ถ้าให้พูดถึงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ประกอบกับความดูดีมีสไตล์ในกลุ่มสมาร์ทโฟน แบรนด์แรกที่อุ้มนึกถึง ก็คงจะไม่พ้น Apple อย่างแน่นอนค่ะ และถ้ามองไปถึงสินค้าเครื่องดูดฝุ่น แบรนด์ Dyson ก็สามารถทำให้อุ้มรู้สึกในแบบเดียวกัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ใช้งาน
กับแนวคิดที่ไม่เหมือนใครของ James Dyson วิศวกรชาวอังกฤษ ในการคิดค้นและพัฒนาเครื่องดูดฝุ่นให้มีความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ และเหนือสิ่งอื่นใด เครื่องดูดฝุ่นที่เค้าคิดค้นนี้ จะต้องใช้งานได้ยาวนาน ไม่พังง่ายๆ แถมยังต้องดูดีอีกด้วย
วันนี้อุ้มเลยขอเอาไฮไลต์สำคัญ อย่าง Dyson Clyclone V10 เครื่องดูดฝุ่นด้ามจับไร้สาย รุ่นใหม่ล่าสุด มารีวิวให้ชมกันค่ะ ถึงที่บ้านอุ้มจะมี V8 อยู่แล้ว แต่การป้ายยาตัวเอง ก็ทำให้อยากอัพเกรดซะเหลือเกิน 555
ดูดดีมั้ย แรงมั้ย?
คำถามสำคัญที่สุด ในการซื้อเครื่องดูดฝุ่นสักเครื่องนึง คงไม่พ้นคำถามนี้นะคะ อุ้มจะพยายามอธิบายให้ง่ายที่สุด จะได้เห็นภาพไปพร้อมๆกันนะคะ
ทุกครั้งที่เรากดปุ่มเปิด ดิจิตอลมอเตอร์ V10 พร้อมทั้งเทคโนโลยี Cyclone และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน จะทำงานไปพร้อมๆกัน โดยจุดสำคัญที่สุด จะอยู่ที่ตัวดิจิตอลมอเตอร์ V10 นี่ละค่ะ ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่หมุนได้ถึง 125,000 รอบต่อนาที
ส่วนเทคโนโลยี Cyclone จะมีทั้งหมด 14 ตัวรอบแกนกลาง เคลื่อนที่ได้เร็วถึง 120 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงถึง 79,000G เพื่อแยกเอาฝุ่น และอนุภาคขนาดเล็ก ออกจากอากาศอีกด้วย
ซึ่งจากคุณสมบัติดังกล่าว การแยกฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกออกจากกระแสลมได้ ทำให้เครื่องดูดฝุ่นตัวนี้มีประสิทธิภาพคงที่ ไม่สูญเสียพลังในการดูด ต่างจากเครื่องดูดฝุ่นไซโคลนแบบอื่นๆ ที่ประสิทธิภาพพลังดูดลดลง เนื่องจากไม่สามารถแยกฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกออกจากกระแสลมได้ ทำให้ไหลรวมกันอยู่ที่ตัวกรองที่ดูดกระแสลมออกจากมอเตอร์
และถ้าถามว่าความแรงขนาดนี้ สามารถดูดอะไรได้บ้าง มันจะสามารถดูดได้ทั้ง เศษผงขนาดใหญ่ ฝุ่นผงขนาดเล็ก รวมทั้งอนุภาคขนาดเล็ก ที่มักจะก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้และแบคทีเรียต่างๆ ซึ่งอนุภาคพวกนี้ เราจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เจ้า Dyson V10 จะดักจับได้ถึง 99.97% ของฝุ่นขนาดเล็กสุดๆถึง 0.3 ไมครอน แถมยังปรับความแรงของการดูด ได้ถึง 3 ระดับ จากเดิมที่ปรับได้เพียง 2 ระดับเท่านั้นอีกด้วย
หนักมั้ย เปลี่ยนหัวยากรึเปล่า?
อีกปัญหาที่คนมักจะกลัว การใช้เครื่องดูดฝุ่นแบบด้ามจับ คงจะเกิดจากน้ำหนักของมันนั่นแหละค่ะ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะ Dyson V10 หนักเพียง 2.68 กก.เท่านั้น โดยในกล่อง จะมากับหัวดูดหลากหลายแบบ ให้เข้ากับการใช้งานของเรา โดยจะมี 2 หัวหลักคือ Soft Roller และ Direct-drive Cleaner และมีอุปกรณ์อื่นอีก 4 ชิ้นคือ Mini Soft Dusting Brush, Mini Motorised Head, Combination Tool และ Crevice Tool
การใช้งานจริง เพียงแค่เราเอาหัวดูดแบบที่เราต้องการ เสียบเข้าล็อคกับตัว V10 ให้เรียบร้อย กดเปิดเครื่อง แล้วกดปุ่มทำความสะอาดค้างไว้ เท่านี้ตัวเครื่องก็จะทำการดูดทันที โดยจะมีด้ามจับถอดได้มาให้ด้วยนะคะ เหมาะสำหรับทำความสะอาดพื้นบ้าน จนไปถึงเพดานเลยทีเดียว
หัวดูดที่อุ้มชอบ จะมีสองตัว คือแบบ Direct-drive มีมอเตอร์ในตัว ช่วยทำความสะอาดพรมได้เป็นอย่างดี กับอีกหัวนึงคือ หัวดูดแบบลูกกลิ้งนุ่ม ที่จะช่วยดูดทั้งฝุ่นผงขนาดใหญ่และเล็กพร้อมๆกัน
เท่าที่อุ้มใช้งานมา น้ำหนักของ Dyson V10 ไม่เป็นปัญหาต่อการใช้งานจริง และความบาลานซ์ของตัวเครื่อง ก็ทำให้เราถือได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เทผงยากมั้ย?
อุ้มขอเล่านวัตกรรมอันนึงใน Dyson V10 เค้าใช้ชื่อว่า การพัฒนาแบบเส้นตรง โดยจะวางเอาไซโคลนและถังเก็บฝุ่นเป็นเส้นตรง ทำให้การทิ้งเศษฝุ่น จะเป็นการทิ้งแบบเทลงถังทันทีในขั้นตอนเดียว
โดยเราสามารถดึงสลักลง และฝุ่นผงทั้งหมด จะตกลงไปในถังขยะเลย ไม่ต้องเปื้อนมือ ไม่ต้องจับ ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น เทมันลงไปเลยจ้า ทิ้งง่ายดีแท้
ชาร์จครั้งนึง ใช้ได้นานมั้ย?
จากตัวเลขอ้างอิง เจ้า V10 จะใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 60 นาที เมื่อใช้งานในโหมด1 โดยจะใช้ชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 525 วัตต์ แบบเจ็ดเซลล์ และถ้าหากไม่ได้ใช้งานต่อเนื่องแล้ว ก็จะอยู่ได้นานกว่านั้นนะคะ ในกล่องจะมีแท่นวางติดผนังมาให้ด้วย สำหรับคนที่อยากแขวนพร้อมชาร์จตอนเก็บ จะสะดวกกว่าเสียบชาร์จเองนะคะ
ทนมั้ย ต้องเปลี่ยนบ่อยๆรึเปล่า?
อันนี้ขอเทียบจากการใช้ V8 ทุกวันมาเกือบตลอด 6 เดือน ถึงทุกวันนี้เจ้า V8 ยังใช้งานได้ดี ไม่มีความรู้สึกว่าดูดเบาขึ้น หรือมีปัญหาแต่อย่างใด และคิดว่าการใช้งาน Dyson V10 คงจะได้ประสบการณ์ที่ดีเหมือนตอนใช้ V8 นะคะ
แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาจาก V8 อย่างชัดเจน คือความคงที่ของการดูด แรงดูดจะไม่มีการตก แม้ว่าจะดูดต่อเนื่องด้วยระยะเวลานาน ทาง Dyson เองยังมีการรับประกันให้อีก 2 ปี ทำให้เราสบายใจได้ว่า ของ Dyson ใช้แล้ว ไม่ค่อยมีปัญหามากวนใจอย่างแน่นอน
วันนี้ อุ้มขอฝาก รีวิว Dyson Cyclone V10 ไว้เพียงเท่านี้ บอกตามตรงเลยว่า ตั้งแต่ใช้เครื่องดูดฝุ่นมา เครื่องดูดฝุ่นไร้สายจาก Dyson เป็นอะไรที่ตอบโจทย์คนวัยทำงาน ที่มีแมวเยอะแยะมากมาย ที่เป็นภูมิแพ้ และที่มีครอบครัว มีลูกเล็กสุดๆ ซึ่งเราจะใช้ Dyson V10 ในการดูดฝุ่นด้วยตัวเอง ตั้งแต่เศษผงเล็กๆ จนไปถึงขนของสัตว์เลี้ยงที่กระจายอยู่เต็มบ้านจนหมดสิ้น ต้องใช้คำว่า ลงทุนครั้งเดียว คุ้มไปอีกยาวๆ และถ้าต้องซื้อใหม่ อุ้มก็คงเลือก Dyson อีกเหมือนเดิมนั่นหละค่ะ แล้วพบกันใหม่เร็วๆนี้ สวัสดีค่า
[BR] รีวิว Dyson Cyclone V10 | เครื่องดูดฝุ่นด้ามจับไร้สายแห่งยุค
ถ้าให้พูดถึงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ประกอบกับความดูดีมีสไตล์ในกลุ่มสมาร์ทโฟน แบรนด์แรกที่อุ้มนึกถึง ก็คงจะไม่พ้น Apple อย่างแน่นอนค่ะ และถ้ามองไปถึงสินค้าเครื่องดูดฝุ่น แบรนด์ Dyson ก็สามารถทำให้อุ้มรู้สึกในแบบเดียวกัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ใช้งาน
กับแนวคิดที่ไม่เหมือนใครของ James Dyson วิศวกรชาวอังกฤษ ในการคิดค้นและพัฒนาเครื่องดูดฝุ่นให้มีความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ และเหนือสิ่งอื่นใด เครื่องดูดฝุ่นที่เค้าคิดค้นนี้ จะต้องใช้งานได้ยาวนาน ไม่พังง่ายๆ แถมยังต้องดูดีอีกด้วย
วันนี้อุ้มเลยขอเอาไฮไลต์สำคัญ อย่าง Dyson Clyclone V10 เครื่องดูดฝุ่นด้ามจับไร้สาย รุ่นใหม่ล่าสุด มารีวิวให้ชมกันค่ะ ถึงที่บ้านอุ้มจะมี V8 อยู่แล้ว แต่การป้ายยาตัวเอง ก็ทำให้อยากอัพเกรดซะเหลือเกิน 555
ดูดดีมั้ย แรงมั้ย?
คำถามสำคัญที่สุด ในการซื้อเครื่องดูดฝุ่นสักเครื่องนึง คงไม่พ้นคำถามนี้นะคะ อุ้มจะพยายามอธิบายให้ง่ายที่สุด จะได้เห็นภาพไปพร้อมๆกันนะคะ
ทุกครั้งที่เรากดปุ่มเปิด ดิจิตอลมอเตอร์ V10 พร้อมทั้งเทคโนโลยี Cyclone และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน จะทำงานไปพร้อมๆกัน โดยจุดสำคัญที่สุด จะอยู่ที่ตัวดิจิตอลมอเตอร์ V10 นี่ละค่ะ ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่หมุนได้ถึง 125,000 รอบต่อนาที
ส่วนเทคโนโลยี Cyclone จะมีทั้งหมด 14 ตัวรอบแกนกลาง เคลื่อนที่ได้เร็วถึง 120 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงถึง 79,000G เพื่อแยกเอาฝุ่น และอนุภาคขนาดเล็ก ออกจากอากาศอีกด้วย
ซึ่งจากคุณสมบัติดังกล่าว การแยกฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกออกจากกระแสลมได้ ทำให้เครื่องดูดฝุ่นตัวนี้มีประสิทธิภาพคงที่ ไม่สูญเสียพลังในการดูด ต่างจากเครื่องดูดฝุ่นไซโคลนแบบอื่นๆ ที่ประสิทธิภาพพลังดูดลดลง เนื่องจากไม่สามารถแยกฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกออกจากกระแสลมได้ ทำให้ไหลรวมกันอยู่ที่ตัวกรองที่ดูดกระแสลมออกจากมอเตอร์
และถ้าถามว่าความแรงขนาดนี้ สามารถดูดอะไรได้บ้าง มันจะสามารถดูดได้ทั้ง เศษผงขนาดใหญ่ ฝุ่นผงขนาดเล็ก รวมทั้งอนุภาคขนาดเล็ก ที่มักจะก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้และแบคทีเรียต่างๆ ซึ่งอนุภาคพวกนี้ เราจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เจ้า Dyson V10 จะดักจับได้ถึง 99.97% ของฝุ่นขนาดเล็กสุดๆถึง 0.3 ไมครอน แถมยังปรับความแรงของการดูด ได้ถึง 3 ระดับ จากเดิมที่ปรับได้เพียง 2 ระดับเท่านั้นอีกด้วย
หนักมั้ย เปลี่ยนหัวยากรึเปล่า?
อีกปัญหาที่คนมักจะกลัว การใช้เครื่องดูดฝุ่นแบบด้ามจับ คงจะเกิดจากน้ำหนักของมันนั่นแหละค่ะ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะ Dyson V10 หนักเพียง 2.68 กก.เท่านั้น โดยในกล่อง จะมากับหัวดูดหลากหลายแบบ ให้เข้ากับการใช้งานของเรา โดยจะมี 2 หัวหลักคือ Soft Roller และ Direct-drive Cleaner และมีอุปกรณ์อื่นอีก 4 ชิ้นคือ Mini Soft Dusting Brush, Mini Motorised Head, Combination Tool และ Crevice Tool
การใช้งานจริง เพียงแค่เราเอาหัวดูดแบบที่เราต้องการ เสียบเข้าล็อคกับตัว V10 ให้เรียบร้อย กดเปิดเครื่อง แล้วกดปุ่มทำความสะอาดค้างไว้ เท่านี้ตัวเครื่องก็จะทำการดูดทันที โดยจะมีด้ามจับถอดได้มาให้ด้วยนะคะ เหมาะสำหรับทำความสะอาดพื้นบ้าน จนไปถึงเพดานเลยทีเดียว
หัวดูดที่อุ้มชอบ จะมีสองตัว คือแบบ Direct-drive มีมอเตอร์ในตัว ช่วยทำความสะอาดพรมได้เป็นอย่างดี กับอีกหัวนึงคือ หัวดูดแบบลูกกลิ้งนุ่ม ที่จะช่วยดูดทั้งฝุ่นผงขนาดใหญ่และเล็กพร้อมๆกัน
เท่าที่อุ้มใช้งานมา น้ำหนักของ Dyson V10 ไม่เป็นปัญหาต่อการใช้งานจริง และความบาลานซ์ของตัวเครื่อง ก็ทำให้เราถือได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เทผงยากมั้ย?
อุ้มขอเล่านวัตกรรมอันนึงใน Dyson V10 เค้าใช้ชื่อว่า การพัฒนาแบบเส้นตรง โดยจะวางเอาไซโคลนและถังเก็บฝุ่นเป็นเส้นตรง ทำให้การทิ้งเศษฝุ่น จะเป็นการทิ้งแบบเทลงถังทันทีในขั้นตอนเดียว
โดยเราสามารถดึงสลักลง และฝุ่นผงทั้งหมด จะตกลงไปในถังขยะเลย ไม่ต้องเปื้อนมือ ไม่ต้องจับ ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น เทมันลงไปเลยจ้า ทิ้งง่ายดีแท้
ชาร์จครั้งนึง ใช้ได้นานมั้ย?
จากตัวเลขอ้างอิง เจ้า V10 จะใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 60 นาที เมื่อใช้งานในโหมด1 โดยจะใช้ชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 525 วัตต์ แบบเจ็ดเซลล์ และถ้าหากไม่ได้ใช้งานต่อเนื่องแล้ว ก็จะอยู่ได้นานกว่านั้นนะคะ ในกล่องจะมีแท่นวางติดผนังมาให้ด้วย สำหรับคนที่อยากแขวนพร้อมชาร์จตอนเก็บ จะสะดวกกว่าเสียบชาร์จเองนะคะ
ทนมั้ย ต้องเปลี่ยนบ่อยๆรึเปล่า?
อันนี้ขอเทียบจากการใช้ V8 ทุกวันมาเกือบตลอด 6 เดือน ถึงทุกวันนี้เจ้า V8 ยังใช้งานได้ดี ไม่มีความรู้สึกว่าดูดเบาขึ้น หรือมีปัญหาแต่อย่างใด และคิดว่าการใช้งาน Dyson V10 คงจะได้ประสบการณ์ที่ดีเหมือนตอนใช้ V8 นะคะ
แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาจาก V8 อย่างชัดเจน คือความคงที่ของการดูด แรงดูดจะไม่มีการตก แม้ว่าจะดูดต่อเนื่องด้วยระยะเวลานาน ทาง Dyson เองยังมีการรับประกันให้อีก 2 ปี ทำให้เราสบายใจได้ว่า ของ Dyson ใช้แล้ว ไม่ค่อยมีปัญหามากวนใจอย่างแน่นอน
วันนี้ อุ้มขอฝาก รีวิว Dyson Cyclone V10 ไว้เพียงเท่านี้ บอกตามตรงเลยว่า ตั้งแต่ใช้เครื่องดูดฝุ่นมา เครื่องดูดฝุ่นไร้สายจาก Dyson เป็นอะไรที่ตอบโจทย์คนวัยทำงาน ที่มีแมวเยอะแยะมากมาย ที่เป็นภูมิแพ้ และที่มีครอบครัว มีลูกเล็กสุดๆ ซึ่งเราจะใช้ Dyson V10 ในการดูดฝุ่นด้วยตัวเอง ตั้งแต่เศษผงเล็กๆ จนไปถึงขนของสัตว์เลี้ยงที่กระจายอยู่เต็มบ้านจนหมดสิ้น ต้องใช้คำว่า ลงทุนครั้งเดียว คุ้มไปอีกยาวๆ และถ้าต้องซื้อใหม่ อุ้มก็คงเลือก Dyson อีกเหมือนเดิมนั่นหละค่ะ แล้วพบกันใหม่เร็วๆนี้ สวัสดีค่า
BR - Business Review : กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวจากผู้สนับสนุน