ผมไป Kochi หรือ Cochin รัฐเกรละอินเดียใต้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ก่อนไปหารีวิวได้น้อยมาก ใน pantip เจอไม่ถึง 10 กระทู้ คราวแรกตั้งใจว่าพอกลับมาจะเขียนรีวิวซักหน่อย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เขียน จึงตัดสินใจทำสรุปสั้นๆ เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลดิบเอาไว้ก่อน อีกอย่างหนึ่งก็เป็นข้อมูลสำหรับคนที่มีแผนไปเที่ยวเมืองนี้ จะได้มีข้อมูลในการเตรียมตัวเผื่อไว้บ้าง
โคชินเป็นเมืองท่าและเมืองเก่าประมาณ 500 กว่าปีมาแล้ว สมัยฝรั่งตะวันตกออกล่าอาณานิคม สถาปัตยกรรมต่างๆ จึงออกไปในสไตล์โคโลเนียล สภาพอากาศพอๆกับภาคใต้บ้านเรา ความสะอาดก็พอๆกับบ้านเราอีกเช่นกัน ไม่เจอคนนั่งทำธุระส่วนตัวข้างทาง ขอทานข้างถนนดูเหมือนบ้านเราจะมีมากกว่า ผู้คนอัธยาศัยดี มีความเป็นมิตร ผมได้เพื่อนอินเดียตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องเลยทีเดียว โคชินเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางศาสนา ทั้งฮินดู คริสต์ อิสลามและลัทธิอื่นๆ อีกมาก แต่ก็ไม่วุ่นวายอยู่กันอย่างสงบ ใครจะเข้าโบสถ์ เข้าสุเหร่าก็ว่ากันตามอัธยาศัย ผมจะไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวหรือประวัติต่างๆ นะครับ เพราะหาเอาในเว็บท่องเที่ยวต่างประเทศได้ไม่ยาก เอาเฉพาะประเด็นที่ควรทราบไว้เท่านั้น เอาล่ะ.. อารัมภบทไปมากกว่านี้จะกลายเป็นรีวิวฉบับยาวไปเสียก่อน ขอสรุปให้ฟังเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
1. การขอวีซ่าเข้าอินเดียนั้นง่ายมาก ทำผ่านระบบ e-Visa ไม่เกิน 2 วันก็อนุมัติแล้ว ค่าทำวีซ่าถ้าจำไม่ผิดราวๆ 81 ดอลล่า ในวันเดินทางให้ print e-Visa ที่สถานทูตส่งให้ทางอีเมลไปด้วย เพราะต้องใช้ตอนเช็คอินและตอนเข้าเมือง ผม print แบบไม่มีรูปไป ปรากฎว่าใช้ไม่ได้ แต่เคาน์เตอร์เช็คอินของ AirAsia เค้าใจดี อุตส่าห์ print อันที่ถูกให้ใหม่จากระบบของ AirAsia เลย ไม่รู้เค้าทำอย่างไรเหมือนกัน
2. เครื่องบินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองเวลา 21.50 น. ถึงสนามบินโคชิน เวลา 0.30 น. เวลาเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง 30 นาที
3. สำเนียงภาษาอังกฤษของคนอินเดียฟังยากสักหน่อย แต่จับใจความดีๆ ก็ไม่ยาก ผ่านไปซักวันสองวัน หูเราจะชินกับสำเนียงไปเอง แนะนำว่าตอนรอขึ้นเครื่อง ลองยิ้มกับคนอินเดียที่นั่งใกล้ๆ คนที่อัธยาศัยดีเค้าจะชวนเราคุยเอง อย่างผมนี่แทบตกเครื่องเพราะหนุ่มอินเดียคนนึงมาแนะนำตัว เอานามบัตรมาโชว์ว่าเป็น Professional Photographer คงเห็นผมสะพายกล้องไปด้วยนั่นเอง คุยกันเรื่องกล้อง เรื่องการถ่ายรูปอย่างออกรสออกชาติ หยิบโทรศัพท์มาโชว์รูปจากแกเลอรี่กัน แถมยังส่งวอดก้ามาให้จิบเป็นระยะๆ จนไม่ได้ยินเค้าเรียกขึ้นเครื่อง มารู้ตัวอีกทีก็ last call แล้ว ทั้งๆ ที่นั่งอยู่หน้าเกทนั่นเอง ผมนี่เก็บกระเป๋าแทบไม่ทัน
4. ลงเครื่องที่สนามบินโคชินแล้วเดินไม่ไกลจะถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เค้าจะแยกโซน มีป้ายบอกชัดเจนว่าเป็นวีซ่าธรรมดา หรือ e-Visa เราก็เอา passport กับ e-Visa ที่เรา print ยื่นให้เจ้าหน้าที่ ตม. ดู สเต็ปการถามก็จะเหมือนกับประเทศอื่นๆ คือเริ่มต้นถามชื่อโรงแรมที่พัก ทำงานอะไร มาอยู่กี่วัน มาทำไม แผนการท่องเที่ยวมีอะไรบ้าง ฯลฯ ถ้าใครไม่ชินสำเนียงอินเดียก็จะงงๆ หน่อย แต่ ตม. ที่นี่ไม่ดุ ตอบให้ตรงคำถามก็ผ่านได้ง่ายๆ ที่สำคัญให้ถือใบจองโรงแรมติดไปด้วย ใช้เวลาตรงนี้ไม่เกิน 15 นาทีก็เสร็จ
5. ถึงแม้เครื่องจะถึงโคชินตอนดึก แต่ผมไม่แนะนำให้แอบงีบที่สนามบิน เพราะเก้าอี้น้อยมาก ผมจองโรงแรมและแท็กซี่เอาไว้ก่อนจาก agoda จึงเดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางออก ปรากฏว่าไม่เห็นแท็กซี่ถือป้ายชื่อเรา เดินวนอยู่หลายรอบก็ไม่เห็น จนแท็กซี่อื่นๆรับผู้โดยสารไปหมดแล้ว เหลือผมกับน้องเขย 2 คน ยืนนานจนเมื่อย เลยนั่งลงกับพื้น รปภ. สนามบินซึ่งคงมองดูอยู่แล้วก็ไล่ให้ไปรอด้านนอก ผมบอกว่ารอแท็กซี่อยู่ ถ้าอยู่ข้างนอกจะไม่เห็นตอนแท็กซี่ถือป้ายชื่อเรา รปภ.บอกให้ไปแจ้งที่ Help Desk
ที่ Help Desk มี จนท.สาวอินเดียนั่งอยู่ 2 คน ผมแจ้งปัญหาให้ทราบ เธอก็ขอเบอร์โทรของเอเจนซี่รถ แล้วต่อสายให้คุย ปรากฎว่าไม่มีใครรับสาย ซักพักน้องเขยผมแชร์ wifi จากซิมที่ซื้อมาจากเมืองไทยได้ ปรากฎว่าเอเจนซี่ส่งอีเมลแจ้งพิกัดของรถที่จะมารับ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ สนามบินนั่นเอง ผมใจชื้นขึ้นมาก ถึงขนาดเดินกลับไปแจ้งที่ Help Desk ว่า โอเค รถกำลังมาแล้ว แต่รออยู่พักใหญ่แท็กซี่ก็ยังไม่มา เช็ค gps ปรากฎว่ารถอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนที่เลย ผมเลยเอาเบอร์โทรคนขับแท็กซี่ให้ จนท.สาวคนเดิมต่อสายอีกครั้ง ก็ไม่มีใครรับสายเหมือนเดิม แท็กซี่อีกคนที่มารอรับผู้โดยสารเห็นผมเดินไปเดินมา เลยเข้ามาถาม ผมก็เล่าความไป สุดท้ายแกบอกว่า คงตอนหลับอยู่ในรถนั่นแหละ ผมจึงตัดสินใจติดต่อเคาน์เตอร์บริการแท็กซี่ที่อยู่ใกล้ๆ Help Desk นั่นเอง เค้าก็กุลีกุจอหารถแท็กซี่ให้ผมในราคาที่ถูกกว่าจองผ่านเอเจนซี่เกือบ 3 เท่า ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินถึงโรงแรม ประมาณ 40 นาที กว่าจะถึงโรงแรมก็ตีสามกว่าเข้าไปแล้ว (ช่วงที่นั่งรถไปโรงแรมผมก็อีเมลไปแจ้งปัญหาให้เอเจนซี่ทราบ สุดท้ายเค้าก็รีฟันด์เงินมาให้)
6. การจองโรงแรม ผมแนะนำให้จองโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ Fort Cochin เพราะใกล้แหล่งท่องเที่ยว ทั้งโบสถ์ วิหาร เมืองเก่า รวมถึง chinese fishing net หรือยอยักษ์ด้วย ผมจองโรงแรม Travancore ซึ่งอยู่ในแผ่นดินใหญ่ใกล้ๆ กับ Marine Drive เวลาจะไป Fort Cochin ต้องนั่งตุ๊กๆ ข้ามเกาะไปไกลพอสมควร ถ้าจองโรงแรมที่ Fort Cochin จะสามารถเดินเล่นได้ทั้งวัน อีกอย่างนึงให้เช็คก่อนว่าราคาที่พักได้รวมอาหารเช้าด้วยหรือเปล่า โรงแรมที่ผมพักเรียกเก็บค่าอาหารเช้าตอนเช็คเอาท์เพิ่มอีกหลายรูปี
7. คนขายของที่นี่มีวาทะศิลป์ดีมาก ตื้อจนเราต้องซื้อของเค้าจนได้ ขนาดผมบอกว่าของแบบนี้เมืองไทยก็มี ถูกกว่านี้ด้วย เค้าบอกว่าคนละอย่างกัน นี่มันของที่ระลึกจากอินเดียเชียวนา พอเราเดินหนีก็ลดราคาลงมาเรื่อยๆ รายนึงขายขลุ่ยไม้ไผ่ให้ผม 600 รูปี กะฟันเต็มที ทำไปทำมาลดเหลือ 100 รูปี พอหยิบเงินส่งให้ แกเห็นเงินไทยในกระเป๋าสตางค์ ก็บอกว่าขอใบนั้นด้วย ผมบอกว่าเงินไทยนะ แกบอกว่าไม่เป็นไรๆ ขอไว้เป็นคอลเล็กชั่น ผมก็...เอาวะ กล้าขอก็กล้าให้ จึงหยิบแบ็งก์แดงๆ ให้ไป 1 ใบ ร้านขายของที่ระลึกอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน คนขายจะมีวิธีพูดโน้มน้าวให้เราซื้อของเค้าจนได้
8. ทางการอินเดียไม่อนุญาตให้นำเงินรูปี เข้า-ออกประเทศ แต่ก็ไม่ได้เข้มงวด ผมจึงแลกเงินรูปีไปก่อนแค่พันบาท ที่เหลือแลกเป็นเงินดอลล่าไป ค่าครองชีพที่นี่ไม่แพง เบ็ดเสร็จทั้งค่าอาหาร ค่าทัวร์ ค่าบัตรเข้าชมต่างๆ ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ค่าน้ำมัน ฯลฯ ตลอด 3 วัน ผมจ่ายไปไม่ถึงหมื่นบาท หารสองแล้วประมาณคนละไม่เกิน 5,000 (ไม่รวมค่าเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าที่พัก) ร้านค้าส่วนมากรับบัตรเครดิตครับ เป็นทางเลือกที่ดีหากต้องการจับจ่าย ซื้อของ
9. ผมไปเที่ยว chinese fishing net ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ขันทีเจิ้งเหอทิ้งไว้ตอนล่องเรือสำเภามาที่นี่ พอเห็นผมถือกล้องชาวประมงก็กุลีกุจอดึงมือผม ชวนไปชมกรรมวิธีการยกยอของเขา ผมก็เดินตามเค้าไปอย่างง่ายดาย เพราะอยากถ่ายรูปอยู่แล้ว ยอเค้าใหญ่มาก จนต้องเอาหินก้อนใหญ่ๆ หลายก้อนผูกเป็นพวงไว้ที่ท้ายยอเพื่อให้สมดุล ถึงอย่างนั้นเวลายกต้องใช้คน 4-5 คน ช่วยกันตอนสาวเชือก มีการร้องเพลงเป็นจังหวะ คล้ายๆ กับบ้านเราให้จังหวะฮุยเลฮุย ปลาที่ได้ก็เป็นปลาตัวเล็กๆ เค้าบอกว่าเอาไว้ทำอาหารกิน ตอนนั้นใกล้เที่ยงแล้ว ผมเลยถามว่าขอกินข้าวเที่ยงด้วยได้มั้ย เค้าก็ตกลง แต่บ่ายโมงแล้วยังไม่เห็นลงมือปรุงอะไรซักที (สงสัยว่าจะไม่ได้กินข้าวเที่ยงตอนเที่ยงวันเหมือนบ้านเรา) ก็เลยต้องขอตัวไปเที่ยวที่อื่นต่อ ตอนจะกลับดันขอทิปจากเราอีก ก็ให้ไปครบทุกคน ถือซะว่าเป็นค่าตัวนายแบบให้ถ่ายรูป อ้อ.. วันอาทิตย์เค้าไม่มีกิจกรรมยกยอให้ชมนะครับ เป็นวันหยุดของเค้า
10. การเดินทางท่องเที่ยวในโคชิ ผมแนะนำให้ใช้บริการรถตุ๊กๆ แต่ต้องเจรจากันให้ดี ปกติตุ๊กๆ จะพาเราไปตามสถานที่ท่องเที่ยวและแวะตามร้านค้าต่างๆ ด้วย จำพวกร้านขายของที่ระลึก ร้ายขายเครื่องเทศ spice market ฯลฯ เค้าจะได้คูปองน้ำมันจากทางร้าน ถ้าเราไม่ซีเรียสก็ไม่เป็นไร เดินวนๆ ดูของแล้วก็ออกมา (ให้อ่านข้อ 7 ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง) แต่ถ้าไม่อยากเข้าร้านพวกนี้ก็ต้องตกลงกันแต่เนิ่นๆ เสียก่อน ที่สำคัญคือเลือกตุ๊กๆ ที่เป็นไกด์ให้เราได้ด้วยจะคุ้มมาก (ผมได้ตุ๊กๆ ดีมาก ถ้าอยากได้เฟสบุ๊กจะส่งให้หลังไมค์) บอกเค้าว่าอยากไปที่ไหนบ้าง ปกติค่าเหมาตุ๊กๆ แบบ day tour ไม่ควรเกินพันรูปี ถ้าจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับเล่นเองก็ได้ ค่าเช่าวันละ 500 รูปี ค่าน้ำมันพอๆกับบ้านเรา แต่ต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าถนนหนทางไม่ดีนัก ฝุ่นเยอะ ถนนหลายสายเส้นจราจรลบเลือนแทบมองไม่เห็น การขับรถของคนที่นี่ก็หวาดเสียวพอสมควร บีบแตรกันตลอดเวลา ผมเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเล่นวันเดียวก็เอาไปคืนเลย เสี่ยงมาก
11. อาหาร ผลไม้ น้ำดื่ม ราคาถูกกว่าบ้านเรา ส้มเขียวหวานบ้านเรา 3 โลร้อย ที่นั่น 3 โลร้อยเหมือนกัน แต่เป็นร้อยรูปี ถ้าไม่เลือกกินมาก 100 รูปีต่อมื้อ อยู่ได้สบายๆ ผมไม่ค่อยได้ซื้ออะไรกินมาก เพราะเกรงปัญหาเรื่องท้องไส้ แต่ก็ลองสั่งน้ำสับปะรดคั้นข้างทางมากิน 1 แก้วก็ยังปกติดี เห็นมีน้ำมะนาวคั้นสดๆ ขายอยู่ทั่วไปด้วย แต่ไม่ได้ลองซื้อกิน
12. ถ้าจะล่องอ่าวหรือทะเลอารเบียน ให้ไปที่ Marine Drive จะมีเรือยนต์คอยให้บริการนักท่องเที่ยว เค้าจะพาเราไปชม ยอยักษ์ เรือเดินสมุทร ท่าเทียบเรือสินค้าใหญ่ๆ ฯลฯ ควรไปช่วง 5 โมงเย็น เพื่อเก็บแสงอาทิตย์เย็น ผมเหมาเรือกับน้องเขย 2 คน 3 ชั่วโมง เหมาราคา 4,500 รูปี ปกติถ้านักท่องเที่ยวเต็มลำจะตกคนละ 100 รูปีต่อชั่วโมง แต่ผมต้องการแบบส่วนตัว เลยจ่ายแพงหน่อย แต่เทียบกับกับวิวที่ได้เห็นถือว่าไม่แพงเลย ตอนค่ำๆจะเห็นไฟจากตึกอาคารที่อยู่ริมแม่น้ำด้วย สวยงามมาก แต่ก็เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพพระอาทิตย์ตกสวยๆ แถว chinese fishing net เพราะวันที่ไปมีเมฆครึ้มทีเดียว ยังอดเสียดายไม่ได้
13. ถ้าจะดูวิถีชีวิตของผู้คนตามลำน้ำ ให้ไปที่ black water บริเวณนี้จะมีนกเยอะมาก ถือว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนดูนกทีเดียว เห็นทิวมะพร้าวเขียวๆ ตลอดเส้นทาง มะพร้าวที่นี่ลูกละ 40 รูปี กินน้ำเสร็จแล้วให้เค้าผ่ากินเนื้อมะพร้าวได้อีก ถนนทุกเส้นที่ผมไป จะมีมะพร้าวกองใหญ่ๆ เอาไว้ขายตลอดทาง
14. ขากลับ รปภ.สนามบินจะขอดูตั๋วเครื่องบินและ passport ก่อนเข้าตัวอาคาร คนที่ไม่มีตั๋วเครื่องบินจะเข้าไปวุ่นวายไม่ได้ แต่เค้าเอาใจใส่กับผู้โดยสารมาก ไม่รู้เป็นเฉพาะหรือเปล่า อย่างของผม รปภ. หน้าประตู D7 ดูตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับกับ passport แล้วก็ถามว่ายูกินอะไรมาหรือยัง (ตอนนั้นเวลาเกือบ 3 ทุ่มแล้ว) ผมบอกว่ายัง เค้าบอกว่างั้นไปเข้าประตู D2 เพราะมีร้านอาหารอยู่ที่นั่น ตอนขาออก ตม ก็ถามละเอียดเหมือนตอนขาเข้า ถามชื่อโรงแรม ขอดูใบเสร็จหรือใบจองโรงแรม มาอยู่กี่วัน ไปเที่ยวไหนมาบ้าง ฯลฯ ไม่รู้ว่าจะถามทำไมอีก ถือว่าเข้มงวดมากทีเดียว
ถ้าถามว่าเสน่ห์ของอินเดียคืออะไร ก็ต้องตอบว่า "กลิ่น" อินเดียจะมีกลิ่น 3 อย่าง คือ 1. กลิ่นตัว 2.กลิ่นเครื่องเทศ 3. กลิ่นขี้แห้งๆลอยมาตามลม โดยเฉพาะตามทางรถไฟ แปลกตรงที่ว่า ตอนขาไปกลิ่นตัวคนอินเดียแรงมาก ยิ่งตอนอยู่ในเครื่องบิน โฮสเตสแต่ละคนหน้าตาก็ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แต่ตอนขากลับผมไม่ได้กลิ่นตัวคนอินเดียเลย คงได้กลิ่นจนชินแล้วนั่นเอง โคชินเป็นเมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ ถ้าจะไปเที่ยวพักผ่อนแบบสโลไลฟ์ มีเวลาซักอาทิตย์นึงกำลังดี ผมมีเวลา survey แค่ 3 วันเท่านั้น ข้อมูลที่เขียนมาจึงไม่ครบถ้วน บางส่วนอาจคลาดเคลื่อนด้วย เพราะเวลาจำกัด ถ้ามีโอกาสจะหาเวลาไปเที่ยวอีก เพราะประทับใจกับวัฒนธรรมและความเป็นมิตรของคนที่นี่
มีรูปมาด้วย พอให้เห็นภาพครับ
[CR] รีวิวเที่ยว Kochi หรือ Cochin อินเดียใต้
ผมไป Kochi หรือ Cochin รัฐเกรละอินเดียใต้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ก่อนไปหารีวิวได้น้อยมาก ใน pantip เจอไม่ถึง 10 กระทู้ คราวแรกตั้งใจว่าพอกลับมาจะเขียนรีวิวซักหน่อย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เขียน จึงตัดสินใจทำสรุปสั้นๆ เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลดิบเอาไว้ก่อน อีกอย่างหนึ่งก็เป็นข้อมูลสำหรับคนที่มีแผนไปเที่ยวเมืองนี้ จะได้มีข้อมูลในการเตรียมตัวเผื่อไว้บ้าง
โคชินเป็นเมืองท่าและเมืองเก่าประมาณ 500 กว่าปีมาแล้ว สมัยฝรั่งตะวันตกออกล่าอาณานิคม สถาปัตยกรรมต่างๆ จึงออกไปในสไตล์โคโลเนียล สภาพอากาศพอๆกับภาคใต้บ้านเรา ความสะอาดก็พอๆกับบ้านเราอีกเช่นกัน ไม่เจอคนนั่งทำธุระส่วนตัวข้างทาง ขอทานข้างถนนดูเหมือนบ้านเราจะมีมากกว่า ผู้คนอัธยาศัยดี มีความเป็นมิตร ผมได้เพื่อนอินเดียตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องเลยทีเดียว โคชินเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางศาสนา ทั้งฮินดู คริสต์ อิสลามและลัทธิอื่นๆ อีกมาก แต่ก็ไม่วุ่นวายอยู่กันอย่างสงบ ใครจะเข้าโบสถ์ เข้าสุเหร่าก็ว่ากันตามอัธยาศัย ผมจะไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวหรือประวัติต่างๆ นะครับ เพราะหาเอาในเว็บท่องเที่ยวต่างประเทศได้ไม่ยาก เอาเฉพาะประเด็นที่ควรทราบไว้เท่านั้น เอาล่ะ.. อารัมภบทไปมากกว่านี้จะกลายเป็นรีวิวฉบับยาวไปเสียก่อน ขอสรุปให้ฟังเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
1. การขอวีซ่าเข้าอินเดียนั้นง่ายมาก ทำผ่านระบบ e-Visa ไม่เกิน 2 วันก็อนุมัติแล้ว ค่าทำวีซ่าถ้าจำไม่ผิดราวๆ 81 ดอลล่า ในวันเดินทางให้ print e-Visa ที่สถานทูตส่งให้ทางอีเมลไปด้วย เพราะต้องใช้ตอนเช็คอินและตอนเข้าเมือง ผม print แบบไม่มีรูปไป ปรากฎว่าใช้ไม่ได้ แต่เคาน์เตอร์เช็คอินของ AirAsia เค้าใจดี อุตส่าห์ print อันที่ถูกให้ใหม่จากระบบของ AirAsia เลย ไม่รู้เค้าทำอย่างไรเหมือนกัน
2. เครื่องบินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองเวลา 21.50 น. ถึงสนามบินโคชิน เวลา 0.30 น. เวลาเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง 30 นาที
3. สำเนียงภาษาอังกฤษของคนอินเดียฟังยากสักหน่อย แต่จับใจความดีๆ ก็ไม่ยาก ผ่านไปซักวันสองวัน หูเราจะชินกับสำเนียงไปเอง แนะนำว่าตอนรอขึ้นเครื่อง ลองยิ้มกับคนอินเดียที่นั่งใกล้ๆ คนที่อัธยาศัยดีเค้าจะชวนเราคุยเอง อย่างผมนี่แทบตกเครื่องเพราะหนุ่มอินเดียคนนึงมาแนะนำตัว เอานามบัตรมาโชว์ว่าเป็น Professional Photographer คงเห็นผมสะพายกล้องไปด้วยนั่นเอง คุยกันเรื่องกล้อง เรื่องการถ่ายรูปอย่างออกรสออกชาติ หยิบโทรศัพท์มาโชว์รูปจากแกเลอรี่กัน แถมยังส่งวอดก้ามาให้จิบเป็นระยะๆ จนไม่ได้ยินเค้าเรียกขึ้นเครื่อง มารู้ตัวอีกทีก็ last call แล้ว ทั้งๆ ที่นั่งอยู่หน้าเกทนั่นเอง ผมนี่เก็บกระเป๋าแทบไม่ทัน
4. ลงเครื่องที่สนามบินโคชินแล้วเดินไม่ไกลจะถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เค้าจะแยกโซน มีป้ายบอกชัดเจนว่าเป็นวีซ่าธรรมดา หรือ e-Visa เราก็เอา passport กับ e-Visa ที่เรา print ยื่นให้เจ้าหน้าที่ ตม. ดู สเต็ปการถามก็จะเหมือนกับประเทศอื่นๆ คือเริ่มต้นถามชื่อโรงแรมที่พัก ทำงานอะไร มาอยู่กี่วัน มาทำไม แผนการท่องเที่ยวมีอะไรบ้าง ฯลฯ ถ้าใครไม่ชินสำเนียงอินเดียก็จะงงๆ หน่อย แต่ ตม. ที่นี่ไม่ดุ ตอบให้ตรงคำถามก็ผ่านได้ง่ายๆ ที่สำคัญให้ถือใบจองโรงแรมติดไปด้วย ใช้เวลาตรงนี้ไม่เกิน 15 นาทีก็เสร็จ
5. ถึงแม้เครื่องจะถึงโคชินตอนดึก แต่ผมไม่แนะนำให้แอบงีบที่สนามบิน เพราะเก้าอี้น้อยมาก ผมจองโรงแรมและแท็กซี่เอาไว้ก่อนจาก agoda จึงเดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางออก ปรากฏว่าไม่เห็นแท็กซี่ถือป้ายชื่อเรา เดินวนอยู่หลายรอบก็ไม่เห็น จนแท็กซี่อื่นๆรับผู้โดยสารไปหมดแล้ว เหลือผมกับน้องเขย 2 คน ยืนนานจนเมื่อย เลยนั่งลงกับพื้น รปภ. สนามบินซึ่งคงมองดูอยู่แล้วก็ไล่ให้ไปรอด้านนอก ผมบอกว่ารอแท็กซี่อยู่ ถ้าอยู่ข้างนอกจะไม่เห็นตอนแท็กซี่ถือป้ายชื่อเรา รปภ.บอกให้ไปแจ้งที่ Help Desk
ที่ Help Desk มี จนท.สาวอินเดียนั่งอยู่ 2 คน ผมแจ้งปัญหาให้ทราบ เธอก็ขอเบอร์โทรของเอเจนซี่รถ แล้วต่อสายให้คุย ปรากฎว่าไม่มีใครรับสาย ซักพักน้องเขยผมแชร์ wifi จากซิมที่ซื้อมาจากเมืองไทยได้ ปรากฎว่าเอเจนซี่ส่งอีเมลแจ้งพิกัดของรถที่จะมารับ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ สนามบินนั่นเอง ผมใจชื้นขึ้นมาก ถึงขนาดเดินกลับไปแจ้งที่ Help Desk ว่า โอเค รถกำลังมาแล้ว แต่รออยู่พักใหญ่แท็กซี่ก็ยังไม่มา เช็ค gps ปรากฎว่ารถอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนที่เลย ผมเลยเอาเบอร์โทรคนขับแท็กซี่ให้ จนท.สาวคนเดิมต่อสายอีกครั้ง ก็ไม่มีใครรับสายเหมือนเดิม แท็กซี่อีกคนที่มารอรับผู้โดยสารเห็นผมเดินไปเดินมา เลยเข้ามาถาม ผมก็เล่าความไป สุดท้ายแกบอกว่า คงตอนหลับอยู่ในรถนั่นแหละ ผมจึงตัดสินใจติดต่อเคาน์เตอร์บริการแท็กซี่ที่อยู่ใกล้ๆ Help Desk นั่นเอง เค้าก็กุลีกุจอหารถแท็กซี่ให้ผมในราคาที่ถูกกว่าจองผ่านเอเจนซี่เกือบ 3 เท่า ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินถึงโรงแรม ประมาณ 40 นาที กว่าจะถึงโรงแรมก็ตีสามกว่าเข้าไปแล้ว (ช่วงที่นั่งรถไปโรงแรมผมก็อีเมลไปแจ้งปัญหาให้เอเจนซี่ทราบ สุดท้ายเค้าก็รีฟันด์เงินมาให้)
6. การจองโรงแรม ผมแนะนำให้จองโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ Fort Cochin เพราะใกล้แหล่งท่องเที่ยว ทั้งโบสถ์ วิหาร เมืองเก่า รวมถึง chinese fishing net หรือยอยักษ์ด้วย ผมจองโรงแรม Travancore ซึ่งอยู่ในแผ่นดินใหญ่ใกล้ๆ กับ Marine Drive เวลาจะไป Fort Cochin ต้องนั่งตุ๊กๆ ข้ามเกาะไปไกลพอสมควร ถ้าจองโรงแรมที่ Fort Cochin จะสามารถเดินเล่นได้ทั้งวัน อีกอย่างนึงให้เช็คก่อนว่าราคาที่พักได้รวมอาหารเช้าด้วยหรือเปล่า โรงแรมที่ผมพักเรียกเก็บค่าอาหารเช้าตอนเช็คเอาท์เพิ่มอีกหลายรูปี
7. คนขายของที่นี่มีวาทะศิลป์ดีมาก ตื้อจนเราต้องซื้อของเค้าจนได้ ขนาดผมบอกว่าของแบบนี้เมืองไทยก็มี ถูกกว่านี้ด้วย เค้าบอกว่าคนละอย่างกัน นี่มันของที่ระลึกจากอินเดียเชียวนา พอเราเดินหนีก็ลดราคาลงมาเรื่อยๆ รายนึงขายขลุ่ยไม้ไผ่ให้ผม 600 รูปี กะฟันเต็มที ทำไปทำมาลดเหลือ 100 รูปี พอหยิบเงินส่งให้ แกเห็นเงินไทยในกระเป๋าสตางค์ ก็บอกว่าขอใบนั้นด้วย ผมบอกว่าเงินไทยนะ แกบอกว่าไม่เป็นไรๆ ขอไว้เป็นคอลเล็กชั่น ผมก็...เอาวะ กล้าขอก็กล้าให้ จึงหยิบแบ็งก์แดงๆ ให้ไป 1 ใบ ร้านขายของที่ระลึกอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน คนขายจะมีวิธีพูดโน้มน้าวให้เราซื้อของเค้าจนได้
8. ทางการอินเดียไม่อนุญาตให้นำเงินรูปี เข้า-ออกประเทศ แต่ก็ไม่ได้เข้มงวด ผมจึงแลกเงินรูปีไปก่อนแค่พันบาท ที่เหลือแลกเป็นเงินดอลล่าไป ค่าครองชีพที่นี่ไม่แพง เบ็ดเสร็จทั้งค่าอาหาร ค่าทัวร์ ค่าบัตรเข้าชมต่างๆ ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ค่าน้ำมัน ฯลฯ ตลอด 3 วัน ผมจ่ายไปไม่ถึงหมื่นบาท หารสองแล้วประมาณคนละไม่เกิน 5,000 (ไม่รวมค่าเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าที่พัก) ร้านค้าส่วนมากรับบัตรเครดิตครับ เป็นทางเลือกที่ดีหากต้องการจับจ่าย ซื้อของ
9. ผมไปเที่ยว chinese fishing net ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ขันทีเจิ้งเหอทิ้งไว้ตอนล่องเรือสำเภามาที่นี่ พอเห็นผมถือกล้องชาวประมงก็กุลีกุจอดึงมือผม ชวนไปชมกรรมวิธีการยกยอของเขา ผมก็เดินตามเค้าไปอย่างง่ายดาย เพราะอยากถ่ายรูปอยู่แล้ว ยอเค้าใหญ่มาก จนต้องเอาหินก้อนใหญ่ๆ หลายก้อนผูกเป็นพวงไว้ที่ท้ายยอเพื่อให้สมดุล ถึงอย่างนั้นเวลายกต้องใช้คน 4-5 คน ช่วยกันตอนสาวเชือก มีการร้องเพลงเป็นจังหวะ คล้ายๆ กับบ้านเราให้จังหวะฮุยเลฮุย ปลาที่ได้ก็เป็นปลาตัวเล็กๆ เค้าบอกว่าเอาไว้ทำอาหารกิน ตอนนั้นใกล้เที่ยงแล้ว ผมเลยถามว่าขอกินข้าวเที่ยงด้วยได้มั้ย เค้าก็ตกลง แต่บ่ายโมงแล้วยังไม่เห็นลงมือปรุงอะไรซักที (สงสัยว่าจะไม่ได้กินข้าวเที่ยงตอนเที่ยงวันเหมือนบ้านเรา) ก็เลยต้องขอตัวไปเที่ยวที่อื่นต่อ ตอนจะกลับดันขอทิปจากเราอีก ก็ให้ไปครบทุกคน ถือซะว่าเป็นค่าตัวนายแบบให้ถ่ายรูป อ้อ.. วันอาทิตย์เค้าไม่มีกิจกรรมยกยอให้ชมนะครับ เป็นวันหยุดของเค้า
10. การเดินทางท่องเที่ยวในโคชิ ผมแนะนำให้ใช้บริการรถตุ๊กๆ แต่ต้องเจรจากันให้ดี ปกติตุ๊กๆ จะพาเราไปตามสถานที่ท่องเที่ยวและแวะตามร้านค้าต่างๆ ด้วย จำพวกร้านขายของที่ระลึก ร้ายขายเครื่องเทศ spice market ฯลฯ เค้าจะได้คูปองน้ำมันจากทางร้าน ถ้าเราไม่ซีเรียสก็ไม่เป็นไร เดินวนๆ ดูของแล้วก็ออกมา (ให้อ่านข้อ 7 ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง) แต่ถ้าไม่อยากเข้าร้านพวกนี้ก็ต้องตกลงกันแต่เนิ่นๆ เสียก่อน ที่สำคัญคือเลือกตุ๊กๆ ที่เป็นไกด์ให้เราได้ด้วยจะคุ้มมาก (ผมได้ตุ๊กๆ ดีมาก ถ้าอยากได้เฟสบุ๊กจะส่งให้หลังไมค์) บอกเค้าว่าอยากไปที่ไหนบ้าง ปกติค่าเหมาตุ๊กๆ แบบ day tour ไม่ควรเกินพันรูปี ถ้าจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับเล่นเองก็ได้ ค่าเช่าวันละ 500 รูปี ค่าน้ำมันพอๆกับบ้านเรา แต่ต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าถนนหนทางไม่ดีนัก ฝุ่นเยอะ ถนนหลายสายเส้นจราจรลบเลือนแทบมองไม่เห็น การขับรถของคนที่นี่ก็หวาดเสียวพอสมควร บีบแตรกันตลอดเวลา ผมเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเล่นวันเดียวก็เอาไปคืนเลย เสี่ยงมาก
11. อาหาร ผลไม้ น้ำดื่ม ราคาถูกกว่าบ้านเรา ส้มเขียวหวานบ้านเรา 3 โลร้อย ที่นั่น 3 โลร้อยเหมือนกัน แต่เป็นร้อยรูปี ถ้าไม่เลือกกินมาก 100 รูปีต่อมื้อ อยู่ได้สบายๆ ผมไม่ค่อยได้ซื้ออะไรกินมาก เพราะเกรงปัญหาเรื่องท้องไส้ แต่ก็ลองสั่งน้ำสับปะรดคั้นข้างทางมากิน 1 แก้วก็ยังปกติดี เห็นมีน้ำมะนาวคั้นสดๆ ขายอยู่ทั่วไปด้วย แต่ไม่ได้ลองซื้อกิน
12. ถ้าจะล่องอ่าวหรือทะเลอารเบียน ให้ไปที่ Marine Drive จะมีเรือยนต์คอยให้บริการนักท่องเที่ยว เค้าจะพาเราไปชม ยอยักษ์ เรือเดินสมุทร ท่าเทียบเรือสินค้าใหญ่ๆ ฯลฯ ควรไปช่วง 5 โมงเย็น เพื่อเก็บแสงอาทิตย์เย็น ผมเหมาเรือกับน้องเขย 2 คน 3 ชั่วโมง เหมาราคา 4,500 รูปี ปกติถ้านักท่องเที่ยวเต็มลำจะตกคนละ 100 รูปีต่อชั่วโมง แต่ผมต้องการแบบส่วนตัว เลยจ่ายแพงหน่อย แต่เทียบกับกับวิวที่ได้เห็นถือว่าไม่แพงเลย ตอนค่ำๆจะเห็นไฟจากตึกอาคารที่อยู่ริมแม่น้ำด้วย สวยงามมาก แต่ก็เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพพระอาทิตย์ตกสวยๆ แถว chinese fishing net เพราะวันที่ไปมีเมฆครึ้มทีเดียว ยังอดเสียดายไม่ได้
13. ถ้าจะดูวิถีชีวิตของผู้คนตามลำน้ำ ให้ไปที่ black water บริเวณนี้จะมีนกเยอะมาก ถือว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนดูนกทีเดียว เห็นทิวมะพร้าวเขียวๆ ตลอดเส้นทาง มะพร้าวที่นี่ลูกละ 40 รูปี กินน้ำเสร็จแล้วให้เค้าผ่ากินเนื้อมะพร้าวได้อีก ถนนทุกเส้นที่ผมไป จะมีมะพร้าวกองใหญ่ๆ เอาไว้ขายตลอดทาง
14. ขากลับ รปภ.สนามบินจะขอดูตั๋วเครื่องบินและ passport ก่อนเข้าตัวอาคาร คนที่ไม่มีตั๋วเครื่องบินจะเข้าไปวุ่นวายไม่ได้ แต่เค้าเอาใจใส่กับผู้โดยสารมาก ไม่รู้เป็นเฉพาะหรือเปล่า อย่างของผม รปภ. หน้าประตู D7 ดูตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับกับ passport แล้วก็ถามว่ายูกินอะไรมาหรือยัง (ตอนนั้นเวลาเกือบ 3 ทุ่มแล้ว) ผมบอกว่ายัง เค้าบอกว่างั้นไปเข้าประตู D2 เพราะมีร้านอาหารอยู่ที่นั่น ตอนขาออก ตม ก็ถามละเอียดเหมือนตอนขาเข้า ถามชื่อโรงแรม ขอดูใบเสร็จหรือใบจองโรงแรม มาอยู่กี่วัน ไปเที่ยวไหนมาบ้าง ฯลฯ ไม่รู้ว่าจะถามทำไมอีก ถือว่าเข้มงวดมากทีเดียว
ถ้าถามว่าเสน่ห์ของอินเดียคืออะไร ก็ต้องตอบว่า "กลิ่น" อินเดียจะมีกลิ่น 3 อย่าง คือ 1. กลิ่นตัว 2.กลิ่นเครื่องเทศ 3. กลิ่นขี้แห้งๆลอยมาตามลม โดยเฉพาะตามทางรถไฟ แปลกตรงที่ว่า ตอนขาไปกลิ่นตัวคนอินเดียแรงมาก ยิ่งตอนอยู่ในเครื่องบิน โฮสเตสแต่ละคนหน้าตาก็ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แต่ตอนขากลับผมไม่ได้กลิ่นตัวคนอินเดียเลย คงได้กลิ่นจนชินแล้วนั่นเอง โคชินเป็นเมืองไม่เล็กไม่ใหญ่ ถ้าจะไปเที่ยวพักผ่อนแบบสโลไลฟ์ มีเวลาซักอาทิตย์นึงกำลังดี ผมมีเวลา survey แค่ 3 วันเท่านั้น ข้อมูลที่เขียนมาจึงไม่ครบถ้วน บางส่วนอาจคลาดเคลื่อนด้วย เพราะเวลาจำกัด ถ้ามีโอกาสจะหาเวลาไปเที่ยวอีก เพราะประทับใจกับวัฒนธรรมและความเป็นมิตรของคนที่นี่
มีรูปมาด้วย พอให้เห็นภาพครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้