นักเรียนบ้านนอก
ผมมาอยู่บ้านนอกได้หลายเดือนแล้วครับ ถึงเวลาที่เด็ก 5 ขวบแบบผมจะต้องไปเรียนแล้วล่ะ ผมได้เข้าเรียนในชั้นอนุบาล ในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งที่มีถึงชั้นป.6 บ้านผมอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 2 กิโลเมตร การเดินทางไปเรียนของผมเป็นความธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาสำหรับคนสมัยนี้ ผมนั่งรถม้าไปโรงเรียนทุกวัน ตาผมจะเป็นคนไปส่งทุกเช้า และจะมีเด็กในหมู่บ้านที่พ่อแม่ฝากไปกับรถม้าของตาผมด้วย ตาผมก็จะได้รายได้พิเศษจากการขี้รถม้ารับจ้างด้วยครับ สมัยนั้นปากทางหมู่บ้านจะมีวินรถม้า แต่สมัยนี้ไม่มีแล้วครับ น่าเสียดาย ความเจริญทางวัตถุเข้ามาสิ่งดีดีที่เป็นวิถีชีวิตที่น่าอนุรักษ์ไว้ก็หายไปครับ ไปโรงเรียนวันแรกผมรู้สึกตื้นเต้นที่ได้พบเพื่อนใหม่ ครูคนใหม่ ห้องเรียน สถานที่แห่งใหม่ โรงเรียนที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อาคารไม้ชั้นเดียว อากาศดีเลยครับ ผมมาอยู่ได้หลายเดือน เข้าเมืองตาหลิว ต้องหลิ่วตาตาม ผมเริ่มพูดภาษาอีสานได้แล้วครับ ไปโรงเรียนก็พูดอีสานกับครูกับเพื่อนๆเลย มีการแนะนำตัวให้รู้จักกัน ตอนนั้นผมน่าจะอายุน้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้น ผมรู้สึกสนุกที่ได้มาโรงเรียน ผมเปลี่ยนจากเด็กที่อมทุกข์สมัยอยู่กรุงเทพมหานครกับแม่และพ่อเลี้ยง กลายเป็นเด็กที่ร่าเริงขึ้นตั้งแต่มาอยู่บ้านตากับยาย ผมชอบกับการที่ได้มาโรงเรียนมาเจอเพื่อนๆ คุณครูจะชอบแซวผมเป็นพิเศษเลยว่า "ยิ้มหวาน" เพราะช่วงนั้นผมฟันหลอ เพื่อนในโรงเรียนเค้าเรียกผมว่า “บักแข่วหว่อง” ล้อกันสนุกสนานตามประสาเด็กครับ มีอยู่วันหนึ่งโรงเรียนจัดงานวันเด็ก คุณครูก็คงอยากสร้างความสนุกสนานให้กลับเด็กๆและผู้ปกครอง จึงเรียกผมไปยืนบนเวทีคนเดียว ผมก็เดินขึ้นไปแบบงงๆ โดยที่ครูไม่ได้บอกอะไรผมเลย ครูบอกว่า มานี่ลูก มายืนข้างครู ครูกอดคอผมไว้ แล้วประกาศเป็นภาษาอีสานว่า “ต่อไปนี่ทุคนจะได้พบกับยิ้มหวานๆค่ะ” ผมก็อายยิ้มออกมาเองเลยครับ ทุกคนก็ปรบมือหัวเราะชอบใจกันสนุกสนาน คงชอบรอยยิ้มฟันหลอของผม แล้วผมก็ได้ขนมเป็นรางวัลลงเวีทีไปนั่งกินกับเพื่อน นี่แหละการขึ้นเวทีครั้งแรกของผม หลังเลิกเรียนถ้าตาไม่ได้มารับ ผมก็จะเดินเท้ากลับบ้านกับลูกพี่ลูกน้องของผมที่อยู่บ้านติดกัน ถนนเป็นดิน สองข้างทางจะเป็นไร่ เป็นนาข้าว การเดินทางกลับบ้านเราสามารถเดินลัดทุ่งนาได้จะใกล้ขึ้นกว่าทางรถม้า เดินเล่นเดินคุยกันไประหว่างทางเป็นกลุ่มที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันไม่นานก็ถึงบ้านครับ
ถึงบ้านผมเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปทุ่งนาหาตากับยายเพื่อช่วยตายายเก็บของ และต้อนวัวควายกลับมาเข้าคอกที่บ้าน แล้วผมก็ออกไปเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้านตามประสาเด็ก มีเกมส์กระต่ายขาเดียวแบ่งข้างไล่จับกันในวงกลมสนุกมาก โดยที่ไม่ต้องมีของเล่นอะไรเลย ส่วนผมน้องเล็กตัวจี๊ด อนุโลมให้วิ่งสองขาเได้ และยังมีกระโดดหนังยาง ทอยเส้น วิ่งเตยตามทุ่งนา คือการวิ่งผ่านด่านโดยใช้คันนาเป็นด่าน แต่ละด่านจะมีคนคอยดัก ต้องใช้ความสามารถวิ่งผ่านไปให้ได้โดยไม่ให้เตะตัว ไม่รู้สมัยนี้เด็กชนบทยังเล่นกันอยู่ไหมนะ พอใกล้ค่ำก็แยกย้ายกันเข้าบ้านใครบ้านมัน ข้างบ้านยายผมจะมีบ้านป้าอีกสองหลังอยู่ติดกัน บางวันป้าก็พาผมไปเล่นกับหลานๆของป้า แล้วก็กินข้าวเย็นที่บ้านป้าเลย 2-3 ทุ่มยายผมก็จะมาตามกลับบ้านไปนอน บ้านตายยายเป็นบ้านไม้สองชั้น เราจะนอนข้างล่างกัน ที่บ้านตายายผมมีตุ๊กแกตัวใหญ่มาก ผมนอนมองเห็นมันเกาะอยู่บนเพดานบ้าน แล้วมันกำลังร้องด้วย ขนลุกเลย ผมกลัวนอนไม่หลับ ตาเลยจัดการขั้นเด็ดขาด จับมันด้วยมือเปล่า ผมคิดในใจโหพระเจ้าตาผม ยกให้เป็นฮีโร่ตัวจริง แล้วก็เอามันไปเกาะที่ต้นมะพร้าวหน้าบ้าน นึกในใจโถ่ตาทำไมไม่ไปปล่อยไกลๆกว่านี่หน่อยครับ แต่ก็ยังดีที่มันไม่ได้มาร้องในบ้านแล้ว ผมก็เลยหลับตาลงได้ สมัยนั้นเราจะกลางมุ้งนอนกัน อากาศไม่ร้อน เย็นสบายทั้งคืน
ช่วงที่ผมกำลังจะก้าวข้ามอนุบาลไปป.1 มันเกิดเรื่องผมเล็กน้อยที่ผมก็งง และยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ประสาด้วยตอนนั้น ผมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ขึ้นป.1พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนขึ้นไปเรียนป.1 กันหมดทุกคน ผมต้องเรียนอนุบาลซ้ำ ไม่แน่ใจว่าเพราะอายุผมยังไม่ถึงเกณ์หรือเปล่า แต่ผมก็เด็กไม่ได้สนใจอะไร ผมก็เรียนอนุบาลต่อกับเพื่อนร่วมชั้นหน้าใหม่ ตอนนี้ผมเก๋าเลยในห้อง
เรียนไปได้น่าจะเดือนเดียว วันนั้นผมเดินเข้ามาในห้องอนุบาลห้องเดิม โต๊ะเดิม ครูเรียกผม ให้ถือกระเป๋าออกจากห้อง เดินตามครูมา ครูพาผมไปส่งครูชั้นป.1 ผมสวัสดีครูคนใหม่ แล้วก็ให้ผมเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวใหม่ของผมในชั้นป.1 ผมก็นั่งลงแบบงงๆ เพื่อนเก่าทุกคนมองมาที่ผมแบบงงๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไร ในใจคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมนี่ จะไม่มีใครอธิบายอะไรให้ผมฟังเลยเหรอ ตอนนั้นผม 6 ขวบแล้วครับ ผมมองไปรอบๆห้อง ครูแนะนำผมกับเพื่อนๆเก่า ก็รู้จักกันทุกคนแล้วนะ ผมจำไม่ได้แล้วว่าครูพูดอะไรอีกไหมในห้อง ครูให้เปิดหนังสือเรียนของป.1 ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ในกระเป๋าของผมมันยังเป็นหนังสืออนุบาลอยู่เลย ผมรู้สึกไม่ดีเลยตอนนั้น ผมรู้สึกว่าทำไมครูไม่บอกผมล่วงหน้า ให้ผมได้เตรียมตัวก่อน ผมรู้สึกอาย รู้สึกว่าผมไม่พร้อม รู้สึกว่าผมโง่เหรอที่ซ้ำชั้น ที่ไม่ได้ขึ้นมาเรียนพร้อมเพื่อน วันนั้นผมซึมไปทั้งวัน ผมต้องการใครสักคนที่อธิบายความจริงให้ผมฟัง แต่ไม่มีเลยสักคน ผมก้มหน้าก้มตาเรียนไปโดยที่ไม่มีหนังสือ บางครั้งผู้ใหญ่ทำอะไรก็ไม่คิดถึงจิตใจของเด็ก ผู้ใหญ่อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กสำหรับผู้ใหญ่ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กเลยนะครับตอนนั้น ใครเป็นครู ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็อย่าทำอะไรโดยไม่สนใจความคิดของเด็กนะครับ ให้อธิบายเหตุผลให้เด็กเข้าใจด้วยจะเป็นการดูแลเยียวยาจิตใจดวงเล็กๆของเด็ก ไม่ให้เขาต้องค้างคาใจมาเกือบ 30 ปียังไม่ได้หาคำตอบเลยครับหัวเราะเบาๆ จะไปถามครูก็จำครูไม่ได้แล้วครับ ตอนนั้นก็ยังเด็กเกินที่จะจำเรื่องราวได้ทั้งหมด พอพักกลางวันผมก็ไปเล่นกับเพื่อนเก่าของผม สนุกสนานตามประสาเด็กลืมความงงง่วยเมื่อเช้าไปได้ กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม
พักกลางวันผมจะมีข้าวเหนียวห่อมากิน บางวันก็มีปลา มีไข่ต้ม แต่ถ้าไม่มีกับข้าวมาด้วย ผมจะได้เงินมาโรงเรียนวันละหนึ่งบาท ผมจะซื้อกับข้าวที่โรงเรียนขายชามละบาท เป็นชามเล็กๆ กินพออิ่มกับข้าวเหนียว น้ำดื่มจะใส่ขวดจากบ้านมากินเป็นน้ำฝนที่รองไว้ในตุ่มที่บ้าน ตายายผมไม่ค่อยมีเงินหรอกครับผมเลยต้องช่วยประหยัด ถ้าวันไหนมีปลามากินผมก็จะเอาตังที่ได้วันละบาทหยอดกระปุกที่เป็นกระป๋องแป้ง ที่ผมเจาะเอง เป็นกระปุกออมสินอันแรกในชีวิตผม ที่ทำให้ผมเจ็บตัวจนจำไม่ลืม ผมตั้งมันไว้ที่บ้านแล้วจะกลับไปหยอดทุกเย็นที่มีเงินเหลือ เรื่องมันมีอยู่ว่า ครูให้ทุกคนเอาขวดมาทำกระปุกออมสิน ผมก็เห็นกระป๋องแป้งหมดพอดีที่บ้าน เลยหยิบมาจะเจาะรูตรงกลาง แต่พลาดมีดเลยบาดนิ้วหัวแม่มือซ้าย เลือดไหลเต็มมือเลย ตายายไม่มีใครเห็นตอนนั้น ผมรีบหาผ้ามาพันนิ้วห้ามเลือดผ้าเปียกหมดเลย ยายกลับมาเจอตกใจทำอะไรลูกเลือดเต็มมือเลย เลยทำแผลให้ผม ยังเป็นแผลเป็นจนทุกวันนี้ นี่แหละที่เขาพูดเด็กน้อยไม่ประสีประสา.......(รอติดตามตอนต่อไปพุธหน้าจะมาเล่าต่อนะครับ)
ใกล้จันทร์
