ตอนแรกที่ “ดอนนี่ เยน” ประกาศหยุดการรับบท “ปรมาจารย์ยิปมัน” ตั้งแต่ภาค 3 ผมก็ค่อนข้างใจหายนะ เพราะบทบาท”อาจารย์ยิป” เป็นบทบาทที่เรียกว่า “สร้างชื่อที่แท้จริง” ให้กับ “เจิ้นจื่อตัน” หรือ “ดอนนี่ เยน” ให้ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก จนกลายเป็นนักแสดงเอเชียอีกคนที่ได้ไปแสดงหนังฮอลลีวู๊ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอมีข่าวว่าทีมงานไปขอให้แกกลับมาเล่นภาค 4 ซึ่งเป็นภาคจบที่แท้จริง (หลังจากมีภาค Final Fight) ที่ไม่ใช่ ดอนนี่ เยน แสดงออกมาก่อนหน้า อาจจะเป็นเพราะเรื่องนั้นขัดใจ ดอนนี่ เยน จนต้องกลับมารับแสดง และประกาศกร้าวเลยว่า นี่คือภาคจบ ยิปมัน 4 ของจริง และจะเป็นหนังแอ็คชั่นกังฟูเรื่องสุดท้านแล้วที่แกจะเล่น เพราะจะกันไปเล่นบทอื่น (อันนี้สิน่าใจหายกว่า)
เรื่องราวเมื่อ "อาจารย์ยิปมัน" ได้รับเชิญจากศิษย์เอก "บรูซ ลี" เข้าร่วมการแข่งขันคาราเต้ชิงแชมป์ระดับนานาชาติในอเมริกา และเมื่อเขาได้ไปเห็นกับตา ก็พบว่าที่นั่นทุกคนกำลังไขว่คว้าไล่ตามความฝันแบบเสรีชน อาจารย์ยิปมัน จึงตัดสินใจจะส่งลูกชายมาเรียนที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าที่นี่ไม่ใช่เส้นทางสำหรับคนตะวันออก เขาต้องเจอกับการเหยียดเชื้อชาติ และความอยุติธรรม มีเพียงการใช้ "เพลงหมัดหย่งชุน" ออกโรงอีกครั้งเพื่อกู้ศักดิ์ศรี และประกาศให้โลกตะวันตกได้รับรู้ถึงความเท่าเทียม
หนังเดินเรื่องคล้ายกับภาคก่อนๆ ที่ผ่านมา คือเส้นเรื่องมันไม่น่าจะฉีกหนีเรื่องราวต่างๆ แบบนี้ไปได้อีกแล้ว เรื่องของความยุติธรรม การเหยียดเชื้อชาติ ที่คนเอเชีย โดนคนผิวขาวกดขี่ในสมัยก่อนที่เราเห็นกันมาตลอด อาจารย์ยิป เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในความยุติธรรม จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรี มันคือเส้นเรื่องที่เล่นได้แค่นี้จริงๆ สำหรับความเป็นหนัง “ยิปมัน” เพราะตั้งแต่ภาค 3 มา ก็นึกภาพไม่ออกแล้วว่าจะพัฒนาบทหนังไปทางไหนได้อีก อันนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนของหนังข้อหลักเลย มันไม่เหมือนกับหนังที่ตัวบทไม่ได้ชูบุคคลหนึ่งคนขึ้นมาแล้วเอามาพัฒนาบทต่อเป็นเรื่องราวได้ เช่น หนังของ บรูซลี ในอดีต ที่เรื่องราวไม่ได้เป็นเรื่องเดียว แต่บทพัฒนาเป็นเรื่องต่อเรื่องแยกกันไป
ถึงแม้ว่าตัวบทจะไม่ได้ฉีกหนีไปไหน กลายเป็นว่าตัวละครหลัก คือ “อาจารย์ยิป” กลับมีพัฒนาการมากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ เยอะมาก ซึ่งในภาคนี้เป็นภาคที่ตัวบท “อาจารย์ยิป” เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าทุกภาคที่ผ่านมา ตัวละครดูมีอายุมากขึ้น ไม่ได้ดูหนุ่มและแข็งแรงเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงการใส่ฉากดราม่าหลายๆ ฉากที่ถูกเสริมเข้ามาเพื่อบอกลา “ท่านอาจารย์ยิป” ในภาคนี้อีกด้วย ซึ่งถือว่าในภาคนี้มิติของตัวละคร “ยิปมัน” ถูกทำให้ลึกและกลายเป็นตัวละครที่มีหลากหลายอารมณ์มากขึ้น
อีกหนึ่งไฮไลท์ของภาคนี้ คือตัวละครที่หลายๆ คนรอคอยที่จะได้เจอคือ “บรูซ ลี” ตัวละครที่ถูกกล่าวถึงตั้งแต่ภาคแรกตั้งแต่เริ่มสร้างใหม่ๆ เราจะเคยได้ยินว่า “ยิปมันอาจารย์บรูซลี” แต่เรากลับไม่ได้เห็นบทบาทของ “บรูซ ลี” เลยจนมาถึงตอนจบของภาคที่แล้วที่มีเด็กน้อยคนหนึ่งมาทำท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วบอก ผมชื่อบรูซลี แค่นั้น แต่ในภาคนี้ บรูซ ลี กลายเป็นตัวละครที่มีบทบาทแล้ว แถมได้โชว์ฉากต่อสู้ของตัวเองแบบเต็มๆ ซึ่งแฟนคลับ บรูซ ลี อย่างผมก็ฟินสิครับ โดยเฉพาะการได้นักแสดง “แดนนี่ ชาน” หรือ “เฉินกั๊วะคุน” ที่ได้ชื่อว่าหน้าตาและท่าทางเหมือน บรูซ ลี มาที่สุดเท่าที่เคยมีมามาแสดง (แดนนี่ เคยรับบท บรูซ ลี มาแล้วในซีรี่ส์ The Legend of Bruce Lee) และที่ผมชอบอีกอย่างคือในฉากต่อสู้ ผู้กำกับได้เอาเพลงสกอร์ประจำตัวที่ บรูซ ลี ใช้ในฉากต่อสู้แทบจะทุกเรื่องมาใส่ด้วย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ใครดูหนัง บรูซ ลี บ่อยๆ เพลงนี้ขึ้นมาต้องรู้ว่าคืออะไร
แน่นอนว่าหนัง “ยิปมัน” ทุกภาค ฉากต่อสู้คือไฮไลท์ของหนังมาตลอด ซึ่งที่ผ่านมาหนังทำได้ต้องใช้คำว่า “สุดยอด” ทุกภาค ในภาคนี้ก็เช่นกัน หนังยังคงความสุดยอดของฉากต่อสู้ไว้ได้อย่ายอดเยี่ยม ซึ่งในหนังก็ใส่มาตลอดทั้งเรื่องเหมือนเคย ภาคก่อนมันส์แค่ไหน ภาคนี้ก็ยังคงความมันส์อยู่ อาจจะมีบางฉากบางตอนที่หนังแสดงให้เห็นถึงตัวละครที่แก่และอ่อนแอลง แต่ก็ยังจัดหนักเอาความสนุกในการดูฉากต่อสู้มาให้ได้เห็นกันอย่างเต็มอิ่มโดยไม่มีกั๊ก
ตัวละครตัวอื่นก็เช่นเคยยังคงไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเท่าไหร่ ก็จะมีแค่ที่บทเด่นๆ เหมือนทุกภาค คือที่เก่งพอๆ กับ “อาจารย์ยิป” แต่ต้องโดนฝรั่งอัดน่วมทุกทีไป ในภาคนี้ก็มีตัวละครเหล่านั้นอยู่ ซึ่งไม่ได้น่าแปลกใจหรือแตกต่างเท่าไหร่ อันนี้ก็ต้องจำใจยอมรับ แต่ภาคนี้มีคนนึงที่เด่นทะลุจอออกมาเลยคือ น้องหนูตัวละครที่ชื่อ “Yonah” ถึงแม้ว่าบทบาทจะไม่ได้มีน้ำหนักอะไรมากมาย แต่ความสวยใสนี่ออกมาแย่งซีน “อาจารย์ยิป” แทบทุกฉาก
สุดท้ายสำหรับผมที่เป็นแฟนคลับ “บรูซ ลี” และ “ดอนนี่ เยน” อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถือว่าภาคนี้เป็นภาคปิดฉากที่จบจริงๆ ซะที เป็นภาคที่ปิดฉากได้สวยงามและน่าประทับใจ ถึงแม้ว่ารู้อยู่แล้วว่าบทหนังมันไปต่อไม่ได้อีกแล้ว แต่ถ้าถามว่ายังอยากดูต่อมั๊ย ผมอยากดูหนังที่ต่อยอดไปเป็นประวัติ “บรูซ ลี” โดยให้ “ยิปมัน” มาเป็นตัวละครรับเชิญในหนังบ้างแล้วล่ะ
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
ขอขอบคุณรอบสื่อมวลชนจาก Mono Film ด้วยครับ
[SR] [#Review] IP MAN 4 : The Finale - บทส่งท้ายความมันส์ที่ถูกพัฒนาขึ้น กับตัวละครที่มีมิติ ในตัวบทที่เล่นอะไรไม่ได้มาก
ตอนแรกที่ “ดอนนี่ เยน” ประกาศหยุดการรับบท “ปรมาจารย์ยิปมัน” ตั้งแต่ภาค 3 ผมก็ค่อนข้างใจหายนะ เพราะบทบาท”อาจารย์ยิป” เป็นบทบาทที่เรียกว่า “สร้างชื่อที่แท้จริง” ให้กับ “เจิ้นจื่อตัน” หรือ “ดอนนี่ เยน” ให้ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก จนกลายเป็นนักแสดงเอเชียอีกคนที่ได้ไปแสดงหนังฮอลลีวู๊ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอมีข่าวว่าทีมงานไปขอให้แกกลับมาเล่นภาค 4 ซึ่งเป็นภาคจบที่แท้จริง (หลังจากมีภาค Final Fight) ที่ไม่ใช่ ดอนนี่ เยน แสดงออกมาก่อนหน้า อาจจะเป็นเพราะเรื่องนั้นขัดใจ ดอนนี่ เยน จนต้องกลับมารับแสดง และประกาศกร้าวเลยว่า นี่คือภาคจบ ยิปมัน 4 ของจริง และจะเป็นหนังแอ็คชั่นกังฟูเรื่องสุดท้านแล้วที่แกจะเล่น เพราะจะกันไปเล่นบทอื่น (อันนี้สิน่าใจหายกว่า)
เรื่องราวเมื่อ "อาจารย์ยิปมัน" ได้รับเชิญจากศิษย์เอก "บรูซ ลี" เข้าร่วมการแข่งขันคาราเต้ชิงแชมป์ระดับนานาชาติในอเมริกา และเมื่อเขาได้ไปเห็นกับตา ก็พบว่าที่นั่นทุกคนกำลังไขว่คว้าไล่ตามความฝันแบบเสรีชน อาจารย์ยิปมัน จึงตัดสินใจจะส่งลูกชายมาเรียนที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าที่นี่ไม่ใช่เส้นทางสำหรับคนตะวันออก เขาต้องเจอกับการเหยียดเชื้อชาติ และความอยุติธรรม มีเพียงการใช้ "เพลงหมัดหย่งชุน" ออกโรงอีกครั้งเพื่อกู้ศักดิ์ศรี และประกาศให้โลกตะวันตกได้รับรู้ถึงความเท่าเทียม
หนังเดินเรื่องคล้ายกับภาคก่อนๆ ที่ผ่านมา คือเส้นเรื่องมันไม่น่าจะฉีกหนีเรื่องราวต่างๆ แบบนี้ไปได้อีกแล้ว เรื่องของความยุติธรรม การเหยียดเชื้อชาติ ที่คนเอเชีย โดนคนผิวขาวกดขี่ในสมัยก่อนที่เราเห็นกันมาตลอด อาจารย์ยิป เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในความยุติธรรม จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรี มันคือเส้นเรื่องที่เล่นได้แค่นี้จริงๆ สำหรับความเป็นหนัง “ยิปมัน” เพราะตั้งแต่ภาค 3 มา ก็นึกภาพไม่ออกแล้วว่าจะพัฒนาบทหนังไปทางไหนได้อีก อันนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนของหนังข้อหลักเลย มันไม่เหมือนกับหนังที่ตัวบทไม่ได้ชูบุคคลหนึ่งคนขึ้นมาแล้วเอามาพัฒนาบทต่อเป็นเรื่องราวได้ เช่น หนังของ บรูซลี ในอดีต ที่เรื่องราวไม่ได้เป็นเรื่องเดียว แต่บทพัฒนาเป็นเรื่องต่อเรื่องแยกกันไป
ถึงแม้ว่าตัวบทจะไม่ได้ฉีกหนีไปไหน กลายเป็นว่าตัวละครหลัก คือ “อาจารย์ยิป” กลับมีพัฒนาการมากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ เยอะมาก ซึ่งในภาคนี้เป็นภาคที่ตัวบท “อาจารย์ยิป” เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าทุกภาคที่ผ่านมา ตัวละครดูมีอายุมากขึ้น ไม่ได้ดูหนุ่มและแข็งแรงเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงการใส่ฉากดราม่าหลายๆ ฉากที่ถูกเสริมเข้ามาเพื่อบอกลา “ท่านอาจารย์ยิป” ในภาคนี้อีกด้วย ซึ่งถือว่าในภาคนี้มิติของตัวละคร “ยิปมัน” ถูกทำให้ลึกและกลายเป็นตัวละครที่มีหลากหลายอารมณ์มากขึ้น
อีกหนึ่งไฮไลท์ของภาคนี้ คือตัวละครที่หลายๆ คนรอคอยที่จะได้เจอคือ “บรูซ ลี” ตัวละครที่ถูกกล่าวถึงตั้งแต่ภาคแรกตั้งแต่เริ่มสร้างใหม่ๆ เราจะเคยได้ยินว่า “ยิปมันอาจารย์บรูซลี” แต่เรากลับไม่ได้เห็นบทบาทของ “บรูซ ลี” เลยจนมาถึงตอนจบของภาคที่แล้วที่มีเด็กน้อยคนหนึ่งมาทำท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วบอก ผมชื่อบรูซลี แค่นั้น แต่ในภาคนี้ บรูซ ลี กลายเป็นตัวละครที่มีบทบาทแล้ว แถมได้โชว์ฉากต่อสู้ของตัวเองแบบเต็มๆ ซึ่งแฟนคลับ บรูซ ลี อย่างผมก็ฟินสิครับ โดยเฉพาะการได้นักแสดง “แดนนี่ ชาน” หรือ “เฉินกั๊วะคุน” ที่ได้ชื่อว่าหน้าตาและท่าทางเหมือน บรูซ ลี มาที่สุดเท่าที่เคยมีมามาแสดง (แดนนี่ เคยรับบท บรูซ ลี มาแล้วในซีรี่ส์ The Legend of Bruce Lee) และที่ผมชอบอีกอย่างคือในฉากต่อสู้ ผู้กำกับได้เอาเพลงสกอร์ประจำตัวที่ บรูซ ลี ใช้ในฉากต่อสู้แทบจะทุกเรื่องมาใส่ด้วย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ใครดูหนัง บรูซ ลี บ่อยๆ เพลงนี้ขึ้นมาต้องรู้ว่าคืออะไร
แน่นอนว่าหนัง “ยิปมัน” ทุกภาค ฉากต่อสู้คือไฮไลท์ของหนังมาตลอด ซึ่งที่ผ่านมาหนังทำได้ต้องใช้คำว่า “สุดยอด” ทุกภาค ในภาคนี้ก็เช่นกัน หนังยังคงความสุดยอดของฉากต่อสู้ไว้ได้อย่ายอดเยี่ยม ซึ่งในหนังก็ใส่มาตลอดทั้งเรื่องเหมือนเคย ภาคก่อนมันส์แค่ไหน ภาคนี้ก็ยังคงความมันส์อยู่ อาจจะมีบางฉากบางตอนที่หนังแสดงให้เห็นถึงตัวละครที่แก่และอ่อนแอลง แต่ก็ยังจัดหนักเอาความสนุกในการดูฉากต่อสู้มาให้ได้เห็นกันอย่างเต็มอิ่มโดยไม่มีกั๊ก
ตัวละครตัวอื่นก็เช่นเคยยังคงไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเท่าไหร่ ก็จะมีแค่ที่บทเด่นๆ เหมือนทุกภาค คือที่เก่งพอๆ กับ “อาจารย์ยิป” แต่ต้องโดนฝรั่งอัดน่วมทุกทีไป ในภาคนี้ก็มีตัวละครเหล่านั้นอยู่ ซึ่งไม่ได้น่าแปลกใจหรือแตกต่างเท่าไหร่ อันนี้ก็ต้องจำใจยอมรับ แต่ภาคนี้มีคนนึงที่เด่นทะลุจอออกมาเลยคือ น้องหนูตัวละครที่ชื่อ “Yonah” ถึงแม้ว่าบทบาทจะไม่ได้มีน้ำหนักอะไรมากมาย แต่ความสวยใสนี่ออกมาแย่งซีน “อาจารย์ยิป” แทบทุกฉาก
สุดท้ายสำหรับผมที่เป็นแฟนคลับ “บรูซ ลี” และ “ดอนนี่ เยน” อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถือว่าภาคนี้เป็นภาคปิดฉากที่จบจริงๆ ซะที เป็นภาคที่ปิดฉากได้สวยงามและน่าประทับใจ ถึงแม้ว่ารู้อยู่แล้วว่าบทหนังมันไปต่อไม่ได้อีกแล้ว แต่ถ้าถามว่ายังอยากดูต่อมั๊ย ผมอยากดูหนังที่ต่อยอดไปเป็นประวัติ “บรูซ ลี” โดยให้ “ยิปมัน” มาเป็นตัวละครรับเชิญในหนังบ้างแล้วล่ะ
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
ขอขอบคุณรอบสื่อมวลชนจาก Mono Film ด้วยครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม