โช๊ค รู้ก่อนพัง ! คนใช้รถต้องดู-รู้ก่อนเสียเงินซ่อม
คำถามในหัว??? โช๊คอัพ มีกี่แบบ,เลือกยังไงดี,เช็คยังไงว่าเสีย,ซ่อมหรือเปลี่ยนดี...?
อ่านฉบับเต็ม >
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://bit.ly/2QqRxs9
สวัสดีชาว Pantip ที่ใช้รถทุกท่านครับ ตัวผมเองใช้รถมาประมาณ 2-3 ปี แต่ส่วนใหญ่มักจะดูแลรถแค่การไป ล้าง อัด ฉีดในวันหยุดเท่านั้น บางครั้งละเลยระบบต่างๆที่สำคัญนั่นคือ "ระบบช่วงล่าง" ที่นอกจากจะช่วยเรื่องความนุ่มนวลแล้ว เรารู้กันหรือไม่ครับ? อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนหลายครั้ง เป็นเพราะระบบช่วงล่างของรถมีปัญหา ฉะนั้นอีกความสำคัญหนึ่งของ โช๊ค คือยึดรถกับผิวถนนและ ช่วยเรื่องการทรงตัวของรถนั่นเอง
หลายเดือนมานี้หาข้อสรุปเกี่ยวกับ โช๊ค มามากมายทั้งไทยและเทศ (ส่วนใหญ่จะ ตปท.)
วันนี้เลยจะมาแชร์+เคลียข้อสงสัยให้ได้ทราบกัน เรียกได้ว่าเมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว “ต้องอยากรีบกลับไปเช็ครถของเรากันเลยที่เดียว”
โช๊คอัพโดยทั่วไปอาจจะมีหลากหลายชนิด แต่หลักการทำงานไม่แตกต่างกันนัก ซึ่งลักษณะการทำงานในปัจจุบัน มีอยู่ 2 จังหวะ คือ จังหวะยืด และ จังหวะยุบ พูดง่ายๆว่า ในขณะขับขี่ช่วงล่างจะคอยผ่อนแรงขณะยุบและยืดตัวอยู่ตลอดเวลา ช่วยป้องกันไม่ให้ขณะเบรคกระทันหันแล้วหน้ารถทิ่มลง
โช๊ค มีกี่แบบ
เราอาจเคยได้ยิน แบบเดิมๆ กับ แบบแต่ง ก็อาจมีคำถามสำหรับคนที่ใช้รถทั่วๆไปอย่างเราๆว่ามีด้วยหรือ? แล้วที่ว่าแบบเดิมกับแต่ง ต่างกันยังไง? แล้วจำเป็นต้องเปลี่ยนไหม ? ก็จะบอกแบบนี้ครับว่าอาจจะไม่จำเป็นในกรณีที่ท่านขับขี่บนท้องถนนในเมือง ซึ่งแบบแต่งนั้นจะนิยมในกลุ่มนักแต่งรถยนต์ หรือนักแข่งสายซิ่งที่ต้องการเพิ่มสมรรถนะของรถในการขับขี่ การยึดเกาะถนน อย่างนั้นมาดูกันว่าของเดิมๆ มีกี่แบบ
1. ชนิดกระบอกเดี่ยว (Mono Tube)
ลักษณะของกระบอก จะเป็นชิ้นเดียวตามชื่อ แต่แบบเดี่ยวนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้วัสดุที่มีความแข็งแรง-ทนทานสูง สามารถรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี หากตัวกระบอกไม่แข็งแรงพอ แน่นอนว่าจะมีปัญหาในการรับแรงจากรถทั้งคันรวมถึงแรงจากพื้นขณะขับขี่ อาจทำให้กระบอกเบี้ยวผิดรูป แต่แค่ทนทานอย่างเดียวก็คงจะไม่พอ วัสดุที่ใช้ผลิตยังต้องมีน้ำหนักเบาอีกด้วย จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักซิ่ง นักแต่งรถ จึงทำให้มีราคาแพงกว่าแบบอื่น
2. ชนิดกระบอกคู่ (Twin Tube)
เป็นแบบที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป ที่เรียกว่ากระบอกคู่ ก็เพราะว่าด้านในเป็นกระบอกสองชั้น (มีการทำงานของกระบอกที่ซับซ้อนกว่าแบบ Mono Tube พอสมควร) กระบอกด้านในทำหน้าที่เป็น “กระบอกสูบ” ซึ่งมีน้ำมันที่ออกแบบมาเป็นพิเศษบรรจุไว้ด้านใน ส่วนช่องว่างด้านนอก จะเป็น “ช่องสำรองน้ำมัน”
แบ่งเป็นอีก 2 แบบ คือ แบบน้ำมันอย่างเดียวเรียก
“ชนิดกระบอกคู่-แบบน้ำมัน” จะมีน้ำมันบรรจุประมาณ 2 ใน 3 ที่เหลือจะเป็นอากาศ การที่บรรจุน้ำมันในปริมาณที่มากช่วยในเรื่องการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล อีกชนิดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ
"ชนิดกระบอกคู่-แบบแก๊ส” ก็จะบรรจุ “แก๊ส” ไว้ในช่องน้ำมันสำรองนี้ด้วย โดย"แก๊ส"นี้จะช่วยในการตอบสนองที่รวดเร็วทั้งการคืนตัวเร็ว-ยุบตัวช้า แต่จะมีความแข็งมากกว่าแบบน้ำมัน (แก๊สพยายามดันสู้ตลอดเวลา) ก็ได้เรื่องการเกาะถนนที่ดี ลดอาการโคลงตัว แต่ความนุ่มนวลก็จะน้อยลงกว่าแบบน้ำมัน
สรุปจุดเด่นของ ชนิดกระบอกคู่ คือ ต้นทุนการผลิตถูกกว่า ตัววัสดุไม่จำเป็นต้องทนทานเหมือน ชนิดกระบอกเดี่ยว เพราะกระบอกสูบจริงๆ นั้นอยู่ด้านใน ด้านนอกเป็นช่องน้ำมันสำรอง จึงไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องความแข็งแรง ทำให้ราคาไม่สูงมาก จึงได้รับความนิยมและใช้กันอยู่ทั่วไป
โช๊คอัพ รถยนต์ แถมสำหรับคนที่สนใจ โช๊ค แบบแต่ง ณ ตอนนี้ จะแบ่งเป็น 3 แบบ
1.ชนิดปรับความสูงไม่ได้
ลักษณะเหมือนของเดิมๆที่ติดมากับรถ เพียงแต่มีการพัฒนาให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้น หนึบแน่นยึดเกาะผิวถนนได้ดีขึ้น ซึ่งสังเกตว่าจะไม่สามารถปรับความสูงได้ เบ้าสปริงจะมีขนาดใหญ่เท่าของเดิมที่ผลิตจากโรงงาน เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบความหนึบโดยเฉพาะ และพอใจกับระดับความสูงจากพื้นของตัวรถ ไม่ต้องการให้โหลดหรือยกสูงมากไป
2.ชนิดสตรัทปรับเกลียว
ได้รับความนิยมพอสมควร บริเวณเบ้าสปริงสามารถปรับให้สูง-ต่ำได้ตามที่เจ้าของรถพึงพอใจ มีสปริงทรงกระบอก เรียกว่า สปริงหลอด ที่ปรับความแข็งได้(เรียกว่า ค่า K) ส่วนขนาดก็มีหลากหลายให้เลือก ซึ่งจะเห็นได้ว่าพัฒนามาจากแบบแรกนั่นเอง เป็นที่นิยมมากที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเรา
3. ชนิดสตรัทปรับเกลียว-แบบสไลด์กระบอก
แบบสไลด์กระบอก สามารถปรับความสูงที่ตัวกระบอกได้เลย ไม่ต้องไปยุ่งยากปรับที่เบ้าสปริงแล้ว ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการปรับความสูง แต่การปรับให้สมรรถณะการทำงานโดยรวมออกมาดีนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร นักซิ่งที่ใช้รถในการแข่งต้องการสมรรถนะสูงๆทำให้อายุการใช้งานของรถสั้นลง การปรับความสูงของสปริงก็จะยากขึ้นตามสภาพของรถ
สรุปของแต่ง มีประโยชน์อย่างไร
ดูแล้ว ถ้าเราๆท่านๆ ขับในเมืองทั่วไป คงไม่จำเป็นต้องไปปรับเปลี่ยนของเดิมๆ จะเปลี่ยนอีกครั้งก็เปลี่ยนตามสภาพของอะไหล่ที่หมดอายุการใช้งานแล้ว ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ส่วนนักแข่ง สายซิ่ง ที่จำเป็นต้องเพิ่มสมรรถนะให้รถก็เห็นจะหลีกหนีไม่ได้ แต่ข้อระวังคงเป็นเรื่อง “การโหลดรถโดย “ตัดสปริง” ที่จำเป็นต้องใช้ช่างมีฝีมือในการทำและตรวจเช็คอย่างละเอียดก่อนใช้จริง เนื่องจากมีโอกาสที่กระบอกสูบจะหักได้ขณะที่ใช้งาน
อายุการใช้งาน
อะไหล่รถยนต์ ทุกชิ้นส่วนก็มีอายุการใช้งานของมัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆที่จะทำให้อายุของอะไหล่สั้นลง เช่น สภาพท้องถนน , ลักษณะการขับขี่ , น้ำหนักบรรทุก , การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ (อ่านเรื่องวิธีลดค่าซ่อม อะไหล่รถยนต์ ในอนาคต >
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://bit.ly/2QiyMqr )
ถ้าพูดถึงอายุการใช้งานของ โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 3 ปี ถ้าคิดเป็นจำนวนกิโลเมตรก็อยู่ระหว่าง 60,000 – 100,000 ก.ม. แต่นี่เป็นเพียงแค่การประเมินอายุการใช้งานเพียงคร่าวๆเท่านั้น ส่วนปัจจัยหลักๆก็อย่างที่บอกครับ ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานของรถด้วย ถ้าปกติรถใหม่ ใช้งานที่ 25,000 ก.ม. แล้วเราต้องนำรถเข้าไปเช็คที่ศูนย์บริการสักหน่อยว่า ระบบช่วงล่างยังรับแรงกระแทก ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของตัวรถขณะรถวิ่ง และช่วยให้รถยนต์เกาะถนนขณะเข้าโค้งได้ดีอยู่หรือไม่
อาการชำรุด
พูดถึงอาการชำรุดกันบ้าง เมื่อรถของคุณผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานานพอสมควร ขณะขับขี่ผ่านผิวรอยต่อถนนหรือขึ้นเนินหลังเต่า จะรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่มากผิดปกติ หรือขณะขับรถขึ้นสะพานจะรู้สึกแปลกๆ ว่ารถมีอาการกระโดด ขับลงทางชันจะมีอาการกระเด้ง ขณะขับรถผ่านพื้นผิวที่เป็นแอ่งกระทะ ความเร็วประมาณ 70-80 ก.ม./ช.ม. จะมีความรู้สึกได้ว่ารถมีอาการเหินเล็กหน่อย จากอาการข้างต้นนี้ สามารถบอกได้ว่าคุณควรเช็คสภาพหรือเปลี่ยน โช๊ค ใหม่ได้เเล้ว
ตรวจเช็คสม่ำเสมอ
ระบบช่วงล่างทำงานหนักมากๆ เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ทั้งรองรับแรงกระแทกแรงสั่นสะเทือนจากหลุม บ่อ คอสะพาน บนถนน ช่วยทำให้การขับขี่นุ่มนวลและช่วยทำให้เราควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ อย่างนั้นเรามาตรวจสอบรถของเรากันสักหน่อยว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ ?
1.ตรวจสอบการคืนตัว
เราสามารถตรวจสอบการคืนตัวของรถยนต์ได้ง่ายๆ เพียงใช้มือกดรถยนต์บริเวณมุมที่ต้องการทดสอบ ออกแรงกดสัก 5 ครั้ง เพื่อสังเกตการคืนตัวของรถ หากมีอาการเด้งขึ้น-ลง หลายครั้ง คาดว่า โช๊ค น่าจะมีปัญหา แต่หากการคืนตัวที่ค่อนข้างไวแสดงว่ายังปกติอยู่
2.ตรวจสอบรอยรั่ว
สังเกตรอยรั่วของน้ำมันบริเวณข้อต่อต่างๆ หากพบคราบน้ำมันไหลออกมาจากกระบอก ก็มีโอกาสที่กระบอกจะรั่วได้ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานนั้น ลดลงไปเพราะน้ำมันที่ช่วยสร้างความนุ่มนวลพร่องไปจากเดิม
3.สังเกตรูปทรง
แน่นอนว่าโดยปกติจะเป็นรูปทรงกระบอกแบบสมมาตร แต่ถ้ามองด้วยตาเปล่าแล้วผิดเพี้ยนไป ก็ไม่ต้องสงสัยครับอาจจะตกหลุมใหญ่ๆมา หรือได้รับแรงกระแทกหนักๆจนผิดรูปทรง การเปลี่ยนใหม่อาจจะเป็นทางเลือกแรกๆ ของปัญหานี้ครับ
4.ดอกยางที่ล้อข้างใดข้างหนึ่งสึกผิดปกติ
ลองเช็คหน้ายางที่รถของคุณครับ ว่าดอกยางด้านไหนมีอาการสึกผิดปกติหรือไม่! หากสังเกตุพบร่องรอยการสึกที่ไม่สม่ำเสมอจากล้อข้างที่สงสัย อาจหมายความว่า โช๊ค ของคุณในด้านนั้นๆ น่าจะมีปัญหา
5.รู้สึกแปลกๆขณะออกตัว-เบรค
ลองสังเกตเมื่อออกตัวและเบรคขณะขับขี่ด้วยความเร็วปกติ หากพบว่าในห้องโดยสารมีการสั่นสะเทือนมากกว่าปกติ เวลาขับรถขึ้นเนินหรือลูกระนาดจะพบว่ามีการกระเด้งขึ้น-ลง จนรู้สึกได้ว่าไม่นิ่มนวลอย่างที่ควรเป็น ให้รีบตรวจสอบโดยทันทีครับ
6.รถมีอาการเหิน-ร่อน
ขณะขับรถด้วยความเร็ว รู้สึกว่ารถมีอาการเหินน่าจะเป็นที่ โช๊ค บางตัวมีการชำรุดจนไม่สามารถควบคุมสมดุลของรถได้เหมือนตัวอื่นๆ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย ให้รีบนำรถไปตรวจเช็คที่ศูนย์หรืออู่จะดีที่สุด
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว รีบไปตรวจเช็ครถของเรากันสักหน่อย เพราะระบบช่วงล่างเป็นจุดที่ต้องรับแรงกระแทกจากด้านล่าง และด้านบนอยู่ตลอดเวลา หากตรวจพบความผิดปกติควรรีบไปเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ในทันที เพราะไม่ใช่แค่เรื่องความนิ่มนวลในการขับขี่ ยังเป็นเรื่องปลอดภัยของตัวคุณเองด้วย
คำถามยอดฮิต
เมื่อรู้แล้วว่า โช๊ค คือ อะไหล่สำคัญของระบบช่วงล่าง ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะ ยิ่งสภาพถนนบ้านเราแล้วมีโอกาสมากที่อะไหล่บางชนิดจะสึกหรอเร็วกว่าอายุการใช้งานจริง นี่จะเป็น 5 คำถาม ที่เรามักสงสัยไปดูกันว่าจะมีคำถามไหนตรงกับใจเราบ้างรึป่าว ?
1.ควรซ่อมหรือเปลี่ยนดีกว่ากัน ?
ตอบ อาจตอบได้ทั้ง 2 แบบครับ ให้ดูอาการจะดีกว่า เช่น ใช้ยังไม่ถึงปีแต่มีการรั่วซึมของน้ำมันด้านใน ก็มีช่างที่รับซ่อม แต่ถ้าอายุ 5 ปีขึ้นไป การทำงานไม่ดีเหมือนเดิม กดลงไปไม่คืนตัวหรือคืนตัวช้ามาก ก็แนะนำให้เปลี่ยนครับ
2. ต้องตั้งศูนย์รถใหม่ด้วยหรือไม่?
ตอบ อาจไม่จำเป็นต้องตั้งศูนย์หากเปลี่ยนแบบทั่วไป แต่ถ้าจะยกสูงหรือโหลดต่ำลงก็แนะนำว่าต้องตั้งศูนย์ด้วยครับ
3. ทำไมราคาถึงมีราคาไม่เท่ากัน แล้วต่างกันยังไง ?
ตอบ จะถูกหรือแพง ส่วนมากอยู่ที่แบรนด์ของอะไหล่ เทคโนโลยีใหม่ๆ และวัสดุในการผลิตครับ ลองพิจารณาจากการใช้รถยนต์ของท่านแล้วกันว่าตรงไหนจะเหมาะสมที่สุด
4. ใช้รถนานแค่ไหนถึงได้เวลาปลี่ยน ?
ตอบ อายุการใช้งานส่วนใหญ่อยู่ที่ 5 ปี หรือประมาณ 50,000 ก.ม. (ประมาณ 1 หมื่น ก.ม./ปี) ทั้งนี้อยู่ที่การใช้งานของท่านด้วย เช่น ขนของหรือบรรทุกของหนักๆ , ให้บริการ Taxi , ขับระยะทางไกลบ่อยๆ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้อายุของอะไหล่สั้นลง
5. แบบแก๊ส หรือ น้ำมัน แบบไหนดีกว่ากัน ?
ตอบ นิยามอย่างง่ายของแต่ละแบบ ดังนี้ครับ แบบแก๊ส จะให้ความกระด้างมากกว่าถ้าคุณชอบขับรถที่ใช้ความเร็วสูง ไม่ค่อยแตะเบรค แบบแก๊สน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด ส่วนแบบน้ำมัน จะให้ความนุ่มนวลในการขับมากกว่า เหมาะกับขับรถในเมืองที่ใช้ความเร็วต่ำ
ขอบคุณที่อ่านบทความนี้จนจบครับ หวังว่าท่านจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่นะครับ
บทความน่าสนใจ
วิธีลดค่าซ่อม อะไหล่รถยนต์ ในอนาคต >
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://bit.ly/2QiyMqr
โช๊ค รู้ก่อนพัง ! คนใช้รถต้องดู-รู้ก่อนเสียเงินซ่อม
คำถามในหัว??? โช๊คอัพ มีกี่แบบ,เลือกยังไงดี,เช็คยังไงว่าเสีย,ซ่อมหรือเปลี่ยนดี...?
อ่านฉบับเต็ม > [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สวัสดีชาว Pantip ที่ใช้รถทุกท่านครับ ตัวผมเองใช้รถมาประมาณ 2-3 ปี แต่ส่วนใหญ่มักจะดูแลรถแค่การไป ล้าง อัด ฉีดในวันหยุดเท่านั้น บางครั้งละเลยระบบต่างๆที่สำคัญนั่นคือ "ระบบช่วงล่าง" ที่นอกจากจะช่วยเรื่องความนุ่มนวลแล้ว เรารู้กันหรือไม่ครับ? อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนหลายครั้ง เป็นเพราะระบบช่วงล่างของรถมีปัญหา ฉะนั้นอีกความสำคัญหนึ่งของ โช๊ค คือยึดรถกับผิวถนนและ ช่วยเรื่องการทรงตัวของรถนั่นเอง
หลายเดือนมานี้หาข้อสรุปเกี่ยวกับ โช๊ค มามากมายทั้งไทยและเทศ (ส่วนใหญ่จะ ตปท.)
วันนี้เลยจะมาแชร์+เคลียข้อสงสัยให้ได้ทราบกัน เรียกได้ว่าเมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว “ต้องอยากรีบกลับไปเช็ครถของเรากันเลยที่เดียว”
โช๊คอัพโดยทั่วไปอาจจะมีหลากหลายชนิด แต่หลักการทำงานไม่แตกต่างกันนัก ซึ่งลักษณะการทำงานในปัจจุบัน มีอยู่ 2 จังหวะ คือ จังหวะยืด และ จังหวะยุบ พูดง่ายๆว่า ในขณะขับขี่ช่วงล่างจะคอยผ่อนแรงขณะยุบและยืดตัวอยู่ตลอดเวลา ช่วยป้องกันไม่ให้ขณะเบรคกระทันหันแล้วหน้ารถทิ่มลง
โช๊ค มีกี่แบบ
เราอาจเคยได้ยิน แบบเดิมๆ กับ แบบแต่ง ก็อาจมีคำถามสำหรับคนที่ใช้รถทั่วๆไปอย่างเราๆว่ามีด้วยหรือ? แล้วที่ว่าแบบเดิมกับแต่ง ต่างกันยังไง? แล้วจำเป็นต้องเปลี่ยนไหม ? ก็จะบอกแบบนี้ครับว่าอาจจะไม่จำเป็นในกรณีที่ท่านขับขี่บนท้องถนนในเมือง ซึ่งแบบแต่งนั้นจะนิยมในกลุ่มนักแต่งรถยนต์ หรือนักแข่งสายซิ่งที่ต้องการเพิ่มสมรรถนะของรถในการขับขี่ การยึดเกาะถนน อย่างนั้นมาดูกันว่าของเดิมๆ มีกี่แบบ
1. ชนิดกระบอกเดี่ยว (Mono Tube)
ลักษณะของกระบอก จะเป็นชิ้นเดียวตามชื่อ แต่แบบเดี่ยวนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้วัสดุที่มีความแข็งแรง-ทนทานสูง สามารถรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี หากตัวกระบอกไม่แข็งแรงพอ แน่นอนว่าจะมีปัญหาในการรับแรงจากรถทั้งคันรวมถึงแรงจากพื้นขณะขับขี่ อาจทำให้กระบอกเบี้ยวผิดรูป แต่แค่ทนทานอย่างเดียวก็คงจะไม่พอ วัสดุที่ใช้ผลิตยังต้องมีน้ำหนักเบาอีกด้วย จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักซิ่ง นักแต่งรถ จึงทำให้มีราคาแพงกว่าแบบอื่น
2. ชนิดกระบอกคู่ (Twin Tube)
เป็นแบบที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป ที่เรียกว่ากระบอกคู่ ก็เพราะว่าด้านในเป็นกระบอกสองชั้น (มีการทำงานของกระบอกที่ซับซ้อนกว่าแบบ Mono Tube พอสมควร) กระบอกด้านในทำหน้าที่เป็น “กระบอกสูบ” ซึ่งมีน้ำมันที่ออกแบบมาเป็นพิเศษบรรจุไว้ด้านใน ส่วนช่องว่างด้านนอก จะเป็น “ช่องสำรองน้ำมัน”
แบ่งเป็นอีก 2 แบบ คือ แบบน้ำมันอย่างเดียวเรียก “ชนิดกระบอกคู่-แบบน้ำมัน” จะมีน้ำมันบรรจุประมาณ 2 ใน 3 ที่เหลือจะเป็นอากาศ การที่บรรจุน้ำมันในปริมาณที่มากช่วยในเรื่องการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล อีกชนิดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ "ชนิดกระบอกคู่-แบบแก๊ส” ก็จะบรรจุ “แก๊ส” ไว้ในช่องน้ำมันสำรองนี้ด้วย โดย"แก๊ส"นี้จะช่วยในการตอบสนองที่รวดเร็วทั้งการคืนตัวเร็ว-ยุบตัวช้า แต่จะมีความแข็งมากกว่าแบบน้ำมัน (แก๊สพยายามดันสู้ตลอดเวลา) ก็ได้เรื่องการเกาะถนนที่ดี ลดอาการโคลงตัว แต่ความนุ่มนวลก็จะน้อยลงกว่าแบบน้ำมัน
สรุปจุดเด่นของ ชนิดกระบอกคู่ คือ ต้นทุนการผลิตถูกกว่า ตัววัสดุไม่จำเป็นต้องทนทานเหมือน ชนิดกระบอกเดี่ยว เพราะกระบอกสูบจริงๆ นั้นอยู่ด้านใน ด้านนอกเป็นช่องน้ำมันสำรอง จึงไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องความแข็งแรง ทำให้ราคาไม่สูงมาก จึงได้รับความนิยมและใช้กันอยู่ทั่วไป
โช๊คอัพ รถยนต์ แถมสำหรับคนที่สนใจ โช๊ค แบบแต่ง ณ ตอนนี้ จะแบ่งเป็น 3 แบบ
1.ชนิดปรับความสูงไม่ได้
ลักษณะเหมือนของเดิมๆที่ติดมากับรถ เพียงแต่มีการพัฒนาให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้น หนึบแน่นยึดเกาะผิวถนนได้ดีขึ้น ซึ่งสังเกตว่าจะไม่สามารถปรับความสูงได้ เบ้าสปริงจะมีขนาดใหญ่เท่าของเดิมที่ผลิตจากโรงงาน เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบความหนึบโดยเฉพาะ และพอใจกับระดับความสูงจากพื้นของตัวรถ ไม่ต้องการให้โหลดหรือยกสูงมากไป
2.ชนิดสตรัทปรับเกลียว
ได้รับความนิยมพอสมควร บริเวณเบ้าสปริงสามารถปรับให้สูง-ต่ำได้ตามที่เจ้าของรถพึงพอใจ มีสปริงทรงกระบอก เรียกว่า สปริงหลอด ที่ปรับความแข็งได้(เรียกว่า ค่า K) ส่วนขนาดก็มีหลากหลายให้เลือก ซึ่งจะเห็นได้ว่าพัฒนามาจากแบบแรกนั่นเอง เป็นที่นิยมมากที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ตบ้านเรา
3. ชนิดสตรัทปรับเกลียว-แบบสไลด์กระบอก
แบบสไลด์กระบอก สามารถปรับความสูงที่ตัวกระบอกได้เลย ไม่ต้องไปยุ่งยากปรับที่เบ้าสปริงแล้ว ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการปรับความสูง แต่การปรับให้สมรรถณะการทำงานโดยรวมออกมาดีนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร นักซิ่งที่ใช้รถในการแข่งต้องการสมรรถนะสูงๆทำให้อายุการใช้งานของรถสั้นลง การปรับความสูงของสปริงก็จะยากขึ้นตามสภาพของรถ
สรุปของแต่ง มีประโยชน์อย่างไร
ดูแล้ว ถ้าเราๆท่านๆ ขับในเมืองทั่วไป คงไม่จำเป็นต้องไปปรับเปลี่ยนของเดิมๆ จะเปลี่ยนอีกครั้งก็เปลี่ยนตามสภาพของอะไหล่ที่หมดอายุการใช้งานแล้ว ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ส่วนนักแข่ง สายซิ่ง ที่จำเป็นต้องเพิ่มสมรรถนะให้รถก็เห็นจะหลีกหนีไม่ได้ แต่ข้อระวังคงเป็นเรื่อง “การโหลดรถโดย “ตัดสปริง” ที่จำเป็นต้องใช้ช่างมีฝีมือในการทำและตรวจเช็คอย่างละเอียดก่อนใช้จริง เนื่องจากมีโอกาสที่กระบอกสูบจะหักได้ขณะที่ใช้งาน
อายุการใช้งาน
อะไหล่รถยนต์ ทุกชิ้นส่วนก็มีอายุการใช้งานของมัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆที่จะทำให้อายุของอะไหล่สั้นลง เช่น สภาพท้องถนน , ลักษณะการขับขี่ , น้ำหนักบรรทุก , การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ (อ่านเรื่องวิธีลดค่าซ่อม อะไหล่รถยนต์ ในอนาคต > [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ )
ถ้าพูดถึงอายุการใช้งานของ โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 3 ปี ถ้าคิดเป็นจำนวนกิโลเมตรก็อยู่ระหว่าง 60,000 – 100,000 ก.ม. แต่นี่เป็นเพียงแค่การประเมินอายุการใช้งานเพียงคร่าวๆเท่านั้น ส่วนปัจจัยหลักๆก็อย่างที่บอกครับ ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานของรถด้วย ถ้าปกติรถใหม่ ใช้งานที่ 25,000 ก.ม. แล้วเราต้องนำรถเข้าไปเช็คที่ศูนย์บริการสักหน่อยว่า ระบบช่วงล่างยังรับแรงกระแทก ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของตัวรถขณะรถวิ่ง และช่วยให้รถยนต์เกาะถนนขณะเข้าโค้งได้ดีอยู่หรือไม่
อาการชำรุด
พูดถึงอาการชำรุดกันบ้าง เมื่อรถของคุณผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานานพอสมควร ขณะขับขี่ผ่านผิวรอยต่อถนนหรือขึ้นเนินหลังเต่า จะรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่มากผิดปกติ หรือขณะขับรถขึ้นสะพานจะรู้สึกแปลกๆ ว่ารถมีอาการกระโดด ขับลงทางชันจะมีอาการกระเด้ง ขณะขับรถผ่านพื้นผิวที่เป็นแอ่งกระทะ ความเร็วประมาณ 70-80 ก.ม./ช.ม. จะมีความรู้สึกได้ว่ารถมีอาการเหินเล็กหน่อย จากอาการข้างต้นนี้ สามารถบอกได้ว่าคุณควรเช็คสภาพหรือเปลี่ยน โช๊ค ใหม่ได้เเล้ว
ตรวจเช็คสม่ำเสมอ
ระบบช่วงล่างทำงานหนักมากๆ เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ทั้งรองรับแรงกระแทกแรงสั่นสะเทือนจากหลุม บ่อ คอสะพาน บนถนน ช่วยทำให้การขับขี่นุ่มนวลและช่วยทำให้เราควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ อย่างนั้นเรามาตรวจสอบรถของเรากันสักหน่อยว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ ?
1.ตรวจสอบการคืนตัว
เราสามารถตรวจสอบการคืนตัวของรถยนต์ได้ง่ายๆ เพียงใช้มือกดรถยนต์บริเวณมุมที่ต้องการทดสอบ ออกแรงกดสัก 5 ครั้ง เพื่อสังเกตการคืนตัวของรถ หากมีอาการเด้งขึ้น-ลง หลายครั้ง คาดว่า โช๊ค น่าจะมีปัญหา แต่หากการคืนตัวที่ค่อนข้างไวแสดงว่ายังปกติอยู่
2.ตรวจสอบรอยรั่ว
สังเกตรอยรั่วของน้ำมันบริเวณข้อต่อต่างๆ หากพบคราบน้ำมันไหลออกมาจากกระบอก ก็มีโอกาสที่กระบอกจะรั่วได้ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานนั้น ลดลงไปเพราะน้ำมันที่ช่วยสร้างความนุ่มนวลพร่องไปจากเดิม
3.สังเกตรูปทรง
แน่นอนว่าโดยปกติจะเป็นรูปทรงกระบอกแบบสมมาตร แต่ถ้ามองด้วยตาเปล่าแล้วผิดเพี้ยนไป ก็ไม่ต้องสงสัยครับอาจจะตกหลุมใหญ่ๆมา หรือได้รับแรงกระแทกหนักๆจนผิดรูปทรง การเปลี่ยนใหม่อาจจะเป็นทางเลือกแรกๆ ของปัญหานี้ครับ
4.ดอกยางที่ล้อข้างใดข้างหนึ่งสึกผิดปกติ
ลองเช็คหน้ายางที่รถของคุณครับ ว่าดอกยางด้านไหนมีอาการสึกผิดปกติหรือไม่! หากสังเกตุพบร่องรอยการสึกที่ไม่สม่ำเสมอจากล้อข้างที่สงสัย อาจหมายความว่า โช๊ค ของคุณในด้านนั้นๆ น่าจะมีปัญหา
5.รู้สึกแปลกๆขณะออกตัว-เบรค
ลองสังเกตเมื่อออกตัวและเบรคขณะขับขี่ด้วยความเร็วปกติ หากพบว่าในห้องโดยสารมีการสั่นสะเทือนมากกว่าปกติ เวลาขับรถขึ้นเนินหรือลูกระนาดจะพบว่ามีการกระเด้งขึ้น-ลง จนรู้สึกได้ว่าไม่นิ่มนวลอย่างที่ควรเป็น ให้รีบตรวจสอบโดยทันทีครับ
6.รถมีอาการเหิน-ร่อน
ขณะขับรถด้วยความเร็ว รู้สึกว่ารถมีอาการเหินน่าจะเป็นที่ โช๊ค บางตัวมีการชำรุดจนไม่สามารถควบคุมสมดุลของรถได้เหมือนตัวอื่นๆ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย ให้รีบนำรถไปตรวจเช็คที่ศูนย์หรืออู่จะดีที่สุด
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว รีบไปตรวจเช็ครถของเรากันสักหน่อย เพราะระบบช่วงล่างเป็นจุดที่ต้องรับแรงกระแทกจากด้านล่าง และด้านบนอยู่ตลอดเวลา หากตรวจพบความผิดปกติควรรีบไปเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ในทันที เพราะไม่ใช่แค่เรื่องความนิ่มนวลในการขับขี่ ยังเป็นเรื่องปลอดภัยของตัวคุณเองด้วย
คำถามยอดฮิต
เมื่อรู้แล้วว่า โช๊ค คือ อะไหล่สำคัญของระบบช่วงล่าง ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะ ยิ่งสภาพถนนบ้านเราแล้วมีโอกาสมากที่อะไหล่บางชนิดจะสึกหรอเร็วกว่าอายุการใช้งานจริง นี่จะเป็น 5 คำถาม ที่เรามักสงสัยไปดูกันว่าจะมีคำถามไหนตรงกับใจเราบ้างรึป่าว ?
1.ควรซ่อมหรือเปลี่ยนดีกว่ากัน ?
ตอบ อาจตอบได้ทั้ง 2 แบบครับ ให้ดูอาการจะดีกว่า เช่น ใช้ยังไม่ถึงปีแต่มีการรั่วซึมของน้ำมันด้านใน ก็มีช่างที่รับซ่อม แต่ถ้าอายุ 5 ปีขึ้นไป การทำงานไม่ดีเหมือนเดิม กดลงไปไม่คืนตัวหรือคืนตัวช้ามาก ก็แนะนำให้เปลี่ยนครับ
2. ต้องตั้งศูนย์รถใหม่ด้วยหรือไม่?
ตอบ อาจไม่จำเป็นต้องตั้งศูนย์หากเปลี่ยนแบบทั่วไป แต่ถ้าจะยกสูงหรือโหลดต่ำลงก็แนะนำว่าต้องตั้งศูนย์ด้วยครับ
3. ทำไมราคาถึงมีราคาไม่เท่ากัน แล้วต่างกันยังไง ?
ตอบ จะถูกหรือแพง ส่วนมากอยู่ที่แบรนด์ของอะไหล่ เทคโนโลยีใหม่ๆ และวัสดุในการผลิตครับ ลองพิจารณาจากการใช้รถยนต์ของท่านแล้วกันว่าตรงไหนจะเหมาะสมที่สุด
4. ใช้รถนานแค่ไหนถึงได้เวลาปลี่ยน ?
ตอบ อายุการใช้งานส่วนใหญ่อยู่ที่ 5 ปี หรือประมาณ 50,000 ก.ม. (ประมาณ 1 หมื่น ก.ม./ปี) ทั้งนี้อยู่ที่การใช้งานของท่านด้วย เช่น ขนของหรือบรรทุกของหนักๆ , ให้บริการ Taxi , ขับระยะทางไกลบ่อยๆ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้อายุของอะไหล่สั้นลง
5. แบบแก๊ส หรือ น้ำมัน แบบไหนดีกว่ากัน ?
ตอบ นิยามอย่างง่ายของแต่ละแบบ ดังนี้ครับ แบบแก๊ส จะให้ความกระด้างมากกว่าถ้าคุณชอบขับรถที่ใช้ความเร็วสูง ไม่ค่อยแตะเบรค แบบแก๊สน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด ส่วนแบบน้ำมัน จะให้ความนุ่มนวลในการขับมากกว่า เหมาะกับขับรถในเมืองที่ใช้ความเร็วต่ำ
ขอบคุณที่อ่านบทความนี้จนจบครับ หวังว่าท่านจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่นะครับ
บทความน่าสนใจ
วิธีลดค่าซ่อม อะไหล่รถยนต์ ในอนาคต > [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้