ริชาร์ด จอลลี : ทำไม เอเดน อาร์ซา ถึงไม่สามารถทำในสิ่งที่ เมาริซิโอ ซาร์รี ต้องการได้?

บทความโดย ริชาร์ด จอลลี, FourFourTwo



เอเดน อาร์ซา เริ่มต้นฤดูกาลนี้ด้วยฟอร์มที่สุดยอด ซึ่งสวนทางกับ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่ออกสตาร์ทซีซั่นได้อย่างอย่างน่าผิดหวัง

เมาริซิโอ ซาร์รี เคยพูดถึงเรื่องตัวเลขไว้ว่า “เราเคยคุยกันไว้ และผมบอกกับ เอเดน ว่าฤดูกาลนี้เขาจะยิงประตูได้ถึง 40 ประตู” ผู้จัดการเชลซี กล่าวหลังจากที่ อาซาร์ ผ่านเป้าหมายที่เขาวางไว้ที่ 7.5% ไปแล้ว หลังจากการทำแฮตทริคของเขาในเกมที่พบกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ดูเหมือนว่าเป้าหมายในครั้งนี้ จะมีความเป็นไปได้สูง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้มิดฟิลด์ชาวเบลเยี่ยม จะยังไม่เคยทำประตูรวมได้ถึง 40 ประตูในสองซีซั่นติดต่อกัน อาซาร์ เคยทำประตูสูงสุดต่อฤดูกาลอยู่ที่ 19 ประตู ในฤดูกาล 2014-15 และแน่นอนว่าเกมในสุดสัปดาห์นี้ที่ เชลซี มีคิวเปิดบ้านพบกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งมีผู้เล่นที่เป็นต้นแบบ ในการทำลายขีดจำกัดของตัวเอง

เหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ ก่อนหน้านี้ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ก็เคยทำประตูสูงสุดต่อหนึ่งฤดูกาลอยู่ที่ 19 ประตู แต่ในซีซั่นที่แล้ว ซาล่าห์ มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และทำประตูรวมในทุกรายการไปถึง 44 ประตู



อาซาร์ ที่ยิงไปแล้ว 5 ประตูจากหลายๆ นัดที่ผ่านมา โดยเริ่มนับหนึ่งในเกมลีกนัดที่ 3 และประตูที่เฉือนเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในเกม ลีกคัพ ที่ผ่านมา ถือเป็นประตูที่ 6 ในฤดูกาลนี้ ถ้า อาซาร์ สามารถรักษาความฟิต และยืนระยะได้ตลอดทั้งซีซั่น คงไม่ใช่เรื่องยากจะทำลายสถิติ การทำประตูสูงสุดต่อหนึ่งฤดูกาลของสโมสรเชลซี ที่ทำไว้โดย จิมมี่ กรีฟส์ ที่จำนวน 43 ประตู เช่นเดียวกับ ซาล่าห์ ที่เกือบจะทำลายสถิติของ เอียน รัช ที่ 47 ประตู

แม้ว่าฟอร์มในช่วงแรกจะยังดูติดๆ ขัดๆ แต่มันก็มีหลายๆ เหตุผลที่จะทำให้เราเชื่อว่า อาซาร์ จะก้าวขึ้นไปในอีกระดับของนักฟุตบอล ช่วงอายุ 27 ปี ถือเป็นจุดพีคของนักฟุตบอลอาชีพ เขาสามารถยิงประตู และสร้างสรรค์โอกาสในการทำประตูได้ในทุกๆ แมตช์ ตั้งแต่รอบตัดเชือกฟุตบอลโลก จนมาหยุดในเกมที่พบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยกุนซือชาวอิตาเลียนผู้นี้ ก็มีรูปแบบการเล่นที่เน้นเกมรุกเป็นหลักอยู่แล้ว

สวรรค์ของอาซาร์

เอเดน อาซาร์ ถูกจำกัดบทบาทให้เล่นอย่างรัดกลุม โดยเฉพาะจังหวะสวนกลับ ทั้งในยุคของ โชเซ มูริญโญ และ อันโตนิโอ คอนเต้ ด้าน ซาร์รี ก็เคยพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นกันมาแล้ว กับการรีดประสิทธิภาพแนวรุกอย่าง กอนซาโล อิกวาอิน และ ดรีส์ เมอร์เทน ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และในทีมชุดปัจจุบัน อาซาร์ ก็มีศูนย์หน้าจอมป้อนอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เป็นตัวค้ำในแดนหน้า ขณะที่มือสังหารจุดโทษสุดเยือกเย็นอย่าง จอร์จิญโญ่ ก็ยอมหลีกทางให้ เอเดน เป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของทีม

‘ฤดูกาลของซาลาห์’ ในแท็คติกรูปแบบใหม่ มันดูจะเป็นเรื่องยากมากๆ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เอเดน อาซาร์, เปโดร โรดริเกวซ, วิลเลียน และเชสก์ ฟาเบรกัส ต่างยิงรวมกันได้ 40 ประตู ขณะที่ในประวัติศาสตร์ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก มีผู้เล่นที่ไม่ใช่ศูนย์หน้า ที่สามารถทำประตูในทุกรายการได้เกิน 40 ประตูเพียง 2 คนเท่านั้นคือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ คริสเตียโน โรนัลโด้ ที่ 42 ประตู ในฤดูกาล 2007-08



อดีตปีกชาวโปรตุกีส คือผู้เล่นคนแรกที่ไม่ใช่กองหน้า ที่ยิงประตูเฉพาะเกมลีกแตะหลัก 20 ประตูต่อหนึ่งฤดูกาล ในสมัยที่ยังค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การวางแผนของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่มีการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นจาก 4-4-2 มาเป็น 4-3-3 ซึ่งเป็นแผนที่เปิดโอกาสให้ตัวริมเส้น สามารถหุบเข้ามาทำประตูได้อย่างถล่มทลาย

ทั้ง คริสเตียโน โรนัลโด้ และ ลีโอเนล เมสซี ต่างก็ยิงก็ประตูกันจนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเล่นในแนวกว้าง-ลึก แต่อย่างที่ทุกคนพูดกัน เขาทั้งสองเป็นมากกว่า ‘คนธรรมดา’ ดังนั้นกรณีของ ซาลาห์ จึงถือเป็นเคสที่สุดยอด

เป้าหลอก

ระวังปีกที่กำลังจะวิ่งสอดขึ้นมา! - ผู้เล่นหมายเลข 10 ในบทบาท ‘False Nine’ หรือมิดฟิลด์ตัวจบสกอร์ ตัวอย่างที่จะทำให้คุณเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะ เนย์มาร์ สมัยที่อยู่กับบาร์เซโลนา ยิงประตูไปได้ถึง 39 ประตู, อเล็กซิส ซานเชส กับสถิติที่ดีที่สุดของเจ้าตัวอยู่ที่ 30 ประตู แต่ในรอบปีที่ผ่านมา อดีตเด็กเก่า อาร์เซนอล ได้รับบทบาทศูนย์หน้าซะเป็นส่วนใหญ่ ด้าน แกเร็ธ เบล 26 ประตู, อาร์เยน ร็อบเบน 23 ประตู, ฟรองซ์ ริเบรี 19 ประตู, ราฮีม สเตอร์ลิง 23 ประตู และ เดเล อัลลี 22 ประตู

แต่ถ้าย้อนกลับไปในยุคก่อนหน้านี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด ในช่วงพีคสุดๆ ยิงได้ 27 ประตู, โรนัลดิญโญ 26 ประตู, สตีเวน เจอร์ราร์ด 24 ประตู และ กาก้า 19 ประตู ยกเว้นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ ประจำฤดูกาล 2000-01 ริวัลโด้ ที่ยิงไปถึง 36 ประตู กลับมาที่ปัจจุบันทั้ง โธมัส มุลเลอร์ และ อองตวน กรีซมันน์ ต่างเป็นนักฟุตบอลที่มักจะเล่นในบทบาทตัวเป้า และมีทักษะการยิงประตูได้อย่างสุดยอดด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองก็ยังไม่เคยยิงถึง 32 ประตูในหนึ่งฤดูกาล



ถ้าสัญชาตญาณกองหน้า บวกกับความทะเยอทะยานที่มีอย่างเปี่ยมล้นคือ สิ่งที่ทำให้ ซาลาห์ ท็อปฟอร์มเมื่อปีที่แล้ว มันก็คงน่าสนใจไม่น้อยถ้า อาซาร์ จะมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น แต่ในเกมลีกนัดที่ผ่านมา เมื่อ อาซาร์ มีจังหวะที่สับไกได้ด้วยตัวเอง แต่เขากลับเลือกตอกส้นให้ อัลวาโร โมราต้า แม้ว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ผิด แต่มันก็นำมาซึ่งเสียงชื่นชมอย่างมากมาย

แต่การกระทำแบบนี้ มันไม่ใช่ความคิดของตัวจบสกอร์ สไตล์การเล่นของ อาซาร์ จำเป็นต้องมีลูกยิงที่แบบทุลักทุเลบ้าง เพื่อจะไปให้ถึงสิ่งที่ ซาร์รี คาดหวังจากตัวเขา กุนซือชาวอิตาเลียนออกอาการผิดหวังถึง 6 ครั้ง จากการที่ อาซาร์ ลงมาล้วงบอลในแดนตัวเอง ในเกมที่พบกับ คาร์ดิฟฟ์ เขาต้องการให้แนวรุกรายนี้เก็บพละกำลังไว้ใช้เล่นงานคู่ต่อสู้ ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของเกม

ในทางกลับกัน เมื่อซีซั่นที่แล้ว อาซาร์ มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถทำประตูคู่แข่งได้ถึง 7-8 เกมติดต่อกัน แต่นั้นยังไม่เลวร้ายเท่าในฤดูกาล 2015-16 ที่เขาเท้าบอดถึง 17 เกมติดต่อกัน และที่น่าแปลกใจแบบสุดๆ คือเขาไม่ได้ทำประตูในเกมลีก จากพื้นที่บริเวณกรอบ 6 หลามาแล้วถึง 27 เดือนเต็มๆ

ตัวเลข 40 ประตู จะไม่มีทางถึง หาก อาซาร์ ลืมที่จะยิงประตู และจำนวนประตูก็จะถูกจำกัดไว้ เพียงเพราะเขาเลือกที่จะส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมมากกว่า ถึงแม้ว่า ซาร์รี จะตั้งเป้าหมายในตอนแรกไว้ที่ 30-35 ประตู แต่ถ้าเป็น ซาลาห์ ที่ต้องการสร้างฤดูกาลที่น่าเหลือเชื่อ เขาก็ควรจะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทีม ที่ไม่ได้คิดชิงดีชิงเด่นมากเกินไปกว่าตัวเขา

แหล่งอ้างอิง : https://www.fourfourtwo.com/features/why-maurizio-sarri-has-set-eden-hazard-a-target-he-cant-reach
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่