเต็มได้
องค์ประกอบต่างๆ ในหนังมันก็เข้ากันได้ดีเหลือเกิน คาแรคเตอร์ของจงเทียนฉีที่เป็นแนวๆ แบดบอยหน้าโหดแถมลงมือแบบไม่ค่อยจะปรานี , โครงเรื่องที่สะท้อนความเป็น "หนังมาเฟียฮ่องกง" อันเป็นที่คุ้นเคยของแฟนหนังยุค 1990s ประเภทมีเรื่องตีกันจะใช้มีด ขวาน แป๊บเหล็ก ไม่ค่อยใช้ปืนเท่าไร ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของครอบครัวและพวกพ้อง ข้อเสนอและการต่อรองสีเทาๆ ที่แม้จะดูไม่เป็นธรรมแต่อีกฝ่ายที่ด้อยกว่ายินดีต้องรับเพราะดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ชีวิตและความฝันของคนตัวเล็กๆ ที่อยากจะมีความสุขแม้อยู่ภายใต้สังคมที่ต้องดิ้นรน , คิวบู๊ที่ดิบกว่าถ้าเทียบกับไตรภาคยิปมัน , ดาราดังที่เชิญมาร่วมแสดงแล้วไม่เสียของ ทั้งมิเชล โหยว ในบทเจ้าแม่แก๊งมาเฟีย ( ถ้าโจวเหวินฟะเป็นผู้ชายที่แสดงในบทผู้นำต่างๆ ตั้งแต่ผู้ปกครองประเทศยันหัวหน้าแก๊งมาเฟียได้เท่ที่สุด มิเชลโหยวก็เป็นผู้หญิงที่มีคาแรคเตอร์แนวเดียวกัน ) และเดฟ บาติสต้า ในบทเจ้าของร้านสเต็กที่ดูจะใจดี ( เอาเป็นว่ามาแล้วคุ้มกว่าไมค์ ไทสัน ในยิปมัน 3 ตั้งเยอะ ) อ่อ..ถ้าจะมีขัดๆ บ้างคงเป็นพี่จา พนม ของบ้านเรานี่ละ บทแบบนี้ไม่ต้องมีก็ได้มั้ง ( อยากรู้ว่าเป็นไงไปหาชมกันเอง ) การใช้สีของภาพที่ดูหม่นๆ และเพลงประกอบเหงาๆ พวกนี้แฟนหนังจีนฮ่องกงคุ้นกันดี
ใครชอบบรรยากาศหนังฮ่องกงยุคเก่า และใครที่ชอบคิวบู๊สไตล์กังฟูไม่น่าพลาด
ปล.ใครรู้ชื่อเพลงประกอบบ้างไหมครับ? ตอนท้ายๆ เรื่องที่จงเทียนฉีเดินฝ่าสายฝนจะไปสู้กับพวกผู้ร้ายอะครับ เหมือนเป็นเพลงช้า เนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษอะครับ
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
Master Z: The Ip Man Legacy : เมื่อไม่ต้องอิงบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ก็กระหน่ำความมันส์ได้เต็มที่ (ไม่สปอย)
ในปี 2008 เมื่อหนัง Ip Man ออกฉายในลักษณะหนังฟอร์มเล็ก ดารานำก็ยังเกรด B อีกต่างหาก ไม่ได้พูดผิดหรอกครับ "ดอนนี่ เยน" เวลานั้นเป็นดาราเกรด B จริงๆ แม้แฟนๆ หนังจีนฮ่องกงจะคุ้นหน้ามาตั้งแต่ยุค 1990s แต่ก็เหมือนอยู่ใต้เงาของ 2 ตัวพ่อสายบู๊ของวงการอย่างเฉินหลงหรือเจ็ทลี ได้เล่นหนังกี่เรื่องแม้จะได้บทเด่นแต่ก็มักเป็นตัวรองไม่ก็ตัวร้ายตลอด กระทั่งได้มาแสดงบท 1 ในอาจารย์มวยหย่งชุน ( Wing Chun ) ที่โด่งดังอย่าง "ยิปมัน" ดอนนี่เยนแกก็งานชุกขึ้นมาทันที แถมเป็นงานในฐานะพระเอกอีกต่างหาก กลายเป็นดาราเกรด A ไปเป็นที่เรียบร้อย จนทุกวันนี้แฟนๆ หนังจีนฮ่องกงก็ยังชอบที่จะเรียกแกว่า "อาจารย์ยิป" แทนที่จะเป็นชื่อจริงของแกเอง ( ดอนนี่เยน - เจิ้นจื่อตัน ) และวลี "ขอ 10 คน" ก็เคยเป็น Meme ที่คนชอบเอาไปเล่นกันอยู่พักหนึ่ง
10 ปีผ่านไป การเดินทางของอาจารย์ยิปในโลกภาพยนตร์จีนฮ่องกงผ่านมาแล้ว 3 ภาคด้วยผลตอบรับค่อนข้างดี ก็ถึงเวลาที่ทีมงานต้องหาอะไรใหม่ๆ แล้วผลก็มาออกที่ "จงเทียนฉี" (Cheung Tin Chi) ตัวละครในภาค 3 ที่แสดงโดยแม็กซ์ จาง ( จางจิน ) ผู้ใช้มวยหย่งชุนเหมือนกับยิปมัน แต่สไตล์การต่อสู้จะออกแนว "โหด - ดุ - ดิบ" มากกว่า โดยตอนท้ายของยิปมัน 3 จงเทียนฉีประลองแพ้อาจารย์ยิป และต่อมาทีมงานได้หยิบเอาตัวละครนี้มาเล่าต่อในเส้นทางที่แยกออกไป ถ้าอาจารย์ยิปมีคาแรคเตอร์เป็นนักสู้แบบสุภาพบุรุษ เป็นปรมาจารย์ที่โลกรู้จัก คาแรคเตอร์ของจงเทียนฉีจะเป็นตรงกันข้าม "จงเทียนฉีไม่ใช่นักสู้แต่เป็นนักฆ่า" ถ้าไม่ลงมือคือไม่ลงมือ แต่ถ้าลงมือก็ไม่รับประกันว่าจะไม่มีคนตาย แน่นอนละว่าเมื่อไม่ต้องอิงกับบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ การวางบทก็สามารถจัดหนักจัดเต็มได้
องค์ประกอบต่างๆ ในหนังมันก็เข้ากันได้ดีเหลือเกิน คาแรคเตอร์ของจงเทียนฉีที่เป็นแนวๆ แบดบอยหน้าโหดแถมลงมือแบบไม่ค่อยจะปรานี , โครงเรื่องที่สะท้อนความเป็น "หนังมาเฟียฮ่องกง" อันเป็นที่คุ้นเคยของแฟนหนังยุค 1990s ประเภทมีเรื่องตีกันจะใช้มีด ขวาน แป๊บเหล็ก ไม่ค่อยใช้ปืนเท่าไร ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของครอบครัวและพวกพ้อง ข้อเสนอและการต่อรองสีเทาๆ ที่แม้จะดูไม่เป็นธรรมแต่อีกฝ่ายที่ด้อยกว่ายินดีต้องรับเพราะดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ชีวิตและความฝันของคนตัวเล็กๆ ที่อยากจะมีความสุขแม้อยู่ภายใต้สังคมที่ต้องดิ้นรน , คิวบู๊ที่ดิบกว่าถ้าเทียบกับไตรภาคยิปมัน , ดาราดังที่เชิญมาร่วมแสดงแล้วไม่เสียของ ทั้งมิเชล โหยว ในบทเจ้าแม่แก๊งมาเฟีย ( ถ้าโจวเหวินฟะเป็นผู้ชายที่แสดงในบทผู้นำต่างๆ ตั้งแต่ผู้ปกครองประเทศยันหัวหน้าแก๊งมาเฟียได้เท่ที่สุด มิเชลโหยวก็เป็นผู้หญิงที่มีคาแรคเตอร์แนวเดียวกัน ) และเดฟ บาติสต้า ในบทเจ้าของร้านสเต็กที่ดูจะใจดี ( เอาเป็นว่ามาแล้วคุ้มกว่าไมค์ ไทสัน ในยิปมัน 3 ตั้งเยอะ ) อ่อ..ถ้าจะมีขัดๆ บ้างคงเป็นพี่จา พนม ของบ้านเรานี่ละ บทแบบนี้ไม่ต้องมีก็ได้มั้ง ( อยากรู้ว่าเป็นไงไปหาชมกันเอง ) การใช้สีของภาพที่ดูหม่นๆ และเพลงประกอบเหงาๆ พวกนี้แฟนหนังจีนฮ่องกงคุ้นกันดี
ใครชอบบรรยากาศหนังฮ่องกงยุคเก่า และใครที่ชอบคิวบู๊สไตล์กังฟูไม่น่าพลาด
ปล.ใครรู้ชื่อเพลงประกอบบ้างไหมครับ? ตอนท้ายๆ เรื่องที่จงเทียนฉีเดินฝ่าสายฝนจะไปสู้กับพวกผู้ร้ายอะครับ เหมือนเป็นเพลงช้า เนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษอะครับ
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )