ชีวิตคนเรามีอะไรมากกว่านี้อีกไหมนอกจากวันธรรมดาทำงาน วันหยุดไปเดินห้าง เที่ยวตจว และพักผ่อนอยู่บ้าน วันจันทร์กลับมาทำงาน

วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ เที่ยวที่เหมือนๆกัน กินของที่ฮิตๆเหมือนๆกัน ชีวิต consumerism และ materialism
วันทำงานก็กลับไปทำงานเหมือนเครื่องจักร แล้วชีวิตก็วนอยู่แบบนี้เหมือนหนูถีบจักร จันทร์ถึงอาทิตย์และก็วนซ้ำมาใหม่
ที่คนชอบไปเที่ยวตปท ไปเที่ยวตจว จำนวนมากไม่อยู่บ้านเพราะอยู่บ้านเฉยๆมันรู้สึกถึงความว่างเปล่า nihilism
อยู่คอนโด อยู่ในห้อง เปิดทีวีทิ้งไว้ให้ห้องมีเสียงไม่ได้อยากดูทีวีหรอกแต่รู้สึกความเงียบมันน่ากลัว
ความน่าเบื่อและ existential crisisมันบังคับให้คนต้องออกเดินทาง  การเดินทางดูมันมีจุดหมายแต่มันก็ไม่เหมือนการเกาถูกที่คัน
มันเหมือนทานเหล้าให้ลืมความทุกข์มากกว่า หายเมาก็ทุกข์ต่อ


เราดูว่าในญี่ปุ่นคนที่หมกตัวอยู่ในบ้านเป็น hikikomori ไม่ออกไปไหน ขังตัวเองอยู่ในห้องดูน่ากลัวน่าสงสาร
แต่เราก็เหมือนเค้าแต่เราขังตัวเองอยู่ในที่ทำงานและที่เที่ยว ห้าง ที่ซ้ำๆ เหมือนกัน
ชีวิตของคนเรามีแค่นี้หรือ มันมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้ไหม มีอะไรที่จะทำให้ชีวิตนี้รู้สึก fulfilled บ้างไหม
ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดูว่างเปล่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 97
เคยรู้สึกเหมือนเจ้าของกระทู้เป๊ะๆเลย existential crisis, nihilism อยู่ๆไปใช้ชีวิตวนลูป อยู่ในระบบเดิมไปซ้ำๆ แล้วก็แก่ตายไปเอง

แต่พออ่านหนังสือมากเข้า ไปเจอ ‘12 Rules for Life’ ของ Jordan Peterson พูดถึง nihilism เอาไว้ดีมาก อยากให้ไปลองอ่านดู

ถึงจะทำงานจันทร์-ศุกร์ บางก็ก็มีเสาร์บ้าง วันหยุดไปเดินห้างซ้ำๆก็จริง แต่มันมีหลาย aspects กว่านั้นในชีวิตที่วนลูป
ปัจจุบันผมสนุกกับงานที่ทำ  สนุกกับงานอดิเรก ชงกาแฟ เลี้ยงปลา อ่านหนังสือใหม่ๆ หยุดยาวก็ไปต่างประเทศแล้วไปเดินหลงทางในเมืองใหม่ๆบ้าง
ถึงจะแค่อยู่ๆไปแล้วก็ตายเหมือนเดิม แต่ผมว่าชีวิตมันก็ไม่ได้ไร้ความหมายหรอกนะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
เคยได้ยินคนบอกว่า ถ้าอยากให้รู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น ให้รู้จักการ ให้ โดยไม่หวังผลตอบแทนค่ะ
เช่น การทำประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน และไม่เดือดร้อนตนเอง

ซึ่งเมื่อก่อนเราก็เคยคิดแบบคุณ จขกท.นี้ค่ะ ว่าชีวิตเราดูไม่มีความหมาย วันๆทำแต่อะไรซ้ำๆเดิมๆ
จนวันที่ได้อ่านข้อความข้างบน ถึงได้เริ่มย้อนกลับมามองตัวเอง และลองพิจารณาแล้วว่า ชีวิตเราน่าจะทำอะไรที่มีประโยชน์ได้อีก
ก็เลยหาสิ่งที่ตัวเองถนัด และลองแบ่งปันให้ผู้อื่นบ้าง เช่น บ้านเราอยู่ไม่ไกลจากสถานรับดูแลเด็กๆผู้พิการ
เราก็มักจะทำขนม ทำอาหารไปเลี้ยงน้องๆ
บางครั้งเราก็ทำอาหารไปเลี้ยงเพื่อนๆที่ทำงาน โดยทำกล่องรับบริจาคไว้ด้วย เขียนติดกล่องว่า ใครจะมาร่วมรับประทานอาหารขอให้ช่วยทำบุญด้วยอะไรประมาณนี้ค่ะ โดยเราจะโฆษณาผ่านเฟซบุ๊คก่อน เชิญชวนให้มีคนมากินด้วยกันเยอะๆ แล้วทำอาหารที่เราถนัดมาเลี้ยง จำได้ว่าแรกๆเหนื่อยมากค่ะ แต่พอเห็นยอดเงินบริจาคแล้วก็แฮปปี้มากๆ นอกเหนือจากนั้นก็มีคนชมว่าทำอาหารอร่อย เราก็มีกำลังใจที่จะทำต่อ เงินที่บริจาคทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายอะไร เราก็เอาไปบริจาคสร้างโรงพยาบาล รอบๆนึงได้หลักหมื่นเหมือนกันค่ะ (พี่ๆที่ทำงานเราน่ารักมากๆพอรู้ว่าจะทำบุญ ก็จะช่วยกันบริจาคค่ะ)

เราทำแบบนี้ทุกปี ปีไหนว่างหน่อยก็ทำหลายรอบ รู้สึกว่ามีความสุขและรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้นเมื่อได้ทำตัวให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นค่ะ
และเรารู้สึกด้วยว่า เราทำให้คนอื่นมีความสุขด้วย ทั้งจากพี่ๆที่ได้ร่วมทำบุญและได้ทานอาหารที่เราตั้งใจทำ หรือเด็กๆน้องๆ รวมถึงโรงพยาบาลหรืออะไรก็ตามที่เราทำร่วมบริจาคเงินให้

และทุกๆวันที่เราใช้ชีวิต เราจะคอยมองรอบข้างเสมอ เจออะไรที่พอจะทำได้เราก็ทำ
เล็กๆน้อยๆ เช่น เห็นขยะตกอยู่ เราหยิบได้ก็หยิบไปทิ้ง เห็นคนตาบอดเดินข้ามถนน ถ้าช่วยได้เราก็ช่วย
มีความรู้ ความถนัดด้านไหน เผยแพร่ได้เราก็เผยแพร่ อาจจะไม่ได้มีประโยชน์กับทุกคนแต่คิดว่ามันต้องมีประโยชน์กับใครสักคนหล่ะน่า
แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่เราก็แฮปปี้ที่ได้ทำค่ะ

อันนี้แชร์จากความรู้สึกของเรานะคะ ไม่ทราบว่าท่านอื่นคิดเห็นอย่างไรกัน
แต่เราทำแบบนี้แล้วรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้นค่ะ


อวดรูปที่เคยถ่ายไว้นานหลายปีแล้วค่ะ รอบนั้นทำข้าวซอยเนื้อข้าวซอยไก่ไปเลี้ยง
ทำกล่องทำบุญไปด้วย จำได้ว่ารอบนั้นระดมหาเงินทำบุญสร้างรพ.เด็ก จบงานเหนื่อยมากกกก แต่พอนับเงินเสร็จยิ้มแป้นเลยค่ะ
ได้ยอดมาหมื่นกว่าบาท ไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอะไรเลย ได้เงินปุ๊ป เข้าธนาคารโอนเข้าบัญชีโรงพยาบาลทันที
แฮปปี้มากค่ะ


ยิ้ม
ความคิดเห็นที่ 10
ชีวิตมีอะไรมากกว่านี้ครับ และไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อ หางานหรือพันธกิจที่เราทำแล้วมีความสุข จากนั้นทุกอย่างจะลงรอยเอง

ตอนผมจบโท ปี 52 อายุ 26 ผมตัดสินใจเดินทางออกจาก กทม. บ้านเกิด ลงไปสามจังหวัดชายแดนใต้ ทำงานประสานงานโครงการวิจัยเหตุการณ์ความรุนแรง เงินเดือน 12k แต่มีความสุขมากๆ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสังคมวัตถุนิยมบ้าง ทั้งในชีวิตจริงและในพันทิป

หลังจากนั้นไม่นานผมก็เข้าโครงการแลกเปลี่ยนนักวิจัยที่บังกลาเทศ แล้วก็ได้ทุนไปเรียนต่อ อาจารย์ที่ผมทำงานด้วยก็ส่งผมไปทำวิจัย-เป็นคอนซัลท์ด้านการประเมินโครงการสาธารณสุขในแอฟริกาตะวันออก

ชีวิตผมไม่สบาย แต่ก็ไม่ได้ลำบากนะครับ และมีความสุขเพราะเรารู้ว่าสุดท้ายแล้วผลของงานจะไปช่วยให้สาธารณสุขในประเทศรายได้ต่ำมีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนทุกคนในสายงานนี้ล้วนแต่ทำงานด้วยอุดมการณ์ และคอยให้กำลังใจกันและกัน

เอาภาพมาฝากนิดนึง เมื่อกลางปี ผมไปออกพื้นที่ในป่าในเคนยา แล้วฝนดันตก ถนนกลายเป็นโคลน รถติดหล่ม ออกไปไม่ได้ เพื่อนคนท้องถิ่นลงไปยืมจอบของชาวบ้านมาขุดเป็นทางให้รถวิ่งไปต่อได้ ผมก็ลงไปช่วยเขาด้วย มีเพื่อนสาวสองคนอยู่ในรถกับคนขับ นางถ่ายภาพมาให้

  
วันนั้นแต่งตัวซะหล่อเลย เสื้อเชิ้ตกางเกงแสล็ก (เพราะต้องไปเจอผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่) กว่าจะออกมาจากป่าได้ชุดก็เละเกินกว่าจะซักไหวครับ ก็ต้องทิ้งไปแล้วซื้อใหม่ทีหลัง  

มีงานแบบนี้ให้ทำ อย่าว่าแต่วันธรรมดาเลย ถึงเสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ออกไปไหน ต้องอยู่เขียนโปรแกรม วิเคราะห์สถิติ เขียนคู่มือ หรือแก้แบบสอบถามเพิ่มทั้งวันก็ยินดีครับ รู้สึกว่าสดชื่นมีชีวิตชีวา

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองว่าชีวิตแบบนี้คุ้มค่าหรือเปล่านะครับ ผมบอกได้แค่ว่าผมแฮปปี้ที่ได้เป็นนักวิชาการด้านอนามัยระหว่างประเทศครับ

*แก้สำนวน ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา
ความคิดเห็นที่ 12
ผมพอแก่ตัวดูแลลูกพิการอยู่บ้านไม่ได้ไปไหนมาหลายปีแล้วและอีกอาจตลอดไป
มองย้อนไปในชีวิตแบบที่คุณว่า ช่วงนั้นดีมากๆแล้ว  ได้ไปห้าง ได้ไปตปท ไปเที่ยว ไปฝึกงาน ได้ทำงาน
จงใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างดีและไม่ประมาท
ความคิดเห็นที่ 4
สิ่งแรกที่คุณควรทำคือตั้งเป้าหมายชีวิตครับ และเป้าหมายนั้นต้องเป็นเป้าหมายของตัวคุณเองด้วยครับ
คุณอาจจะลองมองย้อนไปในวัยเด็กเพื่อค้นหาความฝันเก่าๆ แล้วเอามันมาปัดฝุ่นก็ได้ หรือลองหาความฝันใหม่ๆ ให้ตัวเองก็ได้
ถ้าคุณค้นพบความฝันหรือจุดมุ่งหมายแล้วคุณจะไม่รู้สึกวนๆ ซ้ำๆ แบบนี้ครับ

ผมเคยเป็นเหมือนคุณอยู่เหมือนกันครับ ตั้งแต่จบ ม ต้น จนถึงทำงาน
ตอนนั้นพ่อแม่เอาความฝันของผมไปตั้งแต่จบ ม ต้น แล้วชี้ให้ผมเดินในทางที่ท่านเห็นว่าดี หลังจากนั้นผมใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่นเรื่อยมา ผมเรียนเพื่อนความฝันของพ่อแม่ จบมามีงานทำผมก็ทำไปอย่างนั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไร ทุกวันน่าเหนื่อยหน่าย ส่วนความฝันผมก็ไปลอกความฝันจากคนอื่น ความฝันของคนรุ่นเดียวกัน คนรุ่นเดียวกันอยากได้บ้าน ผมก็คิดว่าไปว่าผมต้องมีบ้านแบบเขา คนรุ่นเดียวกันฝันอยากไปเที่ยวต่างประเทศ ผมก็คิดไปว่าผมต้องไปต่างประเทศแบบเขา จริงอยู่ตอนได้บ้านผมก็มีความสุข ตอนได้ไปเที่ยวต่างประเทศผมก็มีความสุข แต่มันเป็นความสุขแห้ง ไม่ได้เติมเต็มชีวิต เพราะมันไม่ใช่ความฝันที่แท้จริงของผม ผมใช้ชีวิตตามความฝันคนอื่น วนๆ ซ้ำๆ แบบนั้น จนวันหนึ่งเมื่อผมสร้างตัวได้ตามค่านิยมของคนรุ่นผม ผมกลับมาทบทวนความฝันของผมอีกครั้ง ผมกลับเจอความฝันที่มันซ่อนอยู่ มันช่วยเติมเต็มชีวิตให้ผมเดินไปอย่างมีเป้าหมายและมีความสุขอีกครั้ง

สำหรับคุณ คุณควรค้นหาความฝันของคุณเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอตั้งตัวได้ก่อนแบบผม
ค้นหาความฝันของคุณให้เจอ แล้วคุณจะใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความหมาย และไม่ต้องรู้สึกเหนื่อยหน่ายอยู่ในวงจรเดิมๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่