รีวิวนี้เป็นรีวิวที่ผมเสียเงินเองทั้งหมด ไม่มีสปอนเซอร์ใดๆทั้งสิ้น และเขียนออกมาด้วยความรู้สึกของตัวผมเองล้วนๆ ข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยล่วงหน้าก่อนเลยนะครับ หากท่านใดอยากดูรูปเต็มๆชนิดแบบว่าทุก shot ให้ท่านเข้าไปดูได้ที่
https://www.facebook.com/ekkaactjourney "Ekka Act Journey"
หายห่าง ห่างหายกันไปนานสำหรับรีวิวของตัวผมเอง เอาละ !!! ได้เวลาเปิดคอมมารีวิวอวดรูปเอาแล้วล่ะ มาทริปนี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยวไหนกันดี เอาแบบสั้นๆง่ายๆ กะทัดรัด ไม่ต้องอ่านกันเยอะ
ผมเดินทางโดยสารการบิน Japan Airline ไปลงที่ท่าอากาศยาน Chubu ที่เมือง Nagoya ซึ่งครั้งนี้เป็นการมาเยือนครั้งที่ 2 สำหรับตัวผมเอง (รูปนี้ถ่ายที่ Sky deck ที่ Chubu International Airport) เมื่อทุกคนไปถึงแล้วอยากให้ทุกคนขึ้นไปชมทัศนียภาพบน Run way ของสนามบิน มีเครื่องบินขึ้น-ลง เรื่อยๆ ใช้เวลาชื่นชมซัก 15 – 20 นาทีก็พอครับ
วิธีการเดินทางเข้าเมืองจากสนามบิน Chubu มีได้หลายวิธีครับทั้ง รถไฟ รถบัส และ แท็กซี่ แต่เนื่องจากว่าครั้งที่แล้วที่ผมมาเยือน ได้ใช้บริการรถไฟ ปรากฏว่าเป้พะลุงพะลัง เกะกะ และมาถึง Flight เช้า คนก็เยอะเต็มรถไฟ ครั้งนี้ผมเลยใช้บริการรถบัสเข้าเมืองแทนครับ ผมเดินไปตามป้าย Bus Airport ซื้อตั๋วที่ตู้ใกล้ๆกับชานชาลา 6 นั่นแหละครับ หรือถ้าไม่มีเวลาก็ขึ้นไปเลยแล้วค่อยจ่ายตอนลงก็ได้ครับ ค่ารถ 1200 Y ครับ
เนื่องจากผมจองที่พักแถว Sakae ไว้ครับ รถมาจอดใกล้ๆกับโรงแรมที่พักเลย ใกล้มากๆ เห็นหอคอย Nagoya TV tower ด้วยครับ ประกอบด้วยขากลับ ก็ไม่ต้องแบกของพะลุงพะลังไปขึ้นรถไฟ ขากลับรถบัสก็จะมาที่ ท่าจอดรถบัสที่อยู่ใน Oasis 21 ใกล้ๆนี่เองครับ สะดวกมากๆ
ถึงที่พักแล้ว เนื่องจากโรงแรมในญี่ปุ่นเค้าให้ Check In ได้ 15:00 ครับ ก็จัดแจงเอาของใช้ที่จำเป็นเอามาใส่เป้ใบเล็ก และฝากเป้ใบใหญ่ไว้กับโรงแรมก่อน ล้างหน้าล้างตาเสร็จปุ๊บ เรามาออกเที่ยวกันเลยครับ สถานที่แรกที่ผมจะพาไปคือ ปราสาท นาโงย่า ครับ
วิธีการเดินทางไปปราสาท นาโงย่า ง่ายมากๆครับให้ท่านนั่ง Subway ไปลงที่สถานี Shiyakusho แล้วเดินออกทางออก 7 เท่านั้นคุณก็จะออกมาหน้าปราสาทเลยครับ ด้านหน้าปราสาทก่อนเข้า จะมีร้านอาหาร ร้านขนมประมาณ 7 - 10 ร้าน มาฝากท้องที่นี่ได้ครับ
ด้านในปราสาทมีทั้งใบเมเปิ้ล ใบแปะก๊วย และต้นไม้นานาชนิด ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้มาเพื่อ ใบไม้เปลี่ยนสีโดยเฉพาะ ไม่ได้สนใจตัวปราสาทเลย เพราะครั้งที่แล้วก็มาครับ ค่าเข้าปราสาท 500 Y ครับ แต่เหมือนกับว่าถ้าเราซื้อตั๋ว One day Pass ของ Subway จะมีส่วนลดให้อีก ไม่แน่ใจ แต่ผมไม่ได้ใช้ครับ ลืม ฮ่าๆๆ
เดินไปเรื่อยๆชมใบไม้เปลี่ยนสี ก็โค-ตร จะฟินกันสุดๆเลยล่ะ เพราะโดยส่วนตัวผมเอง ผมก็เพิ่งเที่ยวฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเป็นครั้งแรกนี่แหละ ออกจะตื่นเต้นอยู่พอสมควรครับ มองตรงไหนก็สวยไปหมด ดูรวมๆแล้ว โค-ตร มีเสน่ห์เหลือเกิน
มุมนี้เห็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเค้าถ่ายกัน เลยเลียนแบบเค้ามาบ้าง อิอิ ช่วงที่ผมไปตัวปราสาทกำลังอยู่ในการบูรณะ เลยไม่ได้เข้าไปครับ แต่ก็อย่างที่บอก ไม่ได้สนใจตรงนี้อยู่แล้ว เลยไม่ซีเรียสอะไรครับ
เต็มอิ่มกันกับใบไม้เปลี่ยนสีที่ปราสาทนาโงย่ากันแล้ว ใกล้ๆกันไม่กี่สถานีครับ ผมจะพาไปเดินเล่นที่ Osu kannon ครับ วัด Osu เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่เมืองนาโงย่านี้เป็นอย่างมากครับ และในบริเวณโดยรอบยังมีแหล่งช็อปปิ้งทั้ง เสื้อผ้า รองเท้าแฟชั่น ของกิน รวมไปถึง Cartoon Figure กันด้วยนะครับ
วิธีการเดินทาง: ให้ท่านนั่ง Subway ไปลงสถานี Osu-kannon Exit 2 หรือ สถานี Kamimaezu Exit 9 ได้ทั้ง 2 สถานีครับ
เช้านี้เป็นเช้าวันที่ 2 สำหรับทริปของผมในครั้งนี้ครับ และจัดเป็นทีเด็ดของทริปเลยก็ว่าได้ ผมจะพาทุกท่านไปที่เมือง Obara ซึ่งกล่าวกันมาว่าที่นั่นมี Sakura 2 ฤดู ซึ่งทีเด็ดของมันคือช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน คุณจะเห็นซากุระพันธุ์ Shiki สีขาวสวยอร่าม แต่ทีเด็ดของที่นี่คือ มันจะมีใบไม้แดงแทรกอยู่ในดงซากุระ บอกเลยโค-ตรสวย สวยจริงๆ
วิธีการเดินทาง: ให้ท่านนั่ง Subway ไปลงสถานีสุดท้าย Toyata-shi ออกจากสถานีจะมีป้ายบอกเลยว่า ไป OBARA ให้ไปรอรถที่ป้ายรถเมล์หมายเลข 1 ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยแนะนำที่ป้ายรถเมล์ แถวเข้าคิวจะถูกแบ่งเป็น 2 แถว แถวแรกคือรอรถไป Karankei (แถวจะ ย๊าว ยาว) แถวที่ 2 ไป Obara ไม่ค่อยมีคน แต่พอถึงเวลารถมา คนมาจากไหนก็ไม่รู้ เต็มรถเมล์เลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับยืนนะครับ ค่ารถเมล์ไปลงสุดสายเลยครับที่ป้าย Kaminigi ค่ารถจ่ายตอนลงคนละ 600 Y
นี่คือตารางเวลารถออกที่เจ้าหน้าที่ยืนแจกให้ Manage เวลากันดีๆนะครับ จากตัวเมืองนาโงย่าไปสถานี Toyotashi ก็เกือบชม. แล้วล่ะ นั่งรถเมล์ไป OBARA อีกก็เกือบชม. เช่นกันแอบรถติดนิดหน่อยตอนก่อนจะถึง Obara
ระหว่างทางที่เข้าเขต Obara ก็เริ่มจะมองเห็นเจ้าดอกซากุระชิกิ รายทางแล้วล่ะ ทุกคนในรถก็ดูตื่นเต้นถึงกับต้องหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายกันเช่นเดียวกับผม และแล้วรถเมล์ก็มาจอดป้ายสุดท้ายที่ป้าย Kaminigi ตามรูปด้านล่าง
พอลงจากรถมา ให้เดินตรงไปตามทาง จะเจอแนวลำธาร และป้ายให้ไปชมดอกซากุระพร้อมกับใบไม้เปลี่ยนสี ในใจก็คิดเฮ้ย!! นี่ตรูอยู่ที่ไหนกันเนี่ย สวยซิบหาย สวยมากๆ รายทางแนวลำธารก็จะมีครอบครัวนำเด็กๆมาปิกนิคกัน น่ารักไปอีกแบบ เราใช้เวลาถ่ายรูปและดื่มด่ำกับธรรมชาติที่แนวลำธารนี้อยู่พอสมควรเลยล่ะ
พอเดินไปถึงจุดพีค โห……พีคสุดๆ ไม่มีที่ติเลย นี่ขนาดเรามาตอนมันตกไปเยอะแล้วนะเนี่ย (ปีนี้พายุเข้าญี่ปุ่นเยอะ ทำให้ sakura ตกไวกว่าปรกติ โดยปรกติช่วงที่พีคที่สุดคือ 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน พฤศจิกายน)
มุมนี้ชอบอ่ะ ไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายใดๆ แดดเยอะมั้ย มันก็แอบแรงนิดหน่อยนะ ถึงกะต้องถอดเสื้อหนาวกันเลยทีเดียว แต่มันก็เย็นแบบชิลๆ จะบอกยังไงดี ดูรูปไปแล้วจินตนาการเอาเองเลยละกันนะครับ
เราเดินขึ้นเขาเล็กๆ ซึ่งก็แอบชันอยู่พอสมควร มองจากด้านบนซากุระก็ไม่ค่อยจะเหลือแล้วแหละ แต่ก็ดีนะที่ด้านล่างมองมายังเห็น Sakura แบบเต็มๆ
ใช้เวลาถึงบ่ายแก่ๆ ดื่มด่ำความสำราญกันเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็เดินมาขึ้นรถที่ป้าย Kaminigi เหมือนเดิมแหละครับ กลับมาถึงก็เย็นแล้วล่ะ เลยได้เห็นวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ Nagoya Tv Tower
ผมเก็บตกในเมือง Nagoya น่าจะเป็นวันที่ 3 ของทริปนี้ มาญี่ปุ่นก็ต้องไปขอพรเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย ที่ศาลเจ้า Atsuta ครับ ศาลเจ้า Atsusa เป็นศาลเจ้าที่เหมาะสำหรับการขอพรเพื่อให้ได้ชัยชนะกลับมา ในทุกๆเรื่อง อุปสรรค การงาน อะไรก็ตามที่เป็นการแข่งขัน ลองมาขอพรที่นี่ดูครับ
ภายในศาลเจ้า ยังมีบริเวณที่เดินชิลถ่ายรูปบนกองใบไม้เหลือง ปลิวไสว ตกลงร่วงบนพื้น สวยมากๆครับ
การเดินทางมาที่ศาลเจ้า Atsuta : นั่ง Subway มาลงสถานี Jinhunishi ถึงเลยจ้า แต่เดินไปปากทางศาลเจ้าไกลนิดหน่อย 300 เมตรน่าจะได้
สุดท้ายนี้ รีวิวข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ หากต้องการ สอบถามหรือพูดคุยเข้ามาทักได้เลยครับที่
https://www.facebook.com/littleduckinthefog
Nagoya Castle & OSU kannon
OBARA
NABANA NO SATO & INUYAMA
[CR] ความสวยที่แตกต่าง – ฤดูเปลี่ยน ใบไม้ก็เปลี่ยน (OBARA Vs. Nagoya Castle)
รีวิวนี้เป็นรีวิวที่ผมเสียเงินเองทั้งหมด ไม่มีสปอนเซอร์ใดๆทั้งสิ้น และเขียนออกมาด้วยความรู้สึกของตัวผมเองล้วนๆ ข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยล่วงหน้าก่อนเลยนะครับ หากท่านใดอยากดูรูปเต็มๆชนิดแบบว่าทุก shot ให้ท่านเข้าไปดูได้ที่ https://www.facebook.com/ekkaactjourney "Ekka Act Journey"
หายห่าง ห่างหายกันไปนานสำหรับรีวิวของตัวผมเอง เอาละ !!! ได้เวลาเปิดคอมมารีวิวอวดรูปเอาแล้วล่ะ มาทริปนี้ผมจะพาทุกท่านไปเที่ยวไหนกันดี เอาแบบสั้นๆง่ายๆ กะทัดรัด ไม่ต้องอ่านกันเยอะ
ผมเดินทางโดยสารการบิน Japan Airline ไปลงที่ท่าอากาศยาน Chubu ที่เมือง Nagoya ซึ่งครั้งนี้เป็นการมาเยือนครั้งที่ 2 สำหรับตัวผมเอง (รูปนี้ถ่ายที่ Sky deck ที่ Chubu International Airport) เมื่อทุกคนไปถึงแล้วอยากให้ทุกคนขึ้นไปชมทัศนียภาพบน Run way ของสนามบิน มีเครื่องบินขึ้น-ลง เรื่อยๆ ใช้เวลาชื่นชมซัก 15 – 20 นาทีก็พอครับ
วิธีการเดินทางเข้าเมืองจากสนามบิน Chubu มีได้หลายวิธีครับทั้ง รถไฟ รถบัส และ แท็กซี่ แต่เนื่องจากว่าครั้งที่แล้วที่ผมมาเยือน ได้ใช้บริการรถไฟ ปรากฏว่าเป้พะลุงพะลัง เกะกะ และมาถึง Flight เช้า คนก็เยอะเต็มรถไฟ ครั้งนี้ผมเลยใช้บริการรถบัสเข้าเมืองแทนครับ ผมเดินไปตามป้าย Bus Airport ซื้อตั๋วที่ตู้ใกล้ๆกับชานชาลา 6 นั่นแหละครับ หรือถ้าไม่มีเวลาก็ขึ้นไปเลยแล้วค่อยจ่ายตอนลงก็ได้ครับ ค่ารถ 1200 Y ครับ
เนื่องจากผมจองที่พักแถว Sakae ไว้ครับ รถมาจอดใกล้ๆกับโรงแรมที่พักเลย ใกล้มากๆ เห็นหอคอย Nagoya TV tower ด้วยครับ ประกอบด้วยขากลับ ก็ไม่ต้องแบกของพะลุงพะลังไปขึ้นรถไฟ ขากลับรถบัสก็จะมาที่ ท่าจอดรถบัสที่อยู่ใน Oasis 21 ใกล้ๆนี่เองครับ สะดวกมากๆ
ถึงที่พักแล้ว เนื่องจากโรงแรมในญี่ปุ่นเค้าให้ Check In ได้ 15:00 ครับ ก็จัดแจงเอาของใช้ที่จำเป็นเอามาใส่เป้ใบเล็ก และฝากเป้ใบใหญ่ไว้กับโรงแรมก่อน ล้างหน้าล้างตาเสร็จปุ๊บ เรามาออกเที่ยวกันเลยครับ สถานที่แรกที่ผมจะพาไปคือ ปราสาท นาโงย่า ครับ
วิธีการเดินทางไปปราสาท นาโงย่า ง่ายมากๆครับให้ท่านนั่ง Subway ไปลงที่สถานี Shiyakusho แล้วเดินออกทางออก 7 เท่านั้นคุณก็จะออกมาหน้าปราสาทเลยครับ ด้านหน้าปราสาทก่อนเข้า จะมีร้านอาหาร ร้านขนมประมาณ 7 - 10 ร้าน มาฝากท้องที่นี่ได้ครับ
ด้านในปราสาทมีทั้งใบเมเปิ้ล ใบแปะก๊วย และต้นไม้นานาชนิด ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้มาเพื่อ ใบไม้เปลี่ยนสีโดยเฉพาะ ไม่ได้สนใจตัวปราสาทเลย เพราะครั้งที่แล้วก็มาครับ ค่าเข้าปราสาท 500 Y ครับ แต่เหมือนกับว่าถ้าเราซื้อตั๋ว One day Pass ของ Subway จะมีส่วนลดให้อีก ไม่แน่ใจ แต่ผมไม่ได้ใช้ครับ ลืม ฮ่าๆๆ
เดินไปเรื่อยๆชมใบไม้เปลี่ยนสี ก็โค-ตร จะฟินกันสุดๆเลยล่ะ เพราะโดยส่วนตัวผมเอง ผมก็เพิ่งเที่ยวฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเป็นครั้งแรกนี่แหละ ออกจะตื่นเต้นอยู่พอสมควรครับ มองตรงไหนก็สวยไปหมด ดูรวมๆแล้ว โค-ตร มีเสน่ห์เหลือเกิน
มุมนี้เห็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเค้าถ่ายกัน เลยเลียนแบบเค้ามาบ้าง อิอิ ช่วงที่ผมไปตัวปราสาทกำลังอยู่ในการบูรณะ เลยไม่ได้เข้าไปครับ แต่ก็อย่างที่บอก ไม่ได้สนใจตรงนี้อยู่แล้ว เลยไม่ซีเรียสอะไรครับ
เต็มอิ่มกันกับใบไม้เปลี่ยนสีที่ปราสาทนาโงย่ากันแล้ว ใกล้ๆกันไม่กี่สถานีครับ ผมจะพาไปเดินเล่นที่ Osu kannon ครับ วัด Osu เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่เมืองนาโงย่านี้เป็นอย่างมากครับ และในบริเวณโดยรอบยังมีแหล่งช็อปปิ้งทั้ง เสื้อผ้า รองเท้าแฟชั่น ของกิน รวมไปถึง Cartoon Figure กันด้วยนะครับ
วิธีการเดินทาง: ให้ท่านนั่ง Subway ไปลงสถานี Osu-kannon Exit 2 หรือ สถานี Kamimaezu Exit 9 ได้ทั้ง 2 สถานีครับ
เช้านี้เป็นเช้าวันที่ 2 สำหรับทริปของผมในครั้งนี้ครับ และจัดเป็นทีเด็ดของทริปเลยก็ว่าได้ ผมจะพาทุกท่านไปที่เมือง Obara ซึ่งกล่าวกันมาว่าที่นั่นมี Sakura 2 ฤดู ซึ่งทีเด็ดของมันคือช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน คุณจะเห็นซากุระพันธุ์ Shiki สีขาวสวยอร่าม แต่ทีเด็ดของที่นี่คือ มันจะมีใบไม้แดงแทรกอยู่ในดงซากุระ บอกเลยโค-ตรสวย สวยจริงๆ
วิธีการเดินทาง: ให้ท่านนั่ง Subway ไปลงสถานีสุดท้าย Toyata-shi ออกจากสถานีจะมีป้ายบอกเลยว่า ไป OBARA ให้ไปรอรถที่ป้ายรถเมล์หมายเลข 1 ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยแนะนำที่ป้ายรถเมล์ แถวเข้าคิวจะถูกแบ่งเป็น 2 แถว แถวแรกคือรอรถไป Karankei (แถวจะ ย๊าว ยาว) แถวที่ 2 ไป Obara ไม่ค่อยมีคน แต่พอถึงเวลารถมา คนมาจากไหนก็ไม่รู้ เต็มรถเมล์เลย แต่ก็ยังไม่ถึงกับยืนนะครับ ค่ารถเมล์ไปลงสุดสายเลยครับที่ป้าย Kaminigi ค่ารถจ่ายตอนลงคนละ 600 Y
นี่คือตารางเวลารถออกที่เจ้าหน้าที่ยืนแจกให้ Manage เวลากันดีๆนะครับ จากตัวเมืองนาโงย่าไปสถานี Toyotashi ก็เกือบชม. แล้วล่ะ นั่งรถเมล์ไป OBARA อีกก็เกือบชม. เช่นกันแอบรถติดนิดหน่อยตอนก่อนจะถึง Obara
ระหว่างทางที่เข้าเขต Obara ก็เริ่มจะมองเห็นเจ้าดอกซากุระชิกิ รายทางแล้วล่ะ ทุกคนในรถก็ดูตื่นเต้นถึงกับต้องหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายกันเช่นเดียวกับผม และแล้วรถเมล์ก็มาจอดป้ายสุดท้ายที่ป้าย Kaminigi ตามรูปด้านล่าง
พอลงจากรถมา ให้เดินตรงไปตามทาง จะเจอแนวลำธาร และป้ายให้ไปชมดอกซากุระพร้อมกับใบไม้เปลี่ยนสี ในใจก็คิดเฮ้ย!! นี่ตรูอยู่ที่ไหนกันเนี่ย สวยซิบหาย สวยมากๆ รายทางแนวลำธารก็จะมีครอบครัวนำเด็กๆมาปิกนิคกัน น่ารักไปอีกแบบ เราใช้เวลาถ่ายรูปและดื่มด่ำกับธรรมชาติที่แนวลำธารนี้อยู่พอสมควรเลยล่ะ
พอเดินไปถึงจุดพีค โห……พีคสุดๆ ไม่มีที่ติเลย นี่ขนาดเรามาตอนมันตกไปเยอะแล้วนะเนี่ย (ปีนี้พายุเข้าญี่ปุ่นเยอะ ทำให้ sakura ตกไวกว่าปรกติ โดยปรกติช่วงที่พีคที่สุดคือ 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน พฤศจิกายน)
มุมนี้ชอบอ่ะ ไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายใดๆ แดดเยอะมั้ย มันก็แอบแรงนิดหน่อยนะ ถึงกะต้องถอดเสื้อหนาวกันเลยทีเดียว แต่มันก็เย็นแบบชิลๆ จะบอกยังไงดี ดูรูปไปแล้วจินตนาการเอาเองเลยละกันนะครับ
เราเดินขึ้นเขาเล็กๆ ซึ่งก็แอบชันอยู่พอสมควร มองจากด้านบนซากุระก็ไม่ค่อยจะเหลือแล้วแหละ แต่ก็ดีนะที่ด้านล่างมองมายังเห็น Sakura แบบเต็มๆ
ใช้เวลาถึงบ่ายแก่ๆ ดื่มด่ำความสำราญกันเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็เดินมาขึ้นรถที่ป้าย Kaminigi เหมือนเดิมแหละครับ กลับมาถึงก็เย็นแล้วล่ะ เลยได้เห็นวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ Nagoya Tv Tower
ผมเก็บตกในเมือง Nagoya น่าจะเป็นวันที่ 3 ของทริปนี้ มาญี่ปุ่นก็ต้องไปขอพรเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย ที่ศาลเจ้า Atsuta ครับ ศาลเจ้า Atsusa เป็นศาลเจ้าที่เหมาะสำหรับการขอพรเพื่อให้ได้ชัยชนะกลับมา ในทุกๆเรื่อง อุปสรรค การงาน อะไรก็ตามที่เป็นการแข่งขัน ลองมาขอพรที่นี่ดูครับ
ภายในศาลเจ้า ยังมีบริเวณที่เดินชิลถ่ายรูปบนกองใบไม้เหลือง ปลิวไสว ตกลงร่วงบนพื้น สวยมากๆครับ
การเดินทางมาที่ศาลเจ้า Atsuta : นั่ง Subway มาลงสถานี Jinhunishi ถึงเลยจ้า แต่เดินไปปากทางศาลเจ้าไกลนิดหน่อย 300 เมตรน่าจะได้
สุดท้ายนี้ รีวิวข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ หากต้องการ สอบถามหรือพูดคุยเข้ามาทักได้เลยครับที่ https://www.facebook.com/littleduckinthefog
Nagoya Castle & OSU kannon
OBARA
NABANA NO SATO & INUYAMA
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้