อเมริกาเจ้าขา ชีวิตป้าเจน ภาค 4/1

มาแล้วคะ สำหรับเพื่อนๆที่ติดตามและรออ่านอเมริกาเจ้าขา-ชีวิตป้าเจน ภาค 4 ต้องขอโทษเพื่อนๆจริงๆที่ให้รอนานถึงสองปีกว่าที่ภาคนี้จะออกมา เนื่องจากตอนที่เขียนภาคสามเสร็จนั้นเป็นช่วงที่เรียนอยู่ปีสุดท้ายพอดี ยุ่งและง่วนกับการทำเกรดและวิทยานิพนธ์ งานจึงล้นมือ กว่าจะจบได้เล่นเอาคางเหลือกันเลยคะ ใครที่ติดตามอ่านอเมริกาเจ้าขา-ชีวิตป้าเจนอยู่ ก็จะรู้ได้ว่าความฝันด้านการศึกษาอันสูงสุดของป้าเจนนั้นคือการที่ป้าเจนได้เรียนจบโททางด้านแฟชั่นดีไซน์จากมหาวิทยาลัย Academy of Art University ในซานฟรานซิสโก และมาวันนี้ป้าเจนก็ทำได้สำเร็จแล้วคะ จบมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน "ฉันทนา" จริงๆ หนทางไม่ได้โรยด้วยกลับกุหลาบ หากแต่เป็นทางที่เต็มไปด้วยอุกาบาต เพื่อนๆที่สนใจเรื่องราวชีวิตของป้าเจน ต้องติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆนะคะ เพราะความสำเร็จที่เห็นถึงแม้มันจะดูสวยงามแต่ที่น่าติดตามคือเรื่องราวการเดินทางสุดโหดของมันต่างหาก ที่ป้าเจนตัดสินใจเขียนเรื่องของตัวเองให้เพื่อนๆได้อ่าน ก็เพราะอยากเป็นแรงบันดาลใจเล็กๆอีกแรงหนึ่งให้กับคนที่มีฝันแต่รู้สึกท้อแท้กับชะตาชีวิต อยากให้ได้เห็นเป็นตัวอย่างว่า ไม่มีอะไรที่มนุษย์คนหนึ่งทำไม่ได้ ขอเพียงแต่มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ เราต้องไปต่อจนถึงเส้นชัยให้ได้คะ

นอกจากเรื่องราวที่มีแง่คิดดีๆแอบแฝงแล้ว ป้าเจนก็ได้แชร์ประสปการณ์ในการใช้ชีวิตในอเมริกาให้กับเพื่อนๆและน้องๆคนรุ่นใหม่ที่กำลังตั้งใจไปใช้ชีวิตในต่างแดนได้รับทราบกันด้วย อเมริกาเป็นประเทศที่น่าอยู่และมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ประเทศที่เป็นมหาอำนาจของโลกเนื่องจากเป็นศูนย์รวมของคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่กล้าคิดกล้าทำ เขาถึงได้เรียกกันว่า "อเมริกา แลนด์ ออฟ ออปพอร์ทูนิตี้" ใครอยากใช้ชีวิตสุดโต่ง สุดติ่ง กระดิ่งแมว เขาจะเลือกมาที่นี่ด้วยกันทั้งนั้นคะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เชิญติดตามอ่านภาคที่ 4 กันได้เลยนะคะ (โพสนี้ทำแบบโปรยด้วยภาพ แต่เพื่อนๆสามารถหาภาค 1-4 อ่านได้ในโหมด Notes นะคะ) ปล. ขอบคุณรูปสวยๆที่ถ่ายโดยคุณเคทคะ Katherline Lyndia Photography

....ใบ้-เป็นยังไง รู้ซึ้งถึงอาการจริงๆ คือมันมีความรู้สึกเข้ามาในหัวสมองเยอะมากรู้สึกกดดันที่ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ แต่ก็ต้องแกลังปั้นหน้ายิ้ม ผงกหน้า “โอ้วว เยสสส, แดทส์ อิส ไรท์, อ่าาาห๊าาา, อืมมม์ อินเทอเรสติ้งม โอ้วววว เรียลิ?” พอเขาถามคำถามที่เกี่ยวกับบทสนทนาเรากลับมาเท่านั้นแหละ เจนกลับใบ้-ตอบไม่ได้ คิดในใจ “ดอก…จะถามกูกลับทำไม ไม่เห็นเหรอว่ากูเนียนอยู่ ยังจะเปิดโปงความโง่ของกูให้ชัดเจนขึ้นไปอีก สัส” พอมาถึงจุดนี้จะรู้สึกอาย คือแบบว่าอายมากจริงๆ คือคิดไปต่างๆนานาในสมองอันน้อยนิดกระจิดริดว่า “ชะนีฝรั่งพวกนั้นจะต้องว่าเราโง่แน่เลย เรายิ่งสวยกว่ามันด้วย มันต้องแกล้งเราแน่ๆเลย แอร๊ยยยยยย ทำไงดี ฉลาดตอนนี้ก็ไม่ทันซะด้วย โอ้ยยยยย เป็นอะไรที่ตะเตือนไต มัคมาาากกก” ความไม่มั่นใจได้ก่อตัวเกิดขึ้นมาหนาและยาวยิ่งกว่ากำแพงเมืองจีนเสียอีกทีนี้ภาวนาขอให้คู่หมั้นพากลับบ้านเร็วๆ แต่ขานั้นก็หนุ่มฝรั่งอ่ะนะคะ โห…เม้ากันมันยกร่องเลยคือเวลามีงานนางจะเดินไปคุยกับทุกคนทุกมุมเลย คิดในใจ "ทิ้งเราไว้กับแก๊งชะนีตัวแสบ คงคิดว่าพวกมันจะดูแลชั้นสินะ ที่ไหนได้ มันคือแก๊งชะนิอะนาคอนด้า!!!!" พอคู่หมั้นเจนไม่อยู่มันก็ทั้งรัดทั้งฉก พูดแล้วของยังขึ้นนึกถึงทีไรเจ็บใจไม่หาย ใครที่เคยอยู่ในเหตุการณ์คล้ายๆกันจะเข้าใจ เหตุการณ์นั้นยังฝังใจตลอดเหมือนฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนคือแม้แต่ทุกวันนี้เวลาเพื่อนๆคนไทยเรียกรวมกลุ่มแก๊งชะนีทีไร เจนนี่จะหลบมุมเงียบไม่หือไม่อือเลยละคร๊าาา…คือกลัวพลังกลุ่มชะนีมัคมากกก คือเดี่ยวๆตัวเดียวสู้ไหว แต่ถ้ารวมตัวกันยกแก๊งค์นี่พวกนางทำลายได้ทุกอย่างจริงๆ ฮ่าๆๆๆ เอ๊ะ… อะไรยังไง ท่าจะเลยไปเรื่องอื่นอ่ะนะ อันที่จริงคิดในแง่โลกสวยคือเขาพยายามคุยด้วยกลัวว่าเราจะเหงา แต่ไอ้ภาษาเรา ณ เวลานั้นคือแบบว่า “อยากอยู่เงียบๆคนเดียว” โอเคป่ะ!!

พอกลับมาจากสวิสก็ตั้งปณืธานแน่วแน่เลยว่าภาษาต้องดีขึ้นแบบดีขึ้นจริงๆให้ได้หลังจากนั้นมานั่นแหละ ฝรั่งเดินผ่านมาจะตั้งด่านรับเลย ไม่วิ่งหนีเหมือนเคยแล้ว พูดผิดพูดถูกก็พูดสำเนียงกระเหรี่ยงก็ไม่แคร์ คำศัพท์รู้น้อยก็จะใช้วิธีอธิบายเอาถึงสิ่งที่อยากจะสื่อก็ฝึกปรือมาเรื่อยจนมันมาเห็นผลจริงๆเมื่อตอนที่ย้ายมาอยู่อเมริกานี่แหละคะ คือจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าอารมณ์ตอนที่อยู่สวิสกับตอนที่มาถึงอเมริกาภาษามันต่างกันมากบอกตรงๆว่าเจนจะไม่ชอบคนที่ดูถูกสำเนียงผู้อื่น เพราะส่วนตัวเจนจะรู้สึกว่า สำเนียงไม่ใช่สาระหลักที่สำคัญในการเรียนภาษาคือขนาดภาษาไทยของเราเองยังมีด้วยกันถึงสี่ภาค ที่แบ่งแยกโดยการวางจังหวะเสียง อรรขระและวรรณยุกต์คือใครพูดสำเนียงเหนือ อีสาน กลาง ใต้ เรายังรู้ได้ป่ะวะ แล้วประสาอะไรกับภาษาฝรั่งไอ้พวกสำเนียงดีๆก็ใช่ว่าจะภาษาเป๊ะ พูดจาไม่รู้เรื่องกว่าคนพูดมีแอคเซ้นท์เยอะแยะไปและก็มีถมถืดที่มโนไปเองว่า “ไอแฮฟ เอ็กเซอร์เล้นซ ์แอคเซ้นท์” แต่จริงๆก็หมาไม่-อ่ะคะ ฝรั่งฟังก็งงพอกัน

คืออย่าเข้าใจผิดว่าเจนสนับสนุนให้คุณมีสำเนียงกระเหรี่ยงแต่ประเด็นของเจนคืออย่าไปกลัว อย่าไปอาย พูดมันไปเถอะคะ คนเราทุกคนนะ พระเจ้าให้ความสามารถด้านการสื่อสารมาตั้งแต่เกิดเพราะฉะนั้นต้องหมั่นฝึกฝน ภาษาเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่หากไม่ได้ใช้นานๆมันจะติดขัดเหมือนกรรไกร เหมือนคมมีด ถ้าไม่ลับมันก็ไม่คม สนิมมันก็จะเกาะ อย่างเจนทุกวันนี้ใช้ชีวิตในอเมริกามาเจ็ดปีพอกลับไปไทยทีภาษาไทยบางคำ ความหมายอ่ะนึกได้ในสมองแต่ตัวคำมันติดอยู่ที่ลำคอ ก็ถึงบางอ้อนะ…พวกที่มาอยู่เมืองนอกนานๆแล้วพูดไทยคำอังกฤษคำอย่าไปว่าเขากระแดะ ประสปพบเจอมาแล้วกับตัว มันเป็นจริงๆขอให้เข้าใจ แต่เจนเองก็จะพยายามเรียกไฟล์ภาษาไทยในสมองกลับมาใช้ให้รวดเร็วที่สุดจะพยายามไม่ผสมคำระหว่างภาษาไทยกับอังกฤษเพราะกลัวโดนด่าว่าดัจริต และกลัวจะติดเป็นนิสัยกับคนอีกประเภทคือคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษจริงจัง ไม่ได้ทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษยังพูดไม่ได้ แต่ไทยคำอังกฤษคำ อันนี้ก็ต้องไปถามว่าทำไปเพื่ออะไร? ถ้าคำตอบคือ“ไอ แอม แพรคทีสซิ่ง มาย อิงลิช” อันนี้ก็ยกโทษให้ เข้าใจตามนั้นคะ แต่อย่าไปกดและลดทอนความมั่นใจของคนอื่นด้วยการว่า ว่าเขามีสำเนียงกระเหรี่ยงหรือสำเนียงตลก เพราะมันไม่ได้ทำให้คุณดูดีขึ้นมานะคะ เราคนไทยด้วยกันควรจะให้กำลังใจเพื่อนๆที่เขาฝึกพูดภาษาอังกฤษคะ ถ้าฝรั่งเจ้าของภาษาเขายังไม่เคยว่าในเชิงดูถูกให้ใครในเรื่องสำเนียง แล้วเราเป็นใครรึ ถึงได้ตัดสินการใช้ภาษานั้นๆที่แม้แต่เราก็ไม่ใช่เจ้าของภาษาเอง สรุป…พูดยิ้มไปเถอะคะ พูดมากก็ได้ฝึกมาก คนฝรั่งเศส อิตาลี่ อินเดีย จีน และอีกร้อยกว่าชาติ เขาก็พูดภาษาอังกฤษติดสำเนียงกันทั้งนั้น เชิ่ดคะเชิ่ด…สำเนียงไทยกูมีเสน่ห์จะตาย จบปิ้ง!

ย้อนกลับไปถึงการอยู่ร่วมกันกับฝรั่งอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นๆ ว่าเจนเลือกที่จะอยู่ชายคาเดียวกับฝรั่ง คือมุ่งมั่นตั้งแต่เตรียมตัวจากเมืองไทยแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะเห็นถึงวัตถุประสงค์หลักของตัวเองในการมาใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกา รวมถึงเล็งเห็นถึงผลที่ตามมาด้วย ส่วนใหญ่คนไทยเขาก็จะจับกลุ่มกันอยู่บ้านเดียวกันกินข้าวด้วยกัน ไปเรียนด้วยกัน ใช้วัฒนธรรมเดียวกัน บางคนถึงกับใช้แฟนคนเดียวกัน อร๊ายยยยยย ...ดราม่าละครไทยหลังข่าว เอิ้กๆ สรุปมาใช้ชีวิตที่ไม่ต่างจากที่เคยมากนัก เพียงแค่เปลี่ยนบรรยากาศและสถานที่ สุดท้ายอยู่มาหกเดือนภาษาเลยไม่กระดิกและไม่มีความเข้าใจในความต่างของชนชาติและวัฒนธรรมอันนี้เรียกว่า มาเสียเวลา และมาโดยสิ้นเปลืองเงินทองไปเปล่าๆปลี้ๆ

อยากจะแนะนำน้องๆที่กำลังเตรียมตัวและอยากไปใช้ชีวิตในต่างแดนให้ลองเลือกอยู่กับฝรั่งดู มากกว่าที่จะจับกลุ่มอยู่กับคนไทย ทีนี้มันจะมีบางคนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะหาว่าเจนกระแดะ ประมาณว่าอีนี่มันไม่คบคนไทยเหรอ ไม่ใช่คนไทยเหรอแว๊!!! คือคุณกำลังหลงประเด็นนะคะ หากคิดแบบนั้นอันนี้ก็ตามสบายคะ เพราะจุดมุ่งหมายของการมาใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก ก็ไม่ได้ทำเพื่อใครแต่ทำเพื่อตัวเองล้วนๆ เพราะฉะนั้น ปากหอยปากปู หัวหอยหัวปู คิดได้คิดไปคะ คือการที่เราอยู่กับฝรั่งมันจะบังคับให้เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเองในหลายๆด้าน อย่างแรกเลยคือการบังคับในเรื่องภาษา คือเมิงพูดภาษาไทยกับเขา เขาไม่เข้าใจอ่ะ ดังนั้นเมิงก็ต้องกระยิ้มกระสนพูดภาษาอังกฤษป่ะวะ แล้วคือมันอยู่ด้วยกันทุกวันอ่ะคะ มันก็ต้องดันตัวเองทุกวัน อย่างอยู่กับเพื่อนคนไทยภาษาเราจะไปได้ก็ตอนออกนอกบ้านไปแล้ว ตอนไปโรงเรียน ตอนที่อาจารย์บังคับให้ตอบคำถามหรือต้องคุยกับเพื่อนฝรั่งในคลาส คือพัฒนาการมันจะมานะ แต่บอกเลยว่าช้ากว่ามาก ตรงกันข้ามถ้าอยู่กับฝรั่งมันจะไปไวมากคะ ฝรั่งที่ว่านี่เจนก็หมายถึงฝรั่งที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบเจ้าของภาษานะคะ ไม่ใช่อยู่กับคนจีน ไต้หวัน สเปน ญี่ปุ่น อิตาลี ฯลฯ ที่เขามาอยู่ใหม่เหมือนเรา คือเลือกอยู่กับอเมริกัน อังกฤษ อินเดีย (อันหลังนี้จะได้สำเนียง“ทัชมาฮาลลล” ด้วย ก็กำไรไป ฮ่าๆๆๆ) หรือชาติใดก็ได้ที่เขาใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เกิด อย่างพี่สาวที่เจนอยู่ด้วยเขาเป็นคนเดนมาร์ค แต่อยู่อเมริกามากว่ายี่สิบปี พี่ชายก็อเมริกันแท้ ทั้งคู่เลยได้ช่วยขัดเกลาภาษาของป้าเจนให้ดีขึ้นได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วมากๆคะ คือภายในสามเดือนนี่เถึยงกับฝรั่งแล้วไม่ขัดใจตัวเองแล้วคือด่ากันมันส์เลยละคะ

อย่างที่สองที่มันบังคับเราเลยคือเรื่องมารยาทในการอยู่ร่วมกัน คือเลือกอยู่กับฝรั่งที่ค่อนข้างมีการศึกษาหน่อยนะคะ เอาแบบว่าโพรไฟล์สวยๆหน่อย ดูว่าเขามีหน้าที่การงานอะไร ตรงนี้สำคัญมากๆ เพราะถ้าเราไม่คัดไม่กรอง สักแต่ว่าขอให้ได้อยู่บ้านฝรั่ง ก็อาจจะสร้างความปวดกบาลได้อย่างใหญ่หลวงในภายหลัง ไปดูบ้าน สภาพความเป็นอยู่ ไสตล์เขาเป็นอย่างไร เพราะฝรั่งเห็นผิวขาวๆก็ใช่ว่าจะสะอาดกันทุกคน บางคนไม่อยากจะเซดดด …มันซกมกจกเปรตกว่าเราหลายขุมคะ  สรุปเลือกเอาที่เขามีสไตล์ดีกว่าเรานะคะ ทำไมหนะหรือ? เพราะทุกอย่างที่เราวางแผนในวันนี้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตเราในอนาคตแน่นอนคะ คนที่เขามีหน้าที่การงานดี มีการศึกษาดีและไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ดีกว่าเราจะช่วยเปลี่ยนให้เราเป็นคนที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้นในเกือบทุกด้าน ดังคำพังเพยที่ว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิดคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” ขอคอนเฟิร์มตรงนี้เลยว่า สำนวนนี้เป็นสัจจะล้านเปอร์เซ็นต์คะ คือพอเราเข้าไปอยู่ในบ้านที่เขามีความศิวิไลซ์ชิมิคะ รออะไรคะ….เราก็ต้องเอาความเถื่อนของเราเก็บใส่ไว้ในลิ้นชักสิคะเพราะฝรั่งเขาจะพูดออกมาตรงๆเลยนะคะ ว่าเขาไม่ชอบอะไรและเราควรจะปรับเปลี่ยนตรงไหน คือมันก็เลยต้องปรับตัวเข้าหากันในทุกๆด้านต้องนึกถึงใจเขาใจเรา กฎพื้นฐานการอยู่ร่วมกันทั่วๆไป แต่จะละมุมละไมต่างกันก็ตรงภาษาและวัฒนธรรมนี่ละคะ

พูดมาถึงตรงนี้ก็อาจจะสร้างความอึดอัดใจให้ใครหลายคน เพราะเราต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่านิสัยของเราคนไทยคือชอบคนพูดเพราะ อ่อนน้อม ทำอะไรก็ต้องคิดไปร้อยล้านตลบ เพราะผู้ใหญ่สอนไว้ว่าทำอะไรต้องคิดหน้าคิดหลัง จะพูดอะไรออกไปต้องไม่ให้เสื่อมเสียถึงตัวเองและวงศ์ตระกูล(ไปโน่น) บัวต้องไม่ให้ช้ำ น้ำต้องไม่ให้ขุ่น ดังนั้นสไตล์ไทยเราก็จะออกแนวหน่อมแน้มคุณหนู อ่อนหวาน แบ๊วๆ คือวัฒนธรรมเราทำให้เรากลายเป็นคนที่ Sensitive มาก คือมีความอ่อนโยนและอ่อนไหวทางอารมณ์สูงมาก พอเวลามาเจอคนที่เขาพูดจาตรงๆอย่างฝรั่งเนี่ย ก็อาจจะเอ๋อ เหว๋อ ประมาณว่าต้องยกโทรศัพท์โทรกลับบ้าน ต้องเม้ามอยกับหม่อมแม่  “แม่….อีแหม่มมันด่าหนู…มันแข็งกระด้าง…มันก้าวร้าว…หนูไม่ไหวแล้วเกิดมาในชีวิตนี้ พ่อแม่ยังไม่เคยแรงกับหนูเท่ามันเลย หนูไม่ทนแระ จะย้ายบ้านไปอยู่กับคนไทยนะแม่นะ” โอ้ววววววว บระเจ้า… ไม่ได้ล้อเล่นนะ สัมคมเราเป็นแบบนี้จริงๆ คือเจนไม่ได้บอกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เป็นแบบนี้ แต่เราต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมที่สวยงาม “อ่อนหวาน” ของเรา บางทีในบางสถานการณ์มันก็อาจจะเป็นจุดอ่อนได้ The weakest link โอ้วววววว น่ากลัวมัคมาาากกกก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่