เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องรองสุดท้ายแล้วครับ เหลืออีกเพียงเรื่องเดียว ถุงมือเดียวเท่านั้นที่รออยู่ตอนนี้ ซึ่งต้องมาถึงมือกรรมการภายในวันที่ 15 คือภายในวันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายครับ หลังจากนั้นก็จะมีแบบฟอร์มตอบรวมทุกเรื่องให้ทุกท่านได้เขียนคำตอบกัน ซึ่งจะมี "คำถามพิเศษ" ด้วยครับ
เรื่องนี้เกี่ยวกับนาฬิกา และคนชอบของแบรนด์เนมครับ แต่จะชอบปานใด ไปเจอของที่ถูกตั้งราคาโหดๆหินๆเข้าก็คิดหนักละครับถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่เศรษฐีผู้มีอันจะกิน
แต่กระทาชายนายหนึ่งซึ่งหาใช่คนรวยไม่ จำเป็นและจำใจต้องหาเงินไปซื้อนาฬิกาเรือนหนึ่งราคาเกินครึ่งล้าน!
ทำไมต้องหาเงินไปซื้อมันให้ได้ ไม่ซื้อจะเป็นไร จะเกิดอะไรขึ้น ???
ต้องติดตามอ่านดูกันละครับ...จบแล้วก็ตัดเกรดตามความชอบใจ แล้วหาคนเขียนมาเน้อ...
กิติภพก้าวออกจากร้านนาฬิกาแบรนด์เนมในห้างหรูด้วยอาการขมปร่าไปทั้งปาก นาฬิกาบ้าบออะไรถึงได้แพงขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเรือนก็ดูปกติธรรมดา ไม่ได้ฝังโคตรเพชรแต่ประการใด
“ หกแสนห้าหมื่นบาทครับ ”
เสียงของพนักงานขายที่บอกราคาของนาฬิกาเรือนนั้นยังก้องอยู่ในหู ถึงแม้เขาจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองผู้จัดการทั้งที่อายุยังน้อยและมีเงินเดือนเกือบแสน แต่มันก็เป็นราคานาฬิกาที่สูงเกินไป และเขาก็ไม่เคยจะคิดซื้อเลยในชีวิตนี้
..............
ไม่นึกเลยว่าเขาจำต้องกล้ำกลืนน้ำตาหาเงินมาซื้อมัน
..............
ชายหนุ่มนึกย้อนไปเมื่อสามวันก่อน ขณะที่เขากำลังเดินออกจากห้องทำงาน และได้สวนกับวีรชัยตรงทางเดิน
“เฮ้ย ! ภพ ค่ำนี้ไอ้ต๊อดเลี้ยงงานวันเกิด นายไปด้วยนะ เพื่อนถามถึงกันหลายคน “
วีระชัยซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายโดยตรงของเขาตบไหล่บอกมา ส่วนเพื่อน ๆ ที่พูดถึงนั้นเป็นกลุ่มเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของวีรชัย ซึ่งกิติภพได้ไปรู้จักและคบหาครั้งเรียนต่อระดับปริญญาโท
วีรชัยและเพื่อนเหล่านี้รวมกลุ่มพบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะคนชื่อต๊อด ซึ่งเป็นทายาทของบริษัทใหญ่ระดับอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
กิติภพยิ้มเจื่อน พลางก้มมองเครื่องแต่งกายของตนเอง หากไปร่วมงานในวันนี้ก็คงจะแปลกแยกจากเพื่อนฝูงอยู่บ้าง ถึงแม้ราคาเครื่องแต่งกายของเขารวมทั้งตัวจะหลายพันบาท แต่เทียบกับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ล้วนแต่เป็นทายาทของมหาเศรษฐีก็คงจะเหมือนเดินตัวเปลือยเปล่าไปร่วมงาน
จะว่าไปเขาก็ต่างจากเพื่อนกลุ่มนี้อยู่แล้ว โดยพื้นฐานลูกชาวนาจากต่างจังหวัด แต่เรียนเก่งจนได้เข้าเรียนในคณะวิศวกรรมของมหาลัยชั้นนำในประเทศ และบังเอิญที่ได้ถูกนิสัยใจคอกับวีรชัยเพื่อนร่วมคณะซึ่งเป็นทายาทของบริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่
เมื่อเขาเรียนจบด้วยระดับเกียรตินิยม ทั้งความสนิทสนมส่วนตัวและผลงานด้านการเรียน กิติภพจึงได้ถูกวีรชัยดึงตัวเข้าร่วมงานในบริษัทโดยทันที
หลังทำงานได้สามปีวีรชัยก็ลากกิติภพไปเรียนต่อด้วยกันอีกในระดับปริญญาโท โดยบริษัทฯ เป็นผู้ให้ทุนในการเรียน กิติภพเข้าใจดีว่าเพื่อนกำลังสนับสนุนเขาให้ก้าวหน้าขึ้น จึงรับข้อเสนอนี้ด้วยความยินดี และในห้องเรียนของเอ็มบีเอนี่เองที่เขาได้รู้จักคบหากับเหล่าลูกเศรษฐี เพื่อนของวีรชัยกลุ่มนี้
ขณะสำรวจตัวเองอย่างอึดอัด พร้อมนึกหาวิธีจะหลีกเลี่ยงไปร่วมงานอย่างไรให้เหมาะสม วีรชัยดูเหมือนจะอ่านความคิดของเขาออก พูดดักออกมาก่อน
“ห้ามปฏิเสธนะโว้ย บอกแล้วว่าเพื่อนหลายคนอยากเจอ โดยเฉพาะไอ้ต๊อดเจ้าของงาน ..”
จ้องหน้ากันอยู่ชั่วครู่ แล้ววีรชัยก็ถอดนาฬิกาในข้อมือของตนเองออก ยัดใส่อุ้มมือของกิติภพพร้อมตบไหล่หนัก ๆ
“เอ้า ! ..แค่ใส่ไอ้นี่เรือนเดียว นายก็ไม่ต้องอายใครแล้ว เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี่เอง เฮ้อ .. ไม่รู้จะคิดมากไปทำไม เพื่อน ๆ กันทั้งนั้น ..” วีรชัยส่ายหัวประกอบคำพูดประโยคสุดท้ายแล้วเดินจากไป ...
คืนนั้นไม่ทราบว่าจะเป็นเพราะนาฬิกาหรูของวีรชัยหรือไม่ กิติภพเข้าร่วมงานกับเพื่อน ๆ ด้วยความมั่นใจและสบายใจขึ้น จากปกติที่อาจจะหลีก ๆ เลี่ยง ๆ กลับก่อน ก็กลายเป็นสนุกสนานกับเพื่อน ๆ จนดึก แถมยังรับคำชวนของต๊อดกับวีรชัยไปเที่ยวผับหรูแถวย่านสุขุมวิทกันต่อ ..
ในผับทุกคนสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง ได้ชนแก้วกับกลุ่มสาวแอร์โฮสเตส โต๊ะข้าง ๆ และกิติภพยังได้ร่วมสนทนา
“ผมก็เคยจีบมาแล้วคนหนึ่งตอนเดินทางกลับบ้าน สมัยเรียน ..”
“แอร์ในประเทศหรือคะ แอร์อะไรอ่ะ ..” คู่สนทนาเอียงคอถาม
“นครชัยแอร์ ..” เขาตอบไปตามความเป็นจริง แต่ก็ทำให้ทั้งหมดนึกว่าปล่อยมุกและฮากันอย่างครึกครื้น
หลังจากนั้นจำได้อย่างเดียวว่าเมากันวายป่วง กิติภพจำไม่ได้ว่าแยกกับเพื่อน ๆ ตอนไหน อย่างไร และมีใครติดมานอนด้วยหรือเปล่า รู้ตัวอีกทีขณะตื่นขึ้นในห้องของโรงแรมแห่งหนึ่งแถวซอยนานา พบว่าเขานอนอยู่บนเตียงคนเดียว แต่ที่นอนยับยู่ยี่ไปหมด เหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก
กิติภพยังโสด และเช้าถัดมาก็บังเอิญเป็นวันหยุด ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้า ...
นาฬิกาของวีรชัยเรือนนั้นไม่หายไป ..
ชายหนุ่มถึงกับสบถออกมาอย่างหยาบคายในความซวยของตนเอง ไล่ค้นหาภายในห้องไปจนแทบทุกตารางนิ้ว จากนั้นมานั่งทึ้งผมทวนความจำอีกเป็นครึ่งวัน
เมื่อรู้แน่ชัดว่านาฬิกาเรือนนั้นหายไปจริง ๆ และจำอะไรไม่ได้เลย กิติภพก็ย้อนรอยสืบ เริ่มต้นด้วยกลับไปยังผับที่เที่ยวกันเมื่อคืนปรากฏว่าผับปิด ไม่มีคนอยู่ เขาย้อนไปถามอีกครั้งเมื่อเวลาผับเปิดในตอนย่ำค่ำ และผลที่ได้ทราบก็คือ - ไม่มีใครเห็น -
กิติภพไม่กล้าที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะกับวีรชัย
หลังจากนิ่งคิดอยู่อีกหนึ่งวันชายหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะใช้วิธีซื้อคืน โดยไม่ให้เพื่อนรู้ว่าเป็นเรือนใหม่ คิดว่าคงจะตบตาผ่านไปได้ เพราะวีรชัยก็บอกว่าเพิ่งซื้อมาเหมือนกัน
และก็เป็นเหตุให้เขาก็เผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันเมื่อรู้ราคา ..
ชายหนุ่มกินอะไรแทบไม่ลงทั้งวัน ในห้วงความคิด วนเวียนอยู่แต่ตัวเลข
หกแสนห้าหมื่นบาท แต่กิติภพมีความหยิ่งทะนงในตัวเอง เมื่อตัดสินใจไปแล้วเขาก็จะเดินตามนั้น และต้องทำทุกวิถีทางให้ได้เงินมาภายในไม่กี่วัน เพื่อจะรีบซื้อนาฬิกาไปคืนเพื่อน
.............
..............
กิติภพแกว่งแก้วไวน์ในมืออย่างสบายใจ ในที่สุดภาระของเขาก็ปลดเปลื้องลงได้อย่างสวยงาม วันนี้เลยมอบรางวัลพิเศษให้แก่ตัวเองสักครั้ง โดยการนั่งดื่มด่ำกับรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มในโรงแรมหรูแห่งนี้
ในชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มก็อดคิดเสียไม่ได้ ถึงความลำบากในเวลาที่ผ่านมา...
................
...............
เมื่อทราบถึงราคาของนาฬิกาเรือนที่หายไป กิติภพก็สำรวจเงินเก็บของตนเองที่มีอยู่
ถึงแม้ภาระผ่อนคอนโดและรถยนต์หนึ่งคันกินเงินเดือนเขาไปกว่าครึ่ง ส่งให้พ่อแม่ที่บ้านนอกอีกเดือนละหนึ่งหมื่น แต่การใช้จ่ายตามความจำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย ทำให้เขาพอมีเงินเก็บอยู่บ้างราวสองแสนบาท
ชายหนุ่มกดเงินสดจากบัตรเครดิตที่มีอยู่ใบเดียวออกมาจนเต็มวงเงินได้มาสมทบอีกแสนห้า แต่รวมแล้วเขายังขาดอีกร่วมสามแสน ด้วยนิสัยใจคอและประวัติที่ดี ทำให้เขาหายืมเพื่อนฝูงใกล้ตัวมาได้อย่างรวดเร็วอีกสองแสนกว่าบาท
ท้ายที่สุดขาดอีกห้าหมื่น และในเวลาที่บีบรัด ทำให้เขาจำเป็นต้องใช้บริการเจ้าหนี้นอกระบบ โดยมีเจ๊ร้านข้าวมันไก่ที่นั่งกินอยู่ประจำเป็นผู้แนะนำและค้ำประกัน
กิติภพรวบรวมเงินหกแสนห้าหมื่นบาทซื้อนาฬิกาคืนเพื่อนได้ภายในห้าวัน โชคดีอย่างหนึ่งคือ ช่วงนี้เป็นเวลาที่ วีรชัยเดินทางไปยื่นซองประมูลงานที่ต่างประเทศพอดี เมื่อทั้งสองเจอกันกิติภพจึงได้ยื่นนาฬิกาคืนให้โดยไม่มีข้อพิรุธใด ๆ
.........
หลังจากนั้นจึงเป็นวันมหาโหดและทุกข์ยากของเขาอย่างแท้จริง
………
อยู่ ๆ ก็เป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกสี่แสนกว่าบาท อันดับแรกกิติภพใช้วิธีโยกหนี้จากคนรู้จักมาเป็นหนี้ธนาคารให้หมด โดยการทำบัตรเครดิตเพิ่มเติมและทำวงเงินกู้ส่วนบุคคล นำเงินมาใช้หนี้เพื่อนฝูงโดยเร็ว แต่เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบไม่ยอมที่จะรับชำระก่อน ขอเก็บคืนทุกสิบห้าวันยี่สิบงวด ตามเงื่อนไขเดิม ในอัตราดอกเบี้ยทบต้นมหาโหด
การที่ต้องชำระขั้นต่ำสิบเปอร์เซ็นต์ของบัตรเครดิตและเงินกู้ส่วนบุคคล รวมกับเงินกู้นอกระบบอีกทุกสิบห้าวันทำให้กิติภพมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอีกถึงเดือนละห้าหมื่นบาท รวมกับค่าผ่อนคอนโด รถยนต์ และส่งให้พ่อแม่แล้ว มันมากกว่าเงินเดือนที่เขาได้รับ
กิติภพใช้วิธีสู้ยิบตา ประหยัดทุกทาง เปลี่ยนการเดินทางไปทำงานเป็นขึ้นรถเมล์เหมือนย้อนไปครั้งเป็นนักศึกษา เดินทางกลับต่างจังหวัดไปเอาข้าวสารที่บ้านมาหุงพร้อมทำอาการกินเอง มื้อกลางวันก็ใช้วิธีทำข้าวกล่องซึ่งส่วนมากก็เป็นแต่ไข่เจียว
แต่อย่างไรรายจ่ายก็มากกว่ารายรับ ชายหนุ่มใช้วิธีชำระบัตรเครดิตบางใบไปก่อน พอตัดบัญชีแล้วก็กดออกมาใหม่ เพื่อเอามาใช้หนี้ส่วนอื่น ๆ ที่ยังคงเหลือ พร้อมเหลือไว้ใช้กินและเดินทางบ้าง
เขาจำเป็นต้องปิดหนี้ให้เร็วและเด็ดขาด เพราะตกลงกับแฟนที่ต่างจังหวัดไว้ว่าจะแต่งงานกันในอีกสองปี พ่อกับแม่ของเขาก็รอเงินก้อนเพื่อปิดเงินกู้ ธกส.
ในที่สุดเขาก็อดทนมาจนครบสิบเดือน และเป็นจังหวะที่โบนัสออก กิติภพจึงปิดหนี้ของเดือนสุดท้ายได้อย่างไม่ค้างคา เงินโบนัสหลังจากปิดหนี้ทั้งหมดแล้ว ยังพอเหลือใช้สำหรับเดือนหน้าได้อย่างสบาย ๆ กิติภพเลยให้รางวัลสำหรับตัวเองในมื้อนี้สักครั้ง ..
แด่ .. ความทุกข์ยากที่ผ่านมาเกือบหนึ่งปี ..
...........
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของกิติภพ เขามองดูเห็นเป็นหมายเลขของวีรชัยจึงรับสาย เพื่อนของเขามีเรื่องจะคุยด้วยและจะตามมานั่งดื่มในห้องอาหาร เพราะจากอาคารสำนักงานของเขามายังโรงแรมแห่งนี้นั้นไม่ไกลเท่าไหร่
ไม่นานนักวีรชัยก็เดินทางมาถึง ทรุดกายลงนั่งตรงเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม เงยหน้าขึ้นบอกพนักงานว่าให้รินไวน์ขวดบนโต๊ะของกิติภพ หลังจากนั้นก็หันมาเอ่ย
“เดือนหน้าไอ้ต๊อดมันจะ เลี้ยงวันเกิดมันในบ้านที่เขาใหญ่ มันบอกว่าให้ชวนนายไปด้วย .. “
กิติภพแทบจะพ่นไวน์ที่กำลังดื่มอยู่ออกมา ไอ้ต๊อดอีกแล้ว .. หัวของเขาเริ่มหมุนเพื่อจะหาวิธีหลีกเลี่ยงไปร่วมงาน
“ไม่ต้องคิด .. ไม่ต้องปฏิเสธเลย ..” วีรชัยยกมือขึ้นมาโบก ไปมา
ก่อนหน้านั้นไม่นานจิตใจของกิติภพกำลังหมกมุ่นอยู่กับนาฬิกาและหนี้สินที่ผ่านมา เมื่อเห็นแขนที่กำลังโบกอยู่เลยอดถามไม่ได้
“ซื้อนาฬิกาใหม่อีกหรือ เรือนเดิมไปไหน ..”
“เพิ่งซื้อมาไม่กี่วัน ..” วีรชัยพยักหน้า จิบไวน์แล้วกล่าวต่อ
“เรือนที่เคยให้นายยืมน่ะหรือ เอาให้ไอ้แมนไปล่ะ ..” วีรชัยเอ่ยถึงคนขับรถของตัวเอง
“เอาให้ไอ้แมน !! .. “ กิติภพทำตาถลน ส่งเสียงดังจนโต๊ะข้าง ๆ หันมามอง
วีรชัยหัวเราะ ก่อนพูดออกมา
“ตกอกตกใจอะไร นั่นมันนาฬิกาปลอม วันนั้นพาเพื่อนญี่ปุ่นไปเที่ยวบาร์แถวตึกธนิยะ ก่อนเข้าบาร์เลยพามันเดินเล่น ดูของแถวพัฒน์พงษ์ ไปเจอแผงนี้ขายของก๊อปเกรดเอ แม่...ng ทำโคตรเหมือน เพื่อนญี่ปุ่นชอบใจเลยชวนกันซื้อคนละเรือน ...”
⌛⏰🕛THE GLOVES 2018 FINAL GAME ถุงมือเรื่องสั้น รอบชิงชนะเลิศ กท.ที่ 9 "นาฬิกาเพื่อน" โดย "ถุงมือ WATCH MAN"🕛⏰⌛
เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องรองสุดท้ายแล้วครับ เหลืออีกเพียงเรื่องเดียว ถุงมือเดียวเท่านั้นที่รออยู่ตอนนี้ ซึ่งต้องมาถึงมือกรรมการภายในวันที่ 15 คือภายในวันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายครับ หลังจากนั้นก็จะมีแบบฟอร์มตอบรวมทุกเรื่องให้ทุกท่านได้เขียนคำตอบกัน ซึ่งจะมี "คำถามพิเศษ" ด้วยครับ
เรื่องนี้เกี่ยวกับนาฬิกา และคนชอบของแบรนด์เนมครับ แต่จะชอบปานใด ไปเจอของที่ถูกตั้งราคาโหดๆหินๆเข้าก็คิดหนักละครับถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่เศรษฐีผู้มีอันจะกิน
แต่กระทาชายนายหนึ่งซึ่งหาใช่คนรวยไม่ จำเป็นและจำใจต้องหาเงินไปซื้อนาฬิกาเรือนหนึ่งราคาเกินครึ่งล้าน!
ทำไมต้องหาเงินไปซื้อมันให้ได้ ไม่ซื้อจะเป็นไร จะเกิดอะไรขึ้น ???
ต้องติดตามอ่านดูกันละครับ...จบแล้วก็ตัดเกรดตามความชอบใจ แล้วหาคนเขียนมาเน้อ...
กิติภพก้าวออกจากร้านนาฬิกาแบรนด์เนมในห้างหรูด้วยอาการขมปร่าไปทั้งปาก นาฬิกาบ้าบออะไรถึงได้แพงขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเรือนก็ดูปกติธรรมดา ไม่ได้ฝังโคตรเพชรแต่ประการใด
“ หกแสนห้าหมื่นบาทครับ ”
เสียงของพนักงานขายที่บอกราคาของนาฬิกาเรือนนั้นยังก้องอยู่ในหู ถึงแม้เขาจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองผู้จัดการทั้งที่อายุยังน้อยและมีเงินเดือนเกือบแสน แต่มันก็เป็นราคานาฬิกาที่สูงเกินไป และเขาก็ไม่เคยจะคิดซื้อเลยในชีวิตนี้
..............
ไม่นึกเลยว่าเขาจำต้องกล้ำกลืนน้ำตาหาเงินมาซื้อมัน
..............
ชายหนุ่มนึกย้อนไปเมื่อสามวันก่อน ขณะที่เขากำลังเดินออกจากห้องทำงาน และได้สวนกับวีรชัยตรงทางเดิน
“เฮ้ย ! ภพ ค่ำนี้ไอ้ต๊อดเลี้ยงงานวันเกิด นายไปด้วยนะ เพื่อนถามถึงกันหลายคน “
วีระชัยซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายโดยตรงของเขาตบไหล่บอกมา ส่วนเพื่อน ๆ ที่พูดถึงนั้นเป็นกลุ่มเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของวีรชัย ซึ่งกิติภพได้ไปรู้จักและคบหาครั้งเรียนต่อระดับปริญญาโท
วีรชัยและเพื่อนเหล่านี้รวมกลุ่มพบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะคนชื่อต๊อด ซึ่งเป็นทายาทของบริษัทใหญ่ระดับอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
กิติภพยิ้มเจื่อน พลางก้มมองเครื่องแต่งกายของตนเอง หากไปร่วมงานในวันนี้ก็คงจะแปลกแยกจากเพื่อนฝูงอยู่บ้าง ถึงแม้ราคาเครื่องแต่งกายของเขารวมทั้งตัวจะหลายพันบาท แต่เทียบกับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ล้วนแต่เป็นทายาทของมหาเศรษฐีก็คงจะเหมือนเดินตัวเปลือยเปล่าไปร่วมงาน
จะว่าไปเขาก็ต่างจากเพื่อนกลุ่มนี้อยู่แล้ว โดยพื้นฐานลูกชาวนาจากต่างจังหวัด แต่เรียนเก่งจนได้เข้าเรียนในคณะวิศวกรรมของมหาลัยชั้นนำในประเทศ และบังเอิญที่ได้ถูกนิสัยใจคอกับวีรชัยเพื่อนร่วมคณะซึ่งเป็นทายาทของบริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่
เมื่อเขาเรียนจบด้วยระดับเกียรตินิยม ทั้งความสนิทสนมส่วนตัวและผลงานด้านการเรียน กิติภพจึงได้ถูกวีรชัยดึงตัวเข้าร่วมงานในบริษัทโดยทันที
หลังทำงานได้สามปีวีรชัยก็ลากกิติภพไปเรียนต่อด้วยกันอีกในระดับปริญญาโท โดยบริษัทฯ เป็นผู้ให้ทุนในการเรียน กิติภพเข้าใจดีว่าเพื่อนกำลังสนับสนุนเขาให้ก้าวหน้าขึ้น จึงรับข้อเสนอนี้ด้วยความยินดี และในห้องเรียนของเอ็มบีเอนี่เองที่เขาได้รู้จักคบหากับเหล่าลูกเศรษฐี เพื่อนของวีรชัยกลุ่มนี้
ขณะสำรวจตัวเองอย่างอึดอัด พร้อมนึกหาวิธีจะหลีกเลี่ยงไปร่วมงานอย่างไรให้เหมาะสม วีรชัยดูเหมือนจะอ่านความคิดของเขาออก พูดดักออกมาก่อน
“ห้ามปฏิเสธนะโว้ย บอกแล้วว่าเพื่อนหลายคนอยากเจอ โดยเฉพาะไอ้ต๊อดเจ้าของงาน ..”
จ้องหน้ากันอยู่ชั่วครู่ แล้ววีรชัยก็ถอดนาฬิกาในข้อมือของตนเองออก ยัดใส่อุ้มมือของกิติภพพร้อมตบไหล่หนัก ๆ
“เอ้า ! ..แค่ใส่ไอ้นี่เรือนเดียว นายก็ไม่ต้องอายใครแล้ว เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี่เอง เฮ้อ .. ไม่รู้จะคิดมากไปทำไม เพื่อน ๆ กันทั้งนั้น ..” วีรชัยส่ายหัวประกอบคำพูดประโยคสุดท้ายแล้วเดินจากไป ...
คืนนั้นไม่ทราบว่าจะเป็นเพราะนาฬิกาหรูของวีรชัยหรือไม่ กิติภพเข้าร่วมงานกับเพื่อน ๆ ด้วยความมั่นใจและสบายใจขึ้น จากปกติที่อาจจะหลีก ๆ เลี่ยง ๆ กลับก่อน ก็กลายเป็นสนุกสนานกับเพื่อน ๆ จนดึก แถมยังรับคำชวนของต๊อดกับวีรชัยไปเที่ยวผับหรูแถวย่านสุขุมวิทกันต่อ ..
ในผับทุกคนสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง ได้ชนแก้วกับกลุ่มสาวแอร์โฮสเตส โต๊ะข้าง ๆ และกิติภพยังได้ร่วมสนทนา
“ผมก็เคยจีบมาแล้วคนหนึ่งตอนเดินทางกลับบ้าน สมัยเรียน ..”
“แอร์ในประเทศหรือคะ แอร์อะไรอ่ะ ..” คู่สนทนาเอียงคอถาม
“นครชัยแอร์ ..” เขาตอบไปตามความเป็นจริง แต่ก็ทำให้ทั้งหมดนึกว่าปล่อยมุกและฮากันอย่างครึกครื้น
หลังจากนั้นจำได้อย่างเดียวว่าเมากันวายป่วง กิติภพจำไม่ได้ว่าแยกกับเพื่อน ๆ ตอนไหน อย่างไร และมีใครติดมานอนด้วยหรือเปล่า รู้ตัวอีกทีขณะตื่นขึ้นในห้องของโรงแรมแห่งหนึ่งแถวซอยนานา พบว่าเขานอนอยู่บนเตียงคนเดียว แต่ที่นอนยับยู่ยี่ไปหมด เหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก
กิติภพยังโสด และเช้าถัดมาก็บังเอิญเป็นวันหยุด ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้า ...
นาฬิกาของวีรชัยเรือนนั้นไม่หายไป ..
ชายหนุ่มถึงกับสบถออกมาอย่างหยาบคายในความซวยของตนเอง ไล่ค้นหาภายในห้องไปจนแทบทุกตารางนิ้ว จากนั้นมานั่งทึ้งผมทวนความจำอีกเป็นครึ่งวัน
เมื่อรู้แน่ชัดว่านาฬิกาเรือนนั้นหายไปจริง ๆ และจำอะไรไม่ได้เลย กิติภพก็ย้อนรอยสืบ เริ่มต้นด้วยกลับไปยังผับที่เที่ยวกันเมื่อคืนปรากฏว่าผับปิด ไม่มีคนอยู่ เขาย้อนไปถามอีกครั้งเมื่อเวลาผับเปิดในตอนย่ำค่ำ และผลที่ได้ทราบก็คือ - ไม่มีใครเห็น -
กิติภพไม่กล้าที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะกับวีรชัย หลังจากนิ่งคิดอยู่อีกหนึ่งวันชายหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะใช้วิธีซื้อคืน โดยไม่ให้เพื่อนรู้ว่าเป็นเรือนใหม่ คิดว่าคงจะตบตาผ่านไปได้ เพราะวีรชัยก็บอกว่าเพิ่งซื้อมาเหมือนกัน
และก็เป็นเหตุให้เขาก็เผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันเมื่อรู้ราคา ..
ชายหนุ่มกินอะไรแทบไม่ลงทั้งวัน ในห้วงความคิด วนเวียนอยู่แต่ตัวเลขหกแสนห้าหมื่นบาท แต่กิติภพมีความหยิ่งทะนงในตัวเอง เมื่อตัดสินใจไปแล้วเขาก็จะเดินตามนั้น และต้องทำทุกวิถีทางให้ได้เงินมาภายในไม่กี่วัน เพื่อจะรีบซื้อนาฬิกาไปคืนเพื่อน
.............
..............
กิติภพแกว่งแก้วไวน์ในมืออย่างสบายใจ ในที่สุดภาระของเขาก็ปลดเปลื้องลงได้อย่างสวยงาม วันนี้เลยมอบรางวัลพิเศษให้แก่ตัวเองสักครั้ง โดยการนั่งดื่มด่ำกับรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มในโรงแรมหรูแห่งนี้
ในชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มก็อดคิดเสียไม่ได้ ถึงความลำบากในเวลาที่ผ่านมา...
................
...............
เมื่อทราบถึงราคาของนาฬิกาเรือนที่หายไป กิติภพก็สำรวจเงินเก็บของตนเองที่มีอยู่
ถึงแม้ภาระผ่อนคอนโดและรถยนต์หนึ่งคันกินเงินเดือนเขาไปกว่าครึ่ง ส่งให้พ่อแม่ที่บ้านนอกอีกเดือนละหนึ่งหมื่น แต่การใช้จ่ายตามความจำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย ทำให้เขาพอมีเงินเก็บอยู่บ้างราวสองแสนบาท
ชายหนุ่มกดเงินสดจากบัตรเครดิตที่มีอยู่ใบเดียวออกมาจนเต็มวงเงินได้มาสมทบอีกแสนห้า แต่รวมแล้วเขายังขาดอีกร่วมสามแสน ด้วยนิสัยใจคอและประวัติที่ดี ทำให้เขาหายืมเพื่อนฝูงใกล้ตัวมาได้อย่างรวดเร็วอีกสองแสนกว่าบาท
ท้ายที่สุดขาดอีกห้าหมื่น และในเวลาที่บีบรัด ทำให้เขาจำเป็นต้องใช้บริการเจ้าหนี้นอกระบบ โดยมีเจ๊ร้านข้าวมันไก่ที่นั่งกินอยู่ประจำเป็นผู้แนะนำและค้ำประกัน
กิติภพรวบรวมเงินหกแสนห้าหมื่นบาทซื้อนาฬิกาคืนเพื่อนได้ภายในห้าวัน โชคดีอย่างหนึ่งคือ ช่วงนี้เป็นเวลาที่ วีรชัยเดินทางไปยื่นซองประมูลงานที่ต่างประเทศพอดี เมื่อทั้งสองเจอกันกิติภพจึงได้ยื่นนาฬิกาคืนให้โดยไม่มีข้อพิรุธใด ๆ
.........
หลังจากนั้นจึงเป็นวันมหาโหดและทุกข์ยากของเขาอย่างแท้จริง
………
อยู่ ๆ ก็เป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกสี่แสนกว่าบาท อันดับแรกกิติภพใช้วิธีโยกหนี้จากคนรู้จักมาเป็นหนี้ธนาคารให้หมด โดยการทำบัตรเครดิตเพิ่มเติมและทำวงเงินกู้ส่วนบุคคล นำเงินมาใช้หนี้เพื่อนฝูงโดยเร็ว แต่เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบไม่ยอมที่จะรับชำระก่อน ขอเก็บคืนทุกสิบห้าวันยี่สิบงวด ตามเงื่อนไขเดิม ในอัตราดอกเบี้ยทบต้นมหาโหด
การที่ต้องชำระขั้นต่ำสิบเปอร์เซ็นต์ของบัตรเครดิตและเงินกู้ส่วนบุคคล รวมกับเงินกู้นอกระบบอีกทุกสิบห้าวันทำให้กิติภพมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอีกถึงเดือนละห้าหมื่นบาท รวมกับค่าผ่อนคอนโด รถยนต์ และส่งให้พ่อแม่แล้ว มันมากกว่าเงินเดือนที่เขาได้รับ
กิติภพใช้วิธีสู้ยิบตา ประหยัดทุกทาง เปลี่ยนการเดินทางไปทำงานเป็นขึ้นรถเมล์เหมือนย้อนไปครั้งเป็นนักศึกษา เดินทางกลับต่างจังหวัดไปเอาข้าวสารที่บ้านมาหุงพร้อมทำอาการกินเอง มื้อกลางวันก็ใช้วิธีทำข้าวกล่องซึ่งส่วนมากก็เป็นแต่ไข่เจียว
แต่อย่างไรรายจ่ายก็มากกว่ารายรับ ชายหนุ่มใช้วิธีชำระบัตรเครดิตบางใบไปก่อน พอตัดบัญชีแล้วก็กดออกมาใหม่ เพื่อเอามาใช้หนี้ส่วนอื่น ๆ ที่ยังคงเหลือ พร้อมเหลือไว้ใช้กินและเดินทางบ้าง
เขาจำเป็นต้องปิดหนี้ให้เร็วและเด็ดขาด เพราะตกลงกับแฟนที่ต่างจังหวัดไว้ว่าจะแต่งงานกันในอีกสองปี พ่อกับแม่ของเขาก็รอเงินก้อนเพื่อปิดเงินกู้ ธกส.
ในที่สุดเขาก็อดทนมาจนครบสิบเดือน และเป็นจังหวะที่โบนัสออก กิติภพจึงปิดหนี้ของเดือนสุดท้ายได้อย่างไม่ค้างคา เงินโบนัสหลังจากปิดหนี้ทั้งหมดแล้ว ยังพอเหลือใช้สำหรับเดือนหน้าได้อย่างสบาย ๆ กิติภพเลยให้รางวัลสำหรับตัวเองในมื้อนี้สักครั้ง ..
แด่ .. ความทุกข์ยากที่ผ่านมาเกือบหนึ่งปี ..
...........
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของกิติภพ เขามองดูเห็นเป็นหมายเลขของวีรชัยจึงรับสาย เพื่อนของเขามีเรื่องจะคุยด้วยและจะตามมานั่งดื่มในห้องอาหาร เพราะจากอาคารสำนักงานของเขามายังโรงแรมแห่งนี้นั้นไม่ไกลเท่าไหร่
ไม่นานนักวีรชัยก็เดินทางมาถึง ทรุดกายลงนั่งตรงเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม เงยหน้าขึ้นบอกพนักงานว่าให้รินไวน์ขวดบนโต๊ะของกิติภพ หลังจากนั้นก็หันมาเอ่ย
“เดือนหน้าไอ้ต๊อดมันจะ เลี้ยงวันเกิดมันในบ้านที่เขาใหญ่ มันบอกว่าให้ชวนนายไปด้วย .. “
กิติภพแทบจะพ่นไวน์ที่กำลังดื่มอยู่ออกมา ไอ้ต๊อดอีกแล้ว .. หัวของเขาเริ่มหมุนเพื่อจะหาวิธีหลีกเลี่ยงไปร่วมงาน
“ไม่ต้องคิด .. ไม่ต้องปฏิเสธเลย ..” วีรชัยยกมือขึ้นมาโบก ไปมา
ก่อนหน้านั้นไม่นานจิตใจของกิติภพกำลังหมกมุ่นอยู่กับนาฬิกาและหนี้สินที่ผ่านมา เมื่อเห็นแขนที่กำลังโบกอยู่เลยอดถามไม่ได้
“ซื้อนาฬิกาใหม่อีกหรือ เรือนเดิมไปไหน ..”
“เพิ่งซื้อมาไม่กี่วัน ..” วีรชัยพยักหน้า จิบไวน์แล้วกล่าวต่อ
“เรือนที่เคยให้นายยืมน่ะหรือ เอาให้ไอ้แมนไปล่ะ ..” วีรชัยเอ่ยถึงคนขับรถของตัวเอง
“เอาให้ไอ้แมน !! .. “ กิติภพทำตาถลน ส่งเสียงดังจนโต๊ะข้าง ๆ หันมามอง
วีรชัยหัวเราะ ก่อนพูดออกมา
“ตกอกตกใจอะไร นั่นมันนาฬิกาปลอม วันนั้นพาเพื่อนญี่ปุ่นไปเที่ยวบาร์แถวตึกธนิยะ ก่อนเข้าบาร์เลยพามันเดินเล่น ดูของแถวพัฒน์พงษ์ ไปเจอแผงนี้ขายของก๊อปเกรดเอ แม่...ng ทำโคตรเหมือน เพื่อนญี่ปุ่นชอบใจเลยชวนกันซื้อคนละเรือน ...”
ถุงมือ WATCH MAN