สวัสดีค่ะ เรื่องที่จะเล่าอาจจะยาวหน่อย แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไรกับชีวิต มันรู้สึกยากไปหมด
เรื่องมีอยู่ว่า.....เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ฉันเพิ่งจะเรียนจบพร้อมกับรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งท้อง ฉันอยู่กับแฟนมาตั้งแต่เรียนอยู๋ปีสาม ฉันก็อยู่หอพักมหาลัยสลับกับมาอยู่กับเค้า(เช่าห้องอยู่) เค้าอายุมากกว่าฉันประมาณ 7 ปี (เค้าเคยแต่งงาน+มีลูก 2 คน เค้าบอกว่าเค้าเลิกกันแล้ว ต้องรับผิดชอบร่วมกันก็แค่ลูก เรื่องราวมันมีอีกมากมายยังไงค่อยมาเล่าละกัน) ฉันก็บอกกับเค้าเรื่องที่ฉันท้อง ตอนที่บอกเค้าอายุครรภ์ก็น่าจะ 5 เดือนแล้ว คำตอบที่ได้จากเค้าคือ เอาลูกออก ฉันก็ได้แต่ยอมรับ ทำตามที่เค้าบอก (ถามว่าเสียใจมั้ย เสียใจมากที่สุดแต่ก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ ภาระทางครอบครัวของฉันอีกก็มากมายก็ต้องทำใจ) ตอนนั้นฉันก็คิดแล้วว่าหลังจากจบปัญหาเรื่องนี้ได้ ฉันจะออกมาจากชีวิตเค้าแล้วหางานทำใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งเค้าอีกต่อไป(ก่อนหน้าที่ฉันเรียนเค้าได้ส่งเสียค่าเล่าเรียน คอยดูแลอยู่ตลอด) ปีนี้ธุระกิจของเค้าเริ่มติดขัดทางการเงิน เค้าบอกให้ฉันรอก่อนแล้วจะพาไป กทม เพื่อจะเอาเด็กออก ฉันก็มีหน้าที่รอ พอถึงเวลาไป กทม เค้าก็พาไปเพื่อจะเอาเด็กออก แต่เมื่อซาวด์ดูแล้วเด็กตัวโตเลยเวลาที่จะเอาออก นอกจากตั้งครรภ์ต่อไป กลับมาถึงที่พักเค้าบอกว่าจะซื้อยามาทำออกเอง แต่ฉันกลัวเลยไม่ทำ เค้าเลยเสนออีกทางว่ารอคลอดแล้วเอาเด็กไปไว้สถานรับเลี้ยงเด็ก (ความรู้สึกฉันตลอดระยะเวลาที่ผ่านนะเหรอ มันแย่มาก แย่ที่สุด ฉันร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว บอกกับใครก็ไม่ได้ แม้แต่พ่อกับแม่ฉันก็ไม่อยากจะบอกกลัวว่าท่านจะไม่สบายใจ ตลอดระยะเวลาที่ฉันรู้ตัวว่าท้อง คิดเหรอว่าฉันไม่รู้สึกอะไร เวลาที่ลูกเริ่มดิ้น เวลาที่หน้าท้องฉันเริ่มโต ความผูกพันธ์ระหว่างแม่กับลูกมันเริ่มตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว ยิ่งตอนเห็นภาพซาวด์ฉันก็คิดว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันจับท้องแล้วบอกกับลูกว่าฉันขอโทษ ฉันคิดถึงอนาคตของลูกว่าเค้าโตมาเค้าจะโดนล้อมั้ย ว่าเป็นลูกเมียน้อย) พอฉันไม่เห็นด้วยกับสิ่งต่างๆที่เค้าเสนอมา ฉันก็ตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้กับที่บ้าน เมื่อที่บ้านรู้ก็มารับฉันที่ กทม เพื่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด(อิสาน) ส่วนเค้านะเหรอยังอยู๋ที่ กทม เพราะเค้าต้องรอสมัคร สส ฉันก็กลับไปกับพ่อกับแม่ ก่อนกลับเค้าก็ได้คุยกับพ่อกับแม่ว่าเค้าจะรับผิดชอบ ฉันมาอยู่บ้านที่อิสาน ญาติทางบ้านต้องการให้มาทำพิธีผูกแขนตามแบบอิสาน เค้าก็บอกว่าไม่ว่างนู้นนี้ แต่ฉันก็บอกว่าแค่วันเดียว เค้าก็มาแค่วันเดียวแล้วก็กลับไป กทม อีก ส่วนฉันก็อยู่ที่บ้าน ไปฝากครรภ์ บำรุงร่างกายตัวเองและลูกให้แข็งแรง เพราะเค้าน้ำหนักตัวน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุครรภ์ ฉันอยู่ที่บ้านได้สักเดือนนึง ฉันก็คิดว่าฉันอยู่กับปัญหาที่บ้านไม่ไหวจริงๆ (ปกติฉันอยู่ที่ภาคใต้ ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ 6-7 ปีแล้ว ที่บ้านฉันมีปัญหาฉันก็ต้องหาทางส่งตัวเองเรียน บวกกับส่งให้ทางบ้านด้วย ก็มีเค้าที่ช่วยเหลือฉันมาตลอด) ฉันทนเจอกับปัญหาต่างๆไม่ไหว เลยกลับมาอยู่ที่ภาคใต้ ที่นี่ก็ยังมีบ้านยาย มีน้าอยู่ ฉันก็พาแม่มาด้วยจากอิสาน เผื่อเวลาคลอดจะได้ดูแลกัน ส่วนเค้านะเหรอบอกว่ายุ่งไม่มีเวลา วันที่ฉันกลับมาก็บอกว่าให้มารับที่สนามบิน ตกลงกันแล้วว่าจะมาแต่พอถึงเวลาเค้าก็บอกว่าไม่ว่าง(ต้องไปทำธุระที่ กทม ) เค้ากลับมาจาก กทม ผ่านมาสักสองสามวัน เค้าก็มาหาที่บ้านยาย(มาไม่กี่ชั่วโมงหรอก มาเพราะว่าจะพาไปฝากครรภ์ต่อที่ไหน แล้วจะคลอดที่ไหนเพราะ กลางเดือนมกราก็ถึงกำหนดคลอด) พอถึงวันอังคารเค้าก็มารับพาไปฝากครรภ์ ซึ่งหมอก็นัดทุกวันอังคารในแต่ละสัปดาห์ อังคารของสัปดาห์ต่อมาก็ถึงเวลาที่หมอนัด เค้าบอกว่าไม่ว่างต้องไปหาเสียงเลือกตั้งหรือไป กทม จนตอนนี้ก็ครั้งที่ 3 แล้ว ก็สัปดาห์ที่สามที่หมอนัด เค้ามาหาฉันแค่ 2 ครั้งตั้งแต่ฉันกลับมาอยู่ใต้ ซึงระยะทางห่างกันไม่ถึง 50 กม. ปัญหาต่างๆก็เริ่มตามมา ฉันกลับมาอยู่ที่บ้านยาย ชาวบ้านเค้าก็ถามว่าฉันท้องกับใคร คนที่ไหน คนที่บ้านก็บอกว่าเค้าเป็นใคร ลูกใคร ทำอะไร จนชาวบ้านเค้าก็ไปรู้มาว่าเค้าเคยแต่งงานแล้วมีลูกแล้ว จนชาวบ้านเค้าก็มาถามที่บ้านว่า แล้วลูกเมียเค้าไปไหน ไปอยู่ที่ไหน (ซึ่งความจริงคือ ลูกเมียเค้าอยู่ในตัวจังหวัด ฉันกับเค้าอยู่ต่างอำเภอออกมา เรื่องมันยาวๆๆ) เค้าที่กำลังหาเสียงก็มีคำถาม ถามไปที่เค้าในเรื่องของฉัน เราเลยได้คุยกันในเรื่องนี้ เค้าบอกกับฉันว่า เรื่องที่ฉันกำลังท้องกำลังจะเป็นปัญหาทางการเมืองของเค้าโดยเอาเรื่องนี้มาโจมตีเค้า ซึ่งเค้าไม่เคยมีเรื่องเสียหายอื่น เค้าบอกกับฉันว่าให้ฉันรักษาภาพพจน์ของเค้าโดยให้บอกคนอื่นๆไปว่า เค้ารับเป็นพ่อบุญธรรม และต่อไปเค้าจะมาหาไม่ได้ (ความรู้สึกของฉันคงไม่ต้องถามอีกว่าจะเสียใจแค่ไหนกับคำพูดและการกระทำของเค้า) โทรหาในแต่ละวันก็น้อยลง ไม่ถามเลยว่าลูกเป็นยังไง ไปหาหมอเป็นยังไง เค้าเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ลงการเมือง บอกว่าต้องไปหาเสียงไม่มีเวลา เมื่อก่อนโทรหาทุกวัน ตอนนี้ก็นานๆทีถึงจะโทรมา พอฉันไม่พอใจบอกเค้าว่าเค้าไม่มีเวลาเลย แค่พาไปหาหมอยังไม่มีเวลา เค้าก็บอกว่าฉันไปบีบเค้า ฉันไม่เข้าใจเค้า ฉันเลยอยากรู้ว่าฉันเป็นแบบนั้นจริงๆเหรอ???????????? ผู้ชายที่ฉันเคยรู้จักตอนนั้นกับตอนนี้ มันเหมือนคนละคนไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร งอล หรือน้อยใจก็กลับกลายเป็นความรำคาญ ความเหนื่อยให้กับเค้า ฉันเช็คจากเฟสบุ๊คที่เค้าเพิ่งสร้างตอนเลือกตั้ง เค้าก็ยังพาเมียกับลูกไปหาเสียงด้วยในบางครั้ง ฉันก็เริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เค้าบอกฉันมาว่าเค้าเลิกกันแล้ว เค้าเลิกกันจริงๆเหรอ ที่เค้ากำลังทำอยู่มันยิ่งทำให้ฉันดูแย่ลง ยิ่งทำให้ฉันเหมือนไปแย่งเค้ามา ยิ่งทำให้ชาวบ้านมองคนในครอบครัวฉันว่ายังไง เค้าบอกกับฉันว่ารอหลังเลือกตั้งเสร็จแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น จนตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าฉันจะรอเค้าได้จริงๆเหรอ แล้วถ้าฉันรอไม่ได้ฉันจะทำอะไรได้บ้าง ใครพอมีแนวความคิดหรือคำแนะนำช่วยแนะนำด้วยค่ะ
******มีคำถามเพิ่มตรงไหนถามได้เลยค่ะ********
ควรรอ หรือควรทำยังไง
เรื่องมีอยู่ว่า.....เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ฉันเพิ่งจะเรียนจบพร้อมกับรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งท้อง ฉันอยู่กับแฟนมาตั้งแต่เรียนอยู๋ปีสาม ฉันก็อยู่หอพักมหาลัยสลับกับมาอยู่กับเค้า(เช่าห้องอยู่) เค้าอายุมากกว่าฉันประมาณ 7 ปี (เค้าเคยแต่งงาน+มีลูก 2 คน เค้าบอกว่าเค้าเลิกกันแล้ว ต้องรับผิดชอบร่วมกันก็แค่ลูก เรื่องราวมันมีอีกมากมายยังไงค่อยมาเล่าละกัน) ฉันก็บอกกับเค้าเรื่องที่ฉันท้อง ตอนที่บอกเค้าอายุครรภ์ก็น่าจะ 5 เดือนแล้ว คำตอบที่ได้จากเค้าคือ เอาลูกออก ฉันก็ได้แต่ยอมรับ ทำตามที่เค้าบอก (ถามว่าเสียใจมั้ย เสียใจมากที่สุดแต่ก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ ภาระทางครอบครัวของฉันอีกก็มากมายก็ต้องทำใจ) ตอนนั้นฉันก็คิดแล้วว่าหลังจากจบปัญหาเรื่องนี้ได้ ฉันจะออกมาจากชีวิตเค้าแล้วหางานทำใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งเค้าอีกต่อไป(ก่อนหน้าที่ฉันเรียนเค้าได้ส่งเสียค่าเล่าเรียน คอยดูแลอยู่ตลอด) ปีนี้ธุระกิจของเค้าเริ่มติดขัดทางการเงิน เค้าบอกให้ฉันรอก่อนแล้วจะพาไป กทม เพื่อจะเอาเด็กออก ฉันก็มีหน้าที่รอ พอถึงเวลาไป กทม เค้าก็พาไปเพื่อจะเอาเด็กออก แต่เมื่อซาวด์ดูแล้วเด็กตัวโตเลยเวลาที่จะเอาออก นอกจากตั้งครรภ์ต่อไป กลับมาถึงที่พักเค้าบอกว่าจะซื้อยามาทำออกเอง แต่ฉันกลัวเลยไม่ทำ เค้าเลยเสนออีกทางว่ารอคลอดแล้วเอาเด็กไปไว้สถานรับเลี้ยงเด็ก (ความรู้สึกฉันตลอดระยะเวลาที่ผ่านนะเหรอ มันแย่มาก แย่ที่สุด ฉันร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว บอกกับใครก็ไม่ได้ แม้แต่พ่อกับแม่ฉันก็ไม่อยากจะบอกกลัวว่าท่านจะไม่สบายใจ ตลอดระยะเวลาที่ฉันรู้ตัวว่าท้อง คิดเหรอว่าฉันไม่รู้สึกอะไร เวลาที่ลูกเริ่มดิ้น เวลาที่หน้าท้องฉันเริ่มโต ความผูกพันธ์ระหว่างแม่กับลูกมันเริ่มตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว ยิ่งตอนเห็นภาพซาวด์ฉันก็คิดว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ฉันจับท้องแล้วบอกกับลูกว่าฉันขอโทษ ฉันคิดถึงอนาคตของลูกว่าเค้าโตมาเค้าจะโดนล้อมั้ย ว่าเป็นลูกเมียน้อย) พอฉันไม่เห็นด้วยกับสิ่งต่างๆที่เค้าเสนอมา ฉันก็ตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้กับที่บ้าน เมื่อที่บ้านรู้ก็มารับฉันที่ กทม เพื่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด(อิสาน) ส่วนเค้านะเหรอยังอยู๋ที่ กทม เพราะเค้าต้องรอสมัคร สส ฉันก็กลับไปกับพ่อกับแม่ ก่อนกลับเค้าก็ได้คุยกับพ่อกับแม่ว่าเค้าจะรับผิดชอบ ฉันมาอยู่บ้านที่อิสาน ญาติทางบ้านต้องการให้มาทำพิธีผูกแขนตามแบบอิสาน เค้าก็บอกว่าไม่ว่างนู้นนี้ แต่ฉันก็บอกว่าแค่วันเดียว เค้าก็มาแค่วันเดียวแล้วก็กลับไป กทม อีก ส่วนฉันก็อยู่ที่บ้าน ไปฝากครรภ์ บำรุงร่างกายตัวเองและลูกให้แข็งแรง เพราะเค้าน้ำหนักตัวน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุครรภ์ ฉันอยู่ที่บ้านได้สักเดือนนึง ฉันก็คิดว่าฉันอยู่กับปัญหาที่บ้านไม่ไหวจริงๆ (ปกติฉันอยู่ที่ภาคใต้ ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ 6-7 ปีแล้ว ที่บ้านฉันมีปัญหาฉันก็ต้องหาทางส่งตัวเองเรียน บวกกับส่งให้ทางบ้านด้วย ก็มีเค้าที่ช่วยเหลือฉันมาตลอด) ฉันทนเจอกับปัญหาต่างๆไม่ไหว เลยกลับมาอยู่ที่ภาคใต้ ที่นี่ก็ยังมีบ้านยาย มีน้าอยู่ ฉันก็พาแม่มาด้วยจากอิสาน เผื่อเวลาคลอดจะได้ดูแลกัน ส่วนเค้านะเหรอบอกว่ายุ่งไม่มีเวลา วันที่ฉันกลับมาก็บอกว่าให้มารับที่สนามบิน ตกลงกันแล้วว่าจะมาแต่พอถึงเวลาเค้าก็บอกว่าไม่ว่าง(ต้องไปทำธุระที่ กทม ) เค้ากลับมาจาก กทม ผ่านมาสักสองสามวัน เค้าก็มาหาที่บ้านยาย(มาไม่กี่ชั่วโมงหรอก มาเพราะว่าจะพาไปฝากครรภ์ต่อที่ไหน แล้วจะคลอดที่ไหนเพราะ กลางเดือนมกราก็ถึงกำหนดคลอด) พอถึงวันอังคารเค้าก็มารับพาไปฝากครรภ์ ซึ่งหมอก็นัดทุกวันอังคารในแต่ละสัปดาห์ อังคารของสัปดาห์ต่อมาก็ถึงเวลาที่หมอนัด เค้าบอกว่าไม่ว่างต้องไปหาเสียงเลือกตั้งหรือไป กทม จนตอนนี้ก็ครั้งที่ 3 แล้ว ก็สัปดาห์ที่สามที่หมอนัด เค้ามาหาฉันแค่ 2 ครั้งตั้งแต่ฉันกลับมาอยู่ใต้ ซึงระยะทางห่างกันไม่ถึง 50 กม. ปัญหาต่างๆก็เริ่มตามมา ฉันกลับมาอยู่ที่บ้านยาย ชาวบ้านเค้าก็ถามว่าฉันท้องกับใคร คนที่ไหน คนที่บ้านก็บอกว่าเค้าเป็นใคร ลูกใคร ทำอะไร จนชาวบ้านเค้าก็ไปรู้มาว่าเค้าเคยแต่งงานแล้วมีลูกแล้ว จนชาวบ้านเค้าก็มาถามที่บ้านว่า แล้วลูกเมียเค้าไปไหน ไปอยู่ที่ไหน (ซึ่งความจริงคือ ลูกเมียเค้าอยู่ในตัวจังหวัด ฉันกับเค้าอยู่ต่างอำเภอออกมา เรื่องมันยาวๆๆ) เค้าที่กำลังหาเสียงก็มีคำถาม ถามไปที่เค้าในเรื่องของฉัน เราเลยได้คุยกันในเรื่องนี้ เค้าบอกกับฉันว่า เรื่องที่ฉันกำลังท้องกำลังจะเป็นปัญหาทางการเมืองของเค้าโดยเอาเรื่องนี้มาโจมตีเค้า ซึ่งเค้าไม่เคยมีเรื่องเสียหายอื่น เค้าบอกกับฉันว่าให้ฉันรักษาภาพพจน์ของเค้าโดยให้บอกคนอื่นๆไปว่า เค้ารับเป็นพ่อบุญธรรม และต่อไปเค้าจะมาหาไม่ได้ (ความรู้สึกของฉันคงไม่ต้องถามอีกว่าจะเสียใจแค่ไหนกับคำพูดและการกระทำของเค้า) โทรหาในแต่ละวันก็น้อยลง ไม่ถามเลยว่าลูกเป็นยังไง ไปหาหมอเป็นยังไง เค้าเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ลงการเมือง บอกว่าต้องไปหาเสียงไม่มีเวลา เมื่อก่อนโทรหาทุกวัน ตอนนี้ก็นานๆทีถึงจะโทรมา พอฉันไม่พอใจบอกเค้าว่าเค้าไม่มีเวลาเลย แค่พาไปหาหมอยังไม่มีเวลา เค้าก็บอกว่าฉันไปบีบเค้า ฉันไม่เข้าใจเค้า ฉันเลยอยากรู้ว่าฉันเป็นแบบนั้นจริงๆเหรอ???????????? ผู้ชายที่ฉันเคยรู้จักตอนนั้นกับตอนนี้ มันเหมือนคนละคนไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร งอล หรือน้อยใจก็กลับกลายเป็นความรำคาญ ความเหนื่อยให้กับเค้า ฉันเช็คจากเฟสบุ๊คที่เค้าเพิ่งสร้างตอนเลือกตั้ง เค้าก็ยังพาเมียกับลูกไปหาเสียงด้วยในบางครั้ง ฉันก็เริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เค้าบอกฉันมาว่าเค้าเลิกกันแล้ว เค้าเลิกกันจริงๆเหรอ ที่เค้ากำลังทำอยู่มันยิ่งทำให้ฉันดูแย่ลง ยิ่งทำให้ฉันเหมือนไปแย่งเค้ามา ยิ่งทำให้ชาวบ้านมองคนในครอบครัวฉันว่ายังไง เค้าบอกกับฉันว่ารอหลังเลือกตั้งเสร็จแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น จนตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าฉันจะรอเค้าได้จริงๆเหรอ แล้วถ้าฉันรอไม่ได้ฉันจะทำอะไรได้บ้าง ใครพอมีแนวความคิดหรือคำแนะนำช่วยแนะนำด้วยค่ะ
******มีคำถามเพิ่มตรงไหนถามได้เลยค่ะ********