กระทู้นี้ อาจจะต้องขอพื้นที่ระบายความในใจนะครับ คือจริงๆ พออ่านดูแล้วจะพบว่าชีวิต จขกท มีปัญหาหลายเรื่องโยงใยกันไปหมด จนบางครั้ง จขกท เองก็ทนแบกรับไม่ค่อยจะไหวแล้ว ทางด้านจิตใจก็แย่ลงทุกวันๆ ไม่มีใครคุยด้วยได้เลย เพราะคนในครอบครัวก็ไม่ค่อยจะปกติเหมือนกัน เจ้าอารมณ์คุยไม่กี่คำก็ทะเลาะกัน บางครั้งก็อยากจะหาใครสักคนที่เค้าพร้อมจะรับฟังปัญหาของเรา และช่วยเหลือเราให้พ้นจากวังวนนี้นะ แต่ส่วนมากก็รับฟัง ทนฟังกันไม่ค่อยจะได้ สุดท้ายก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองอยู่ดี ปัญหาในชีวิตเรา ณ เวลานี้มีหลายเรื่องครับ จะขอเล่าแบบย่อที่สุดเท่าที่จะย่อได้แระกัน ตามนี้
เรื่องการงานเรา ปัจจุบันไม่ได้ทำงานประจำแล้ว เป็นคนว่างงาน ลาออกจากงานประจำมาได้จะเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ที่ออกมาก็เพราะว่ารู้สึกว่าเป็นการงานที่ทำไปแล้วไม่มีความเจริญก้าวหน้าอะไรเลย ทำงานที่ล่าสุดนี้มา 4 ปีกับ 2 เดือน ปัญหาเพื่อนร่วมงานต่างวัยที่เข้ากันไม่ค่อยจะได้ (เรา 20 กว่า พวกเค้า 40 กว่า) เป็นงาน it support คอยดูแลระบบคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ ช่วงแรกที่เราเข้ามาทำงาน เพื่อนร่วมงานเค้าไม่ยอมสอนงานหรือแนะนำอะไรเราเลยสักอย่าง บางครั้งคิดจะศึกษาเอง ก็ไปขอรหัสเข้าระบบจากพี่ๆในทีม แต่เค้าก็ไม่ให้ แล้วไม่บอกเหตุผลด้วยว่าไม่ให้เพราะอะไร แต่ในความคิดเราตอนนี้คิดว่า เค้ากลัวเราจะมาแย่งงานเค้าทำ แล้วพอเรารู้งานทั้งหมด เค้าก็จะถูกจ้างออกหรือไล่ออกจากงาน เพราะจ้างเราย่อมถูกกว่า เค้าก็เลยไม่สอนงานเรา สืบไปสืบมาก็เป็นแบบนั้น เพราะคนก่อนหน้าเราที่มาทำ ก็ทำกันไม่ถึง 4 เดือนก็ลาออกจากงานไปหมดทุกคน เพราะในทีมเป็นคนไม่ชอบสอนงานใคร เราก็เลยทำงานในส่วนที่เราพอจะทำได้มาตลอด 4 ปี ตลอดระยะเวลาขอตรงๆ เราไม่มีความสุขในการทำงานเลย เพราะคนในทีมทำงานแบบเอาตัวรอดมาก เอาเปรียบเราบ่อยมาก
แต่เราก็ทนทำ เพราะที่บ้านเรามีปัญหาหนี้สินที่แม่ก่อไว้เยอะ และแม่ก็ไปสัญญากับเจ้าหนี้ว่าถ้าลูกเรียนจบ จะใช้หนี้ทันที ก็เลยมาตกเป็นภาระของเรา ช่วงแรกๆที่ยังไม่ออกทำงาน โดนพ่อแม่ด่าว่ากดดันว่าขี้เกียจทำงาน จบมาตั้ง 1-2 เดือน ทำไมไม่ออกทำมาหากิน ทั้งๆที่เราก็หางานอยู่ เราก็เลยทนทำมาจนถึงเมื่อ 3 เดือนก่อน จึงตัดสินใจที่จะลาออกจากงานมา เพราะทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สุขภาพจิตเราเสียมากๆ กลัวจะเป็นมาก เลยออกมาว่างงานอยู่ปัจจุบัน ระหว่างนี้ก็เราก็หางานใหม่ทั้งเอกชนและสอบราชการ ขายของออนไลน์กับสอนพิเศษ พอมีรายได้ใช้จ่ายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไรเท่าตอนทำงานประจำ แต่พ่อแม่เราเค้าก็ยังทำแบบเดิม คือเที่ยวได้ไปหางานอะไรก็ได้มาทุ่มใส่เราให้เราไปสมัคร อาทิเช่น เด็กปั๊ม คนแบกของขึ้นชั้นขายของ ฯลฯ คือประมาณว่ารอเราได้งานใหม่ไม่ไหว เค้าต้องใช้เงินใช้หนี้ เราเลยว่าไปว่า ชีวิตเราถูกบงการมาโดยพ่อแม่นานแระจนจะครึ่งชีวิตแระ อย่าได้บงการต่ออีกเลย ระหว่างก็ยอมรับว่าต้องอดทนกับคำพูดพ่อแม่ตัวเองและคนรอบข้างมากๆเรื่องงาน เพราะเค้าคิดว่าการทำงานประจำมันเชิดหน้าชูตาเค้าได้ด้วยส่วนนึง เวลาพ่อค้าแม่ค้าหรือคนรอบข้างถาม เค้าจะอวดโอ้คนอื่นได้ ถ้าเราว่างงาน เค้าจะเสียหน้ามาก จนตอนนี้จิตเราเริ่มวิตกมากๆ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกบ่นและทนคำบ่นไปได้นานแค่ไหน
ปัญหาต่อมาก็เรื่องพ่อแม่วัยทอง พ่ออายุ 56 แม่อายุ 55 เดี๋ยวนี้เราคุยกันกับเค้าไม่เกิน 5 นาที ต้องทะเลาะกันเสมอ เราก็เลยหลีกเลี่ยงที่จะไม่คุยด้วยเลย ไม่จำเป็นไม่คุยเลยจริงๆ ไม่อยากเสียสุขภาพจิตไปมากกว่านี้ วันๆที่เจอพ่อแม่ก็เวลากินข้าวเท่านั้น เวลาอื่นก็ขึ้นมาอยู่บนบ้านหนีความวุ่ยวาย เคยบอกให้พ่อแม่ไปพบจิตแพทย์ เค้าบอกว่าเค้าปกติดี ลูกว่าพ่อแม่เป็นโรคจิต บาปกรรมไม่ได้ผุดได้เกิดนะ เราก็เลยปลง คงต้องทนอยู่กับเค้าไปจนกว่าจะตายจาก ทุกวันนี้ยอมรับว่าบ้านเงียบมากๆ พ่อกลับมาบ้าน ลูกสองคนไม่ยอมคุยด้วยหนีขึ้นบ้านหมด เค้าก็เลยเดินไปหาย่าเราที่บ้านทุกวัน และกลับบ้านมาต้องมาทะเลาะกับลูกทุกวันที่ไปหาย่า บางครั้งย่าเอาของมาให้กิน มีเศษผมติดในอาหาร เราก็บอกพ่อว่ามีเศษผมนะ เค้าก็ว่าเราไปว่าแม่ของเค้าว่าไม่ดี ทั้งๆที่เราเองก็ไม่มีเจตนาอะไรแบบนั้น แค่หยิบเส้นผมออกก็จบ แต่พ่อไม่ยอมจบ เราเลยเดินหนี บางครั้งสั่งของทาง ปณ. มาขาย เรารอ ปณ มาส่งทั้งวันไม่มาสักที เราต้องไปธุระ เลยออกนอกบ้านไปทำธุระ ปณ มักจะมาส่งของช่วงเย็น 6 โมงเย็นกว่าๆเสมอ ย่ารับแทน พ่อก็มักจะว่าเราว่า ย่าเค้าเป็นผู้มีพระคุณนะ รับของแทนลูก ควรสำนึกและช่วยเหลือเค้าให้เงินเค้าใช้บ้าง เราเลยบอกว่า ถ้างั้นให้ ปณ ตีของกลับไปที่สำนักงาน เราจะไปรับของเองจะได้ไม่เป็นบุญคุณทดแทนใคร พ่อก็เงียบ
