หลังจากสัปดาห์ที่แล้วผมเล่าตอนแรกไปแล้วว่า ครอบครัวผมมีปัญหา ผมถูกส่งออกจากบ้านเดินทางไปกับหลวงน้าเพื่อไปอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัดสู่อ้อมกอด....
อีสานบ้านเฮา
เด็ก 5 ขวบ นั่งรถบขส.ไปกับพระสงฆ์หนึ่งรูป ออกจากเมืองหลวงที่วุ่นวายสู่ชนบทจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานที่เขาไม่คุ้นเคย และไม่เคยรู้จักมาก่อน นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตผม และเป็นครั้งที่สำคัญครั้งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมกับแม่ต้องห่างกัน ผมคิดว่าจุดนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ความผูกพันระหว่างผมกับแม่น้อยลง ระหว่างทางที่ผมนั่งรถไปต่างจังหวัด ผมรู้สึกโล่งสดชื่น สองข้างทางมีต้นไม้เขียวขจี อาจเป็นเพราะผมอยู่แต่ในบ้านเช่าที่กรุงเทพฯดูคับแคบ แออัด ไปไหนก็มีแต่รถ มีแต่ตึก ดูวุ่นวายหายใจไม่สะดวก พอมาเจอบรรยากาศแบบนี้ก็เลยมีความสุขสบายใจ คงเหมือนเด็กทุกคนที่ได้ออกไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยเจอ ผมนั่งมองข้างทางไปเรื่อยๆ ขณะที่รถวิ่งไป โดยไม่ได้คิดถึงแม่ หรือคิดถึงใครเลย และไม่ได้คิดว่าต่อแต่นี้ไปชีวิตตัวเองจะเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าผมไม่ได้ยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว ผมเดินทางมาถึงวัดในชนบทแห่งหนึ่งที่ห่างไกลความเจริญ บรรยายกาศเงียบสงบ ผมได้นอนหลับพักผ่อนที่วัดหนึ่งคืน เป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ที่ผมได้นอนที่วัด ผมรู้สึกสงบ อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย อาจเป็นเพราะเดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน ก็เลยรู้สึกหลับสบาย.....ยันเช้า
เช้าวันต่อมา ผมตื่นแต่เช้าตรู่ วันนี้พระที่วัดไม่ได้ออกไปบิณฑบาตร พระนั่งบนศาลาการเปรียญ ชาวบ้านเดินทางมาทำบุญกันที่วัด ผมนั่งต่ำกว่าพระแต่นั่งอยู่ใกล้หลวงน้า ชาวบ้านที่มาทำบุญส่วนใหญ่ก็จะรู้จักกันหมดทุกคน ทุกคนเหลียวมามองที่ผม คงรู้สึกว่าผมเป็นคนแปลกหน้า จึงถามหลวงน้า แต่สายตามองมาหาผม “เด็กน้อยคนนี่คือไผ คือบ่เคยเห็น บ่แมนคนบ้านเฮา ลูกเต้าผู้ได๋บักหล่า” ชาวบ้านพูดคุยกันเป็นภาษาอีสาน หมายถึง เด็กคนนี้เป็นใครหรือไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คงไม่ใช่คนหมู่บ้านเรา หนูเป็นลูกใครหรือลูก ผมก็นั่งอายไม่ชิน หลวงน้าก็เลยคุยกับญาติโยมว่า “หลานมาจากกรุงเทพฯเดี๋ยวจะพาไปฝากไว้กับตายาย”
หลังจากที่หลวงน้าเสร็จสิ้นภารกิจฉันเช้า หลวงน้าจึงพาผมเดินลัดทุ่งนาไปพบกับตายายที่อยู่อีกหมู่บ้าน ระยะทางห่างกัน 2 กิโลเมตร มันเป็นอะไรที่สนุกสุดๆ ผมเดินตามหลังหลวงน้าไปตามคันนา ในใจก็เริ่มคิดแล้วว่าตากับยายหน้าตาเป็นอย่างไร จะใจดีไหมนะ พอผมเดินไปถึงบ้านตายาย มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด ทุกสายตามองมาที่ผม ซึ่งผมไม่รู้จักใครสักคนเลย สายตาผมมองไปทั่วทุกคนแล้วคิดในใจว่าคนไหนนะที่เป็นตากับยายผม ทันใดนั้นหลวงน้าก็ชี้ไปที่ตากับยาย แล้วบอกผมไหว้พ่อตากับแม่ยายสิ คนที่นั้นจะเรียกแบบนี้ ผมเดินเข้าไปไหว้ท่านทั้งสองคน ท่านกอดและลูบหัวผม กอดแรกจากยายเป็นกอดที่ผมรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากๆ ถ้าคุณมีคนที่คุณรักอย่าลืมกอดเขาหรือเธอบ่อยๆมันเป็นการสร้างพลังชีวิตให้กันและกันที่ดีมากเลยครับ ส่วนพี่ป้าน้า อา ญาติๆของผมส่วนใหญ่บ้านจะติดกันทุกคนมารอเจอผม ดูอบอุ่นมีความเป็นครอบครัวใหญ่ดีมากเลยครับ รู้สึกเป็นคนสำคัญ555
สมัยนั้นบ้านของตายายเป็นศูนย์รวมจิตใจเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกๆหลานๆ จะเล่าถึงตายายของผมให้ฟังก่อน ท่านมีลูก 9 คน อาชีพคือเกษตรกร ทำนา เลี้ยงสัตว์ มีตั้งแต่ ควาย วัว ม้า หมู เป็ด ไก่ ปลา และมีหมาแสนรู้ 1ตัว สัตว์ใหญ่ที่เลี้ยงไว้ก็มีอย่างละตัวสองตัว เพื่อช่วยทำงานการเกษตร เพราะสมัย 30 ปีที่แล้วยังไม่ใช้เครื่องจักร ตายายจะปลูกผักไว้กินเอง ไม่ได้ร่ำรวย อยู่แบบพอเพียง สมัยนั้นการเกษตรของตายายจะไม่ใช้สารเคมีและไม่ใช้เครื่องจักรเลย ปุ๋ยก็จะใช้ขี้วัวขี้ควายนี่แหละครับ ธรรมชาติสุดๆไปเลย รู้จักตายายผมพอสมควรแล้ว กลับมาต่อเรื่องผมดีกว่า หลังจากไหว้ตายายเสร็จ แล้วผมก็เดินไหว้พี่ ป้า หลาน อา จนมืออ่อนเป็นนักการเมืองตอนหาเสียงเลยครับ555
จากนั้นลูกพี่ลูกน้องก็ชวนผมไปเล่นกันต่อตามประสาเด็กๆ แค่วันเดียวผมมีเพื่อนมากกว่าอยู่กรุงเทพฯเสียอีก ผมเล่นจนลืมความทุกข์จากกรุงเทพฯไปสนิทเลย เป็นเด็กก็ดีเหมือนกันนะครับลืมง่ายดีแค่เจออะไรที่ทำให้เราสนุกยิ้มได้ก็ลืมเศร้าแล้ว ด้วยความที่ตายายของผมมีลูกหลานเยอะเต็มหมู่บ้านไปหมด ผมจึงรู้สึกอบอุ่นเดินไปไหนก็เจอแต่ญาติครับในหมู่บ้านนี้555
พอใกล้ค่ำทุกคนกลับบ้าน ส่วนหลวงน้าผมก็กลับไปที่วัดตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ผมอาบน้ำจากโอ่งที่รองน้ำฝนไว้ รู้สึกเย็นฉ่ำสดชื่นมาก แต่งตัวเสร็จผมนั่งกินข้าวเย็นกับตายาย เราอยู่ 3 คนที่บ้านหลังนี้ อาหารทุกอย่างมื้อนี้จากธรรมชาติไม่ต้องซื้อเลย ทั้งข้าว ปลา ผัก มาจากนาข้าวของตายายหมด สะอาดปลอดสารเคมี การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ระบบการเกษตรปลอดสารพิษตายายผมทำมาตั้งแต่เกิด สมัยนี้หายากแล้วครับ ราคาแพงก็แพง เพราะเราเป็นผู้ซื้อไม่ได้ผลิตเอง ตายายนอนกันเร็วครับ พอมืดค่ำชนบทจะเงียบ 2-3 ทุ่มก็จะเข้านอนกัน ตาจะชอบเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอน ผมชอบมากเลย เท่าที่จำความได้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนเลย ผมฟังจนหลับไปอย่างมีความสุขในค่ำคืนแรกที่บ้านตายาย................
วันนี้เล่าแค่นี้ก่อนนะครับวันพุธหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อ....
ใกล้จันทร์
"รอแสงตะวันส่องมาที่ฉัน EP2" เรื่องเล่าจากชีวิตจริงของเด็กบ้านแตกสู่อาชีพที่มั่นคงมีครอบครัวที่อบอุ่น
อีสานบ้านเฮา
เด็ก 5 ขวบ นั่งรถบขส.ไปกับพระสงฆ์หนึ่งรูป ออกจากเมืองหลวงที่วุ่นวายสู่ชนบทจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานที่เขาไม่คุ้นเคย และไม่เคยรู้จักมาก่อน นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตผม และเป็นครั้งที่สำคัญครั้งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมกับแม่ต้องห่างกัน ผมคิดว่าจุดนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ความผูกพันระหว่างผมกับแม่น้อยลง ระหว่างทางที่ผมนั่งรถไปต่างจังหวัด ผมรู้สึกโล่งสดชื่น สองข้างทางมีต้นไม้เขียวขจี อาจเป็นเพราะผมอยู่แต่ในบ้านเช่าที่กรุงเทพฯดูคับแคบ แออัด ไปไหนก็มีแต่รถ มีแต่ตึก ดูวุ่นวายหายใจไม่สะดวก พอมาเจอบรรยากาศแบบนี้ก็เลยมีความสุขสบายใจ คงเหมือนเด็กทุกคนที่ได้ออกไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยเจอ ผมนั่งมองข้างทางไปเรื่อยๆ ขณะที่รถวิ่งไป โดยไม่ได้คิดถึงแม่ หรือคิดถึงใครเลย และไม่ได้คิดว่าต่อแต่นี้ไปชีวิตตัวเองจะเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าผมไม่ได้ยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว ผมเดินทางมาถึงวัดในชนบทแห่งหนึ่งที่ห่างไกลความเจริญ บรรยายกาศเงียบสงบ ผมได้นอนหลับพักผ่อนที่วัดหนึ่งคืน เป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ที่ผมได้นอนที่วัด ผมรู้สึกสงบ อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย อาจเป็นเพราะเดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน ก็เลยรู้สึกหลับสบาย.....ยันเช้า
เช้าวันต่อมา ผมตื่นแต่เช้าตรู่ วันนี้พระที่วัดไม่ได้ออกไปบิณฑบาตร พระนั่งบนศาลาการเปรียญ ชาวบ้านเดินทางมาทำบุญกันที่วัด ผมนั่งต่ำกว่าพระแต่นั่งอยู่ใกล้หลวงน้า ชาวบ้านที่มาทำบุญส่วนใหญ่ก็จะรู้จักกันหมดทุกคน ทุกคนเหลียวมามองที่ผม คงรู้สึกว่าผมเป็นคนแปลกหน้า จึงถามหลวงน้า แต่สายตามองมาหาผม “เด็กน้อยคนนี่คือไผ คือบ่เคยเห็น บ่แมนคนบ้านเฮา ลูกเต้าผู้ได๋บักหล่า” ชาวบ้านพูดคุยกันเป็นภาษาอีสาน หมายถึง เด็กคนนี้เป็นใครหรือไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คงไม่ใช่คนหมู่บ้านเรา หนูเป็นลูกใครหรือลูก ผมก็นั่งอายไม่ชิน หลวงน้าก็เลยคุยกับญาติโยมว่า “หลานมาจากกรุงเทพฯเดี๋ยวจะพาไปฝากไว้กับตายาย”
หลังจากที่หลวงน้าเสร็จสิ้นภารกิจฉันเช้า หลวงน้าจึงพาผมเดินลัดทุ่งนาไปพบกับตายายที่อยู่อีกหมู่บ้าน ระยะทางห่างกัน 2 กิโลเมตร มันเป็นอะไรที่สนุกสุดๆ ผมเดินตามหลังหลวงน้าไปตามคันนา ในใจก็เริ่มคิดแล้วว่าตากับยายหน้าตาเป็นอย่างไร จะใจดีไหมนะ พอผมเดินไปถึงบ้านตายาย มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด ทุกสายตามองมาที่ผม ซึ่งผมไม่รู้จักใครสักคนเลย สายตาผมมองไปทั่วทุกคนแล้วคิดในใจว่าคนไหนนะที่เป็นตากับยายผม ทันใดนั้นหลวงน้าก็ชี้ไปที่ตากับยาย แล้วบอกผมไหว้พ่อตากับแม่ยายสิ คนที่นั้นจะเรียกแบบนี้ ผมเดินเข้าไปไหว้ท่านทั้งสองคน ท่านกอดและลูบหัวผม กอดแรกจากยายเป็นกอดที่ผมรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากๆ ถ้าคุณมีคนที่คุณรักอย่าลืมกอดเขาหรือเธอบ่อยๆมันเป็นการสร้างพลังชีวิตให้กันและกันที่ดีมากเลยครับ ส่วนพี่ป้าน้า อา ญาติๆของผมส่วนใหญ่บ้านจะติดกันทุกคนมารอเจอผม ดูอบอุ่นมีความเป็นครอบครัวใหญ่ดีมากเลยครับ รู้สึกเป็นคนสำคัญ555
สมัยนั้นบ้านของตายายเป็นศูนย์รวมจิตใจเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกๆหลานๆ จะเล่าถึงตายายของผมให้ฟังก่อน ท่านมีลูก 9 คน อาชีพคือเกษตรกร ทำนา เลี้ยงสัตว์ มีตั้งแต่ ควาย วัว ม้า หมู เป็ด ไก่ ปลา และมีหมาแสนรู้ 1ตัว สัตว์ใหญ่ที่เลี้ยงไว้ก็มีอย่างละตัวสองตัว เพื่อช่วยทำงานการเกษตร เพราะสมัย 30 ปีที่แล้วยังไม่ใช้เครื่องจักร ตายายจะปลูกผักไว้กินเอง ไม่ได้ร่ำรวย อยู่แบบพอเพียง สมัยนั้นการเกษตรของตายายจะไม่ใช้สารเคมีและไม่ใช้เครื่องจักรเลย ปุ๋ยก็จะใช้ขี้วัวขี้ควายนี่แหละครับ ธรรมชาติสุดๆไปเลย รู้จักตายายผมพอสมควรแล้ว กลับมาต่อเรื่องผมดีกว่า หลังจากไหว้ตายายเสร็จ แล้วผมก็เดินไหว้พี่ ป้า หลาน อา จนมืออ่อนเป็นนักการเมืองตอนหาเสียงเลยครับ555
จากนั้นลูกพี่ลูกน้องก็ชวนผมไปเล่นกันต่อตามประสาเด็กๆ แค่วันเดียวผมมีเพื่อนมากกว่าอยู่กรุงเทพฯเสียอีก ผมเล่นจนลืมความทุกข์จากกรุงเทพฯไปสนิทเลย เป็นเด็กก็ดีเหมือนกันนะครับลืมง่ายดีแค่เจออะไรที่ทำให้เราสนุกยิ้มได้ก็ลืมเศร้าแล้ว ด้วยความที่ตายายของผมมีลูกหลานเยอะเต็มหมู่บ้านไปหมด ผมจึงรู้สึกอบอุ่นเดินไปไหนก็เจอแต่ญาติครับในหมู่บ้านนี้555
พอใกล้ค่ำทุกคนกลับบ้าน ส่วนหลวงน้าผมก็กลับไปที่วัดตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ผมอาบน้ำจากโอ่งที่รองน้ำฝนไว้ รู้สึกเย็นฉ่ำสดชื่นมาก แต่งตัวเสร็จผมนั่งกินข้าวเย็นกับตายาย เราอยู่ 3 คนที่บ้านหลังนี้ อาหารทุกอย่างมื้อนี้จากธรรมชาติไม่ต้องซื้อเลย ทั้งข้าว ปลา ผัก มาจากนาข้าวของตายายหมด สะอาดปลอดสารเคมี การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ระบบการเกษตรปลอดสารพิษตายายผมทำมาตั้งแต่เกิด สมัยนี้หายากแล้วครับ ราคาแพงก็แพง เพราะเราเป็นผู้ซื้อไม่ได้ผลิตเอง ตายายนอนกันเร็วครับ พอมืดค่ำชนบทจะเงียบ 2-3 ทุ่มก็จะเข้านอนกัน ตาจะชอบเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอน ผมชอบมากเลย เท่าที่จำความได้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนเลย ผมฟังจนหลับไปอย่างมีความสุขในค่ำคืนแรกที่บ้านตายาย................
วันนี้เล่าแค่นี้ก่อนนะครับวันพุธหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อ....
ใกล้จันทร์