เมื่อเราเองไม่ได้ไปนั่งอยู่ในห้องตรวจไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองก็คงเป็นเรื่องยากที่จะฟันธงได้ว่าหมอแกได้ไปล่วงเกินคนไข้หรือไม่
ล่วงเกินในที่นี้ก็ไม่ชัดเจนว่าถึงขนาดล่วงล้ำหรือไปถึงขืนใจเลยหรือไม่
แต่ที่แน่ๆมีความเป็นไปได้สูงว่าการตรวจของคุณหมอคนนี้ดูจะแปลกและพิสดารกว่าในตำรับตำราแพทย์ที่มีกันมา
หากสิ่งที่ผู้เสียหายพูดเป็นเรื่องจริงก็ต้องตั้งข้อสังเกตุว่าเหตุใดหมอจึงเลือกที่จะทำการตรวจรักษาคนไข้ในแนวทางพิลึกๆเช่นนี้
หมอจบแพทย์มาจากที่ไหน ครูบาอาจารย์เป็นใคร หรือแกไปศึกษาหาวิชาการรักษาที่ประเด็นนี้มาจากไหน
การลงลิ้น ดมอวัยวะ จับบีบหน้าอก เป่าลมใส่รูหู เรียกคนไข้ว่าที่รัก .....
การกระทำเหล่านี้แม้จะยังไม่ถึงขั้นการสอดใส่แต่สำหรับคนไข้ที่หวังจะได้รับการรักษาจากแพทย์ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ทุเรศแท้
หากหมอมีพฤติกรรมนี้กับคนป่วยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็นับว่าเป็นภัยสังคมโดยและควรถูกลงโทษครับ
กระนั้นเองการที่หมอคนหนึ่งจะกล้าทำอะไรแผลงๆแบบนี้ได้มันก็เพราะ
- มีคนไข้จำนวนหนึ่งเพลิน ชอบ และเล่นกับหมอแกด้วย
- คนไข้จำนวนหนึ่งแม้จะไม่ชอบแต่ก็ไม่กล้าเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง
- ลูกน้องคนในคลีนิคที่อาจจะพอระแคะระคายพอรู้ว่ามันมีอะไรพิกลๆในห้องตรวจแต่ก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย
เมื่อมีครั้งแรกมันก็ย่อมมีครั้งที่สองสามและสี่ตามลำดับจนตกพลึกกลายเป็นความเคยชินเป็นกมลสันดารไปโดยปริยาย
หากหมอทำจริงแกก็ควรปิดคลีนิครีไทร์มีสปิริตยอมรับในสิ่งที่ตนเองทำไปหาอะไรอย่างอื่นทำย้ายภูมิลำเนาไปเลยดีกว่ามันน่าอับอายครับ
ทางการทางแพทย์สภาก็ต้องลงดาบไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
แต่ผู้หญิงเองหรือคนไข้เองนั้นก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง หากมัวแต่อายมัวแต่ไม่กล้าเรียกร้องสิทธิของตนเอง
ก็ไม่ต่างจากการเปิดไฟเขียวอนุญาติให้คนเข้ามาละเมิดตัวเอง
รวมถึงจะเป็นการเปิดโอกาศให้คนแบบนี้ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีกับคนอื่นต่อไปด้วยล่ะครับ
แต่ผมมองว่าต่อให้หมอรอดไม่โดนคดีไม่โดนลงดาบ
ยังไง๊ยังไงหากแกเปิดคลีนิคต่อไปก็ยังจะมีคนไปใช้บริการอยู่ดีเพราะคนไข้บางคนไปรักษามาหลาย รพ หลายคลีนิคแล้ว
แต่การรักษามันไม่ตอบโจทย์พวกเค้าเท่ากับการรักษาแบบแพทย์คนนี้ ....
ในขณะที่คนไข้จำนวนหนึ่งรู้สึกว่าถูกหมอละเมิด ก็คงมีอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจจะชอบและกลับไปรักษากับหมอแกอยู่ดี
ล่วงเกินในที่นี้ก็ไม่ชัดเจนว่าถึงขนาดล่วงล้ำหรือไปถึงขืนใจเลยหรือไม่
แต่ที่แน่ๆมีความเป็นไปได้สูงว่าการตรวจของคุณหมอคนนี้ดูจะแปลกและพิสดารกว่าในตำรับตำราแพทย์ที่มีกันมา
หากสิ่งที่ผู้เสียหายพูดเป็นเรื่องจริงก็ต้องตั้งข้อสังเกตุว่าเหตุใดหมอจึงเลือกที่จะทำการตรวจรักษาคนไข้ในแนวทางพิลึกๆเช่นนี้
หมอจบแพทย์มาจากที่ไหน ครูบาอาจารย์เป็นใคร หรือแกไปศึกษาหาวิชาการรักษาที่ประเด็นนี้มาจากไหน
การลงลิ้น ดมอวัยวะ จับบีบหน้าอก เป่าลมใส่รูหู เรียกคนไข้ว่าที่รัก .....
การกระทำเหล่านี้แม้จะยังไม่ถึงขั้นการสอดใส่แต่สำหรับคนไข้ที่หวังจะได้รับการรักษาจากแพทย์ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ทุเรศแท้
หากหมอมีพฤติกรรมนี้กับคนป่วยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็นับว่าเป็นภัยสังคมโดยและควรถูกลงโทษครับ
กระนั้นเองการที่หมอคนหนึ่งจะกล้าทำอะไรแผลงๆแบบนี้ได้มันก็เพราะ
- มีคนไข้จำนวนหนึ่งเพลิน ชอบ และเล่นกับหมอแกด้วย
- คนไข้จำนวนหนึ่งแม้จะไม่ชอบแต่ก็ไม่กล้าเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง
- ลูกน้องคนในคลีนิคที่อาจจะพอระแคะระคายพอรู้ว่ามันมีอะไรพิกลๆในห้องตรวจแต่ก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย
เมื่อมีครั้งแรกมันก็ย่อมมีครั้งที่สองสามและสี่ตามลำดับจนตกพลึกกลายเป็นความเคยชินเป็นกมลสันดารไปโดยปริยาย
หากหมอทำจริงแกก็ควรปิดคลีนิครีไทร์มีสปิริตยอมรับในสิ่งที่ตนเองทำไปหาอะไรอย่างอื่นทำย้ายภูมิลำเนาไปเลยดีกว่ามันน่าอับอายครับ
ทางการทางแพทย์สภาก็ต้องลงดาบไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
แต่ผู้หญิงเองหรือคนไข้เองนั้นก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง หากมัวแต่อายมัวแต่ไม่กล้าเรียกร้องสิทธิของตนเอง
ก็ไม่ต่างจากการเปิดไฟเขียวอนุญาติให้คนเข้ามาละเมิดตัวเอง
รวมถึงจะเป็นการเปิดโอกาศให้คนแบบนี้ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีกับคนอื่นต่อไปด้วยล่ะครับ
แต่ผมมองว่าต่อให้หมอรอดไม่โดนคดีไม่โดนลงดาบ
ยังไง๊ยังไงหากแกเปิดคลีนิคต่อไปก็ยังจะมีคนไปใช้บริการอยู่ดีเพราะคนไข้บางคนไปรักษามาหลาย รพ หลายคลีนิคแล้ว
แต่การรักษามันไม่ตอบโจทย์พวกเค้าเท่ากับการรักษาแบบแพทย์คนนี้ ....