5 ปัจจัย ที่ทำให้ เชลซี โชว์ฟอร์มถล่มนิ่มๆ แมนซิตี้ จ่าฝูงไร้พ่ายพรีเมียร์ลีค

5 ปัจจัยที่ทำให้ เชลซี ยัดเยียดความปราชัยนัดแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ในที่สุด ทีมแชมป์เก่าและจ่าฝูงที่ไร้เทียมทานอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้นัดแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้จนได้ หลังจากออกไปแพ้ให้กับ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 2-0 ช่วงดึกคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

ทีมสิงห์บลูส์ภายใต้การทำทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ เล่นได้ดีที่สุดนัดหนึ่งของฤดูกาล ซึ่ง 3 แต้มที่พวกเขาคว้ามาได้ ยังเป็นการช่วยส่งให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นไปนำจ่าฝูงหลังจบเกมนัดที่ 16 อีกด้วย ส่วนพวกเขาเองก็ยังไม่ร่วงลงจากอันดับท็อปโฟร์ ในวันเดียวกับที่คู่ปรับร่วมเมืองอย่าง อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไม่พลาดชัยชนะทั้งคู่

แม้ว่า เชลซี จะเป็นหนึ่งในทีมระดับท็อปของลีก แต่เชื่อว่าก่อนเกม ก็คงมีไม่กี่คนที่มั่นใจว่าพวกเขาจะเป็นทีมแรกที่ล้ม แมนฯ ซิตี้ ได้สำเร็จ

อะไรที่ทำให้ ทีมสิงห์บลูส์คือทีมแรกที่คว้า 3 แต้มจากแชมป์เก่าได้ เราสรุปมาให้ 5 ปัจจัยใหญ่ๆ ด้วยกัน

1. กองหลังเชลซีนัดกันท็อปฟอร์มทั้งแผง

ถ้าจะบอกว่านัดนี้คือนัดที่กองหลัง เชลซี เล่นกันได้ยอดเยี่ยมที่สุดนับตั้งแต่เปิดฤดูกาล รับรองว่าไม่มีแฟนสิงห์บลูส์คนไหนปฏิเสธ

การรับมือกับทีมที่ยิงประตูได้มากที่สุดในลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (34 ประตู) ต้องห้ามมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในแนวรับ และเกมเมื่อคืนนี้ เชลซี ก็ป้องกันการโจมตีของทีมเรือใบสีฟ้าได้ทุกรูปแบบจริงๆ

ผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุด หนีไม่พ้น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า แบ็กขวากัปตันทีมที่จัดการกับ ลีรอย ซาเน่ ปีกฟอร์มร้อนแรงของทีมเรือใบสีฟ้าซะจนเล่นไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช็อตพุ่งเข้าบล็อคลูกยิงของ ซาเน่ ที่กำลังจะได้ซัดโล่งๆ ในครึ่งแรก คือการช่วยเซฟประตูครั้งสำคัญสุดๆ ของทีม

เกมเมื่อคืนนี้ "พี่เดฟ" ขวัญใจแฟนสิงห์ทำสถิติเข้าปะทะสำเร็จมากถึง 13 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในเกมเดียว ในบรรดานักเตะทุกคนของพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2018-19

ดาวิด ลุยซ์ ที่หลายคนเป็นห่วงว่าจะเป็นบ่อน้ำมันอีกนัด เพราะมักฟอร์มหลุดในการเจอทีมบิ๊กซิกซ์ กลับกลายเป็นทำผลงานระดับมาสเตอร์พีซ เมื่อชนะการดวลลูกกลางอากาศมากที่สุดในสนาม (5 ครั้ง) เคลียร์บอลทิ้งมากถึง 7 ครั้ง ร่วมกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ แต่จุดที่ทำให้ ลุยซ์ โดดเด่นยิ่งกว่ากองหลังผิวสีทีมชาติเยอรมนี คือการเติมขึ้นไปโขกประตูตอกฝาโลงในช่วงท้ายเกม

ทางด้าน มาร์กอส อลอนโซ่ ก็เป็นนักเตะที่ดักตัดบอลได้มากที่สุดในเกม (4 ครั้ง) เรียกได้ว่าแผงแบ็กโฟร์ของเจ้าบ้าน "ผีเข้า" เลยก็ว่าได้ เพราะรับมือเกมบุกของ แมนฯ ซิตี้ ได้ทั้งลูกโด่งและภาคพื้นดินอย่างสมบูรณ์แบบ


2. แท็กติก "ฟอลส์ ไนน์" ของเชลซี ได้ผลดีกว่า

อีกประเด็นที่น่าสนใจของเกมนี้ คือการที่ทั้ง เมาริซิโอ ซาร์รี่ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดทัพ 11 คนแรกด้วยการไม่ใช้กองหน้าอาชีพ ในระบบ 4-3-3 เหมือนกันเป๊ะ


ซาร์รี่ ที่ใช้ระบบ ฟอลส์ ไนน์ ได้อย่างยอดเยี่ยมกับ นาโปลี เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ใช้งาน เอแด็น อาซาร์ ยืนตรงกลางใน 3 ตัวบน โดยสตาร์ทีมชาติเบลเยียมรับบทตัวทำเกมรุก มากกว่าจะยืนปักหลักรอจบสกอร์ในเขตโทษ และมีผู้เล่นที่มีความคล่องตัวสูงทั้ง เปโดร โรดริเกซ และ วิลเลี่ยน สลับตำแหน่งกันตลอดบริเวณริมเส้น

ขณะที่ เป๊ป เลือกใช้งาน ราฮีม สเตอร์ลิง ซึ่งก่อนหน้านี้ผลงานสุดยอดในบทบาทตัวริมเส้น ยืนกองหน้าตัวเป้า ขนาบข้างด้วย ริยาด มาห์เรซ และ ลีรอย ซาเน่


ทว่าสิ่งที่แตกต่างกับ 3 ประสานแนวรุกของทัพสิงห์บลูส์ คือความเก่งกาจในการเก็บบอลไว้กับตัว และจ่ายต่อให้เพื่อนของ สเตอร์ลิง มีน้อยกว่า อาซาร์ แม้ปีกทีมชาติอังกฤษ จะมีความเร็วในการปั่นป่วนแนวรับเจ้าถิ่นมากกว่าก็ตาม

เช่นเดียวกับ 2 ตัวด้านกว้างอย่าง มาห์เรซ กับ ซาเน่ ก็ต่างคนต่างเล่นในตำแหน่งริมเส้นที่ได้รับมอบหมาย โดยเคลื่อนที่สลับฝั่งกันน้อยกว่า เปโดร และ วิลเลี่ยน ของ เชลซี

ซาเน่ ถูก อัซปิลิกวยต้า เอาอยู่จนต้องโดนเปลี่ยนตัวออกก่อนใครเพื่อน ขณะที่ มาห์เรซ ก็เป็นอีกคนที่เล่นไม่ออกเช่นกันในนัดนี้



3. เป๊ป อดใช้งาน 3 แข้งหลัก


จุดได้เปรียบอีกอย่างของ เชลซี ในเกมนี้ คือ เมาริซิโอ ซาร์รี่ มีผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดพร้อมใช้งานทุกตำแหน่ง แต่ทางด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องขาดทั้ง เบนฌาแม็ง เมนดี้, เควิน เดอ บรอยน์ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ต่างลงไม่ไหว เพราะมีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งหมด

ตำแหน่งแบ็กซ้ายที่อดใช้งาน เมนดี้ ทำให้ขาดทีเด็ดจากการครอสบอลอันตรายเข้าไปในช่วงที่ทีมเจาะไม่เข้า เท่านั้นไม่พอ ฟาเบียน เดลฟ์ ที่รับหน้าที่แทน ก็ทำผลงานได้น่าผิดหวังอีกต่างหาก

การขาด เดอ บรอยน์ ก็ทำให้ทีเด็ดในการผ่านบอลชี้เป็นชี้ตายในช่วงสำคัญขาดหายไป และที่สำคัญที่สุดก็คือ พอ "กุน อเกวโร่" ไม่พร้อมลงสนาม แล้ว กาเบรียล เชซุส ยังฟอร์มฝืดในเกมลีก พวกเขาก็ไม่มีตัวจบสกอร์ไว้ใจได้ในกรอบเขตโทษให้ใช้งาน ทำให้กองหลังของ เชลซี ป้องกันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ



4. เอแด็น อาซาร์


กัปตันทีมชาติเบลเยียม อาจจะยิงประตูให้ เชลซี ไม่ได้มานานถึง 8 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ แต่เขาก็ยังสร้างโอกาสให้เพื่อนลุ้นยิงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง 3 เกมหลังสุดในลีก เขาทำแอสซิสต์ได้ทุกนัด รวมถึงนัดนี้ที่ทำได้ 2 ลูกด้วย

อาซาร์ ที่รับบทบาท "ฟอลส์ ไนน์" ในนัดนี้ หาจังหวะจ่ายถวายพานให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เติมขึ้นมาซัดประตูแรก และเป็นคนเปิดลูกเตะมุมให้ ดาวิด ลุยซ์ สะบัดโขกย้ำชัย ทั้งที่นัดนี้เขาไม่มีจังหวะลุ้นทำประตูสักครั้ง เรียกได้ว่าทำได้ทุกอย่าง ที่จะช่วยเกมรุกของทีมจริงๆ

ถึงตอนนี้ เอแด็น อาซาร์ กลายเป็นผู้เล่นที่มีส่วนกับการได้ประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปแล้ว (15 ประตู) เมื่อยิงไปแล้ว 7 ประตู และทำไปอีก 8 แอสซิสต์



5. แข้งสิงห์ สวมหัวใจสิงห์หวังล้มแชมป์ให้ได้


ก่อนจะลงสนามนัดนี้ เชลซี เพิ่งพบกับความพ่ายแพ้แบบพลิกล็อคต่อ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ แถมฟอร์มในลีกช่วงหลังก็ไม่ได้เปรี้ยงเหมือนต้นซีซั่น

ทว่าความมุ่งมั่นของนักเตะสิงห์บลูส์ในเกมนี้ เหมือนกับว่าพวกเขารอดวลกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาตั้งแต่เปิดฤดูกาล นักเตะทุกคนมีสมาธิและวิ่งสู้ฟัดยิ่งกว่าทุกนัดที่ผ่านๆ มา เหมือนกับว่าพวกเขารู้ดีว่า ต้องเล่นด้วยฟอร์มพีคที่สุดเท่านั้น ถึงจะมีหวังล้มแชมป์เก่าที่แกร่งทั่วแผ่นให้ได้

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า หลังจากทีมเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้วด้วยการกวาด 100 แต้ม ทำให้ใครๆ ก็อยากเป็นทีมที่เอาชนะพวกเขาให้ได้ทั้งนั้น และ เชลซี ก็งัดพลังแฝงออกมา จนเป็นฝ่ายที่เล่นได้ดีกว่าเรือใบสีฟ้าจริงๆ ในเกมนี้

https://balltoro.com/6286
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่