"รอแสงตะวันส่องมาที่ฉัน EP4 " เรื่องเล่าจากชีวิตจริงของเด็กบ้านแตกอดทนสู้จนมีอาชีพที่มั่นคงและครอบครัวที่อบอุ่น
ผมมาอยู่บ้านนอกได้หลายเดือนแล้วครับ ถึงเวลาที่เด็ก 5 ขวบแบบผมจะต้องไปเรียนแล้วล่ะ ผมได้เข้าเรียนในชั้นอนุบาล ในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งที่มีถึงชั้นป.6 บ้านผมอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 2 กิโลเมตร การเดินทางไปเรียนของผมเป็นความธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาสำหรับคนสมัยนี้ ผมนั่งรถม้าไปโรงเรียนทุกวัน ตาผมจะเป็นคนไปส่งทุกเช้า และจะมีเด็กในหมู่บ้านที่พ่อแม่ฝากไปกับรถม้าของตาผมด้วย ตาผมก็จะได้รายได้พิเศษจากการขี้รถม้ารับจ้างด้วยครับ สมัยนั้นปากทางหมู่บ้านจะมีวินรถม้า แต่สมัยนี้ไม่มีแล้วครับ น่าเสียดาย ความเจริญทางวัตถุเข้ามาสิ่งดีดีที่เป็นวิถีชีวิตที่น่าอนุรักษ์ไว้ก็หายไปครับ ไปโรงเรียนวันแรกผมรู้สึกตื้นเต้นที่ได้พบเพื่อนใหม่ ครูคนใหม่ ห้องเรียน สถานที่แห่งใหม่ โรงเรียนที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อาคารไม้ชั้นเดียว อากาศดีเลยครับ ผมมาอยู่ได้หลายเดือน เข้าเมืองตาหลิว ต้องหลิ่วตาตาม ผมเริ่มพูดภาษาอีสานได้แล้วครับ ไปโรงเรียนก็พูดอีสานกับครูกับเพื่อนๆเลย มีการแนะนำตัวให้รู้จักกัน ตอนนั้นผมน่าจะอายุน้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้น ผมรู้สึกสนุกที่ได้มาโรงเรียน ผมเปลี่ยนจากเด็กที่อมทุกข์สมัยอยู่กรุงเทพมหานครกับแม่และพ่อเลี้ยง กลายเป็นเด็กที่ร่าเริงขึ้นตั้งแต่มาอยู่บ้านตากับยาย ผมชอบกับการที่ได้มาโรงเรียนมาเจอเพื่อนๆ คุณครูจะชอบแซวผมเป็นพิเศษเลยว่า "ยิ้มหวาน" เพราะช่วงนั้นผมฟันหลอ เพื่อนในโรงเรียนเค้าเรียกผมว่า “บักแข่วหว่อง” ล้อกันสนุกสนานตามประสาเด็กครับ มีอยู่วันหนึ่งโรงเรียนจัดงานวันเด็ก คุณครูก็คงอยากสร้างความสนุกสนานให้กลับเด็กๆและผู้ปกครอง จึงเรียกผมไปยืนบนเวทีคนเดียว ผมก็เดินขึ้นไปแบบงงๆ โดยที่ครูไม่ได้บอกอะไรผมเลย ครูบอกว่า มานี่ลูก มายืนข้างครู ครูกอดคอผมไว้ แล้วประกาศเป็นภาษาอีสานว่า “ต่อไปนี่ทุคนจะได้พบกับยิ้มหวานๆค่ะ” ผมก็อายยิ้มออกมาเองเลยครับ ทุกคนก็ปรบมือหัวเราะชอบใจกันสนุกสนาน คงชอบรอยยิ้มฟันหลอของผม แล้วผมก็ได้ขนมเป็นรางวัลลงเวีทีไปนั่งกินกับเพื่อน นี่แหละการขึ้นเวทีครั้งแรกของผม หลังเลิกเรียนถ้าตาไม่ได้มารับ ผมก็จะเดินเท้ากลับบ้านกับลูกพี่ลูกน้องของผมที่อยู่บ้านติดกัน ถนนเป็นดิน สองข้างทางจะเป็นไร่ เป็นนาข้าว การเดินทางกลับบ้านเราสามารถเดินลัดทุ่งนาได้จะใกล้ขึ้นกว่าทางรถม้า เดินเล่นเดินคุยกันไประหว่างทางเป็นกลุ่มที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันไม่นานก็ถึงบ้านครับ
ถึงบ้านผมเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปทุ่งนาหาตากับยายเพื่อช่วยตายายเก็บของ และต้อนวัวควายกลับมาเข้าคอกที่บ้าน แล้วผมก็ออกไปเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้านตามประสาเด็ก มีเกมส์กระต่ายขาเดียวแบ่งข้างไล่จับกันในวงกลมสนุกมาก โดยที่ไม่ต้องมีของเล่นอะไรเลย ส่วนผมน้องเล็กตัวจี๊ด อนุโลมให้วิ่งสองขาเได้ และยังมีกระโดดหนังยาง ทอยเส้น วิ่งเตยตามทุ่งนา คือการวิ่งผ่านด่านโดยใช้คันนาเป็นด่าน แต่ละด่านจะมีคนคอยดัก ต้องใช้ความสามารถวิ่งผ่านไปให้ได้โดยไม่ให้เตะตัว ไม่รู้สมัยนี้เด็กชนบทยังเล่นกันอยู่ไหมนะ พอใกล้ค่ำก็แยกย้ายกันเข้าบ้านใครบ้านมัน ข้างบ้านยายผมจะมีบ้านป้าอีกสองหลังอยู่ติดกัน บางวันป้าก็พาผมไปเล่นกับหลานๆของป้า แล้วก็กินข้าวเย็นที่บ้านป้าเลย 2-3 ทุ่มยายผมก็จะมาตามกลับบ้านไปนอน บ้านตายยายเป็นบ้านไม้สองชั้น เราจะนอนข้างล่างกัน ที่บ้านตายายผมมีตุ๊กแกตัวใหญ่มาก ผมนอนมองเห็นมันเกาะอยู่บนเพดานบ้าน แล้วมันกำลังร้องด้วย ขนลุกเลย ผมกลัวนอนไม่หลับ ตาเลยจัดการขั้นเด็ดขาด จับมันด้วยมือเปล่า ผมคิดในใจโหพระเจ้าตาผม ยกให้เป็นฮีโร่ตัวจริง แล้วก็เอามันไปเกาะที่ต้นมะพร้าวหน้าบ้าน นึกในใจโถ่ตาทำไมไม่ไปปล่อยไกลๆกว่านี่หน่อยครับ แต่ก็ยังดีที่มันไม่ได้มาร้องในบ้านแล้ว ผมก็เลยหลับตาลงได้ สมัยนั้นเราจะกลางมุ้งนอนกัน อากาศไม่ร้อน เย็นสบายทั้งคืน
ช่วงที่ผมกำลังจะก้าวข้ามอนุบาลไปป.1 มันเกิดเรื่องผมเล็กน้อยที่ผมก็งง และยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ประสาด้วยตอนนั้น ผมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ขึ้นป.1พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนขึ้นไปเรียนป.1 กันหมดทุกคน ผมต้องเรียนอนุบาลซ้ำ ไม่แน่ใจว่าเพราะอายุผมยังไม่ถึงเกณ์หรือเปล่า แต่ผมก็เด็กไม่ได้สนใจอะไร ผมก็เรียนอนุบาลต่อกับเพื่อนร่วมชั้นหน้าใหม่ ตอนนี้ผมเก๋าเลยในห้อง
เรียนไปได้น่าจะเดือนเดียว วันนั้นผมเดินเข้ามาในห้องอนุบาลห้องเดิม โต๊ะเดิม ครูเรียกผม ให้ถือกระเป๋าออกจากห้อง เดินตามครูมา ครูพาผมไปส่งครูชั้นป.1 ผมสวัสดีครูคนใหม่ แล้วก็ให้ผมเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวใหม่ของผมในชั้นป.1 ผมก็นั่งลงแบบงงๆ เพื่อนเก่าทุกคนมองมาที่ผมแบบงงๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไร ในใจคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมนี่ จะไม่มีใครอธิบายอะไรให้ผมฟังเลยเหรอ ตอนนั้นผม 6 ขวบแล้วครับ ผมมองไปรอบๆห้อง ครูแนะนำผมกับเพื่อนๆเก่า ก็รู้จักกันทุกคนแล้วนะ ผมจำไม่ได้แล้วว่าครูพูดอะไรอีกไหมในห้อง ครูให้เปิดหนังสือเรียนของป.1 ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ในกระเป๋าของผมมันยังเป็นหนังสืออนุบาลอยู่เลย ผมรู้สึกไม่ดีเลยตอนนั้น ผมรู้สึกว่าทำไมครูไม่บอกผมล่วงหน้า ให้ผมได้เตรียมตัวก่อน ผมรู้สึกอาย รู้สึกว่าผมไม่พร้อม รู้สึกว่าผมโง่เหรอที่ซ้ำชั้น ที่ไม่ได้ขึ้นมาเรียนพร้อมเพื่อน วันนั้นผมซึมไปทั้งวัน ผมต้องการใครสักคนที่อธิบายความจริงให้ผมฟัง แต่ไม่มีเลยสักคน ผมก้มหน้าก้มตาเรียนไปโดยที่ไม่มีหนังสือ บางครั้งผู้ใหญ่ทำอะไรก็ไม่คิดถึงจิตใจของเด็ก ผู้ใหญ่อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กสำหรับผู้ใหญ่ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กเลยนะครับตอนนั้น ใครเป็นครู ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็อย่าทำอะไรโดยไม่สนใจความคิดของเด็กนะครับ ให้อธิบายเหตุผลให้เด็กเข้าใจด้วยจะเป็นการดูแลเยียวยาจิตใจดวงเล็กๆของเด็ก ไม่ให้เขาต้องค้างคาใจมาเกือบ 30 ปียังไม่ได้หาคำตอบเลยครับหัวเราะเบาๆ จะไปถามครูก็จำครูไม่ได้แล้วครับ ตอนนั้นก็ยังเด็กเกินที่จะจำเรื่องราวได้ทั้งหมด พอพักกลางวันผมก็ไปเล่นกับเพื่อนเก่าของผม สนุกสนานตามประสาเด็กลืมความงงง่วยเมื่อเช้าไปได้ กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม
พักกลางวันผมจะมีข้าวเหนียวห่อมากิน บางวันก็มีปลา มีไข่ต้ม แต่ถ้าไม่มีกับข้าวมาด้วย ผมจะได้เงินมาโรงเรียนวันละหนึ่งบาท ผมจะซื้อกับข้าวที่โรงเรียนขายชามละบาท เป็นชามเล็กๆ กินพออิ่มกับข้าวเหนียว น้ำดื่มจะใส่ขวดจากบ้านมากินเป็นน้ำฝนที่รองไว้ในตุ่มที่บ้าน ตายายผมไม่ค่อยมีเงินหรอกครับผมเลยต้องช่วยประหยัด ถ้าวันไหนมีปลามากินผมก็จะเอาตังที่ได้วันละบาทหยอดกระปุกที่เป็นกระป๋องแป้ง ที่ผมเจาะเอง เป็นกระปุกออมสินอันแรกในชีวิตผม ที่ทำให้ผมเจ็บตัวจนจำไม่ลืม ผมตั้งมันไว้ที่บ้านแล้วจะกลับไปหยอดทุกเย็นที่มีเงินเหลือ เรื่องมันมีอยู่ว่า ครูให้ทุกคนเอาขวดมาทำกระปุกออมสิน ผมก็เห็นกระป๋องแป้งหมดพอดีที่บ้าน เลยหยิบมาจะเจาะรูตรงกลาง แต่พลาดมีดเลยบาดนิ้วหัวแม่มือซ้าย เลือดไหลเต็มมือเลย ตายายไม่มีใครเห็นตอนนั้น ผมรีบหาผ้ามาพันนิ้วห้ามเลือดผ้าเปียกหมดเลย ยายกลับมาเจอตกใจทำอะไรลูกเลือดเต็มมือเลย เลยทำแผลให้ผม ยังเป็นแผลเป็นจนทุกวันนี้ นี่แหละที่เขาพูดเด็กน้อยไม่ประสีประสา.......(รอติดตามตอนต่อไปพุธหน้าจะมาเล่าต่อนะครับ)
ใกล้จันทร์