แล้วก็มีเรื่องราวอีกมากมายที่เค้าไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย ที่ต้องคุยกันทะเลาะกันแบบไม่มีความสุขในชีวิตในแต่ละวัน ทุกวันนี้เจอหน้าพ่อแม่เราไม่คุยด้วยครับ ไม่คุยเลยจริงๆ เว้นมีธุระ คือไม่ใช่เกลียดนะ แต่คือก็ไม่ชอบพวกเค้าอ่ะ และก็พยายามปล่อยวางแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเค้าก่อเรื่องให้เราคิดใหม่ทุกวัน จนทุกวันนี้เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า เพราะหลอนทุกครั้งเวลาได้ยินเสียงพ่อแม่ นอนไม่ค่อยหลับ บางครั้งก็ตื่นกลางดึกตลอด นอนตื่นไว ตี2-3 บางทีก็ตื่น ทุกวันอยู่ได้เพราะอดทนจริงๆ ถ้าได้งานใหม่ เราคิดว่าอาจจะไปทำงานไกลบ้านหน่อย แบบเช่าหออยู่คนเดียว เพราะทนไม่ค่อยจะไหวแล้ว
ปัญหาครอบครัว ที่คาราคาซังมานาน พ่อไม่ออกทำกินมาสิบกว่าปี ยืนหยัดจะทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ออกไปเป็นลูกจ้างใคร ในช่วงปี 2540-2550 แม่ต้องทำงานคนเดียว และเริ่มก่อหนี้สินมาจนปัจจุบัน หนี้กี่บาทจะขอไม่พูดถึง แต่บอกได้แค่ว่าค่อนข้างจะเกินกำลังเราในตอนนี้จริงๆ นี่เป็นส่วนนึงที่เราลังเลที่จะลาออกงานมาตลอดสี่ปี จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มสุญเสียไปเยอะมากแล้ว จิตก็เริ่มเสีย เลยออกมา หนี้ส่วนมากเป็นหนี้ในครอบครัว และหนี้ในส่วนของลูกติดผัวเก่าแม่ หรือพี่ชายต่างพ่อของเรา เค้าซื้อรถมาแล้วสามคัน คันแรกปล่อยขาด คันที่สองผ่อนยังไม่หมดโดนขโมยตามจับไม่ได้ ต้องผ่อนต่อให้หมด พอมาคันที่สามปัจจุบัน เป็นชื่อแม่เราซื้อให้พี่เอาไปขับ เพราะพี่ติดแบล๊คลิสต์ แม่เลยรับไปเต็มๆ ตอนแรกจะเอาชื่อเราไปซื้อ แต่ถูกเราด่าแรงๆใส่ไป แม่เลยให้ใช้ชื่อแม่ซื้อรถแทน พี่ชายเราเลวมากจริงๆในความคิดตอนนั้น นี่ปัจจุบันคันที่สามก็กำลังจะผ่อนไม่ไหว แม่จะทำการรีไฟแนนซ์อีกครั้ง ไปผ่อนรถคันนี้ต่อ
สาเหตุที่พี่ต้องซื้อรถ เพราะไปได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นเมีย เค้าบังคับให้ซื้อประดับศักดิ์ศรีลูกเค้า แต่ทางพ่อตาแม่ยายเค้าก็ไม่ช่วยให้ผ่อนเอง มาเดือดร้อนทางแม่เรา ถามว่าเกี่ยวข้องกับเรายังไง เพราะรถเป็นชื่อแม่ซื้อ เราเองก็เลยต้องซวยช่วยแม่ไปด้วยในบางครั้ง เวลาแม่จะเอาเงินจากเราแม่ก็จะโกหกว่าเอาไปทำอย่างอื่น ตอนแรกเราไม่รุตอนทำงานใหม่ๆ เรายังตามไม่ทัน แต่พอเรารู้ เราก็เลยไม่ค่อยให้เยอะแล้ว เพราะให้ไปเราก็ไม่ได้เอารถมาขับ และเวลาที่พี่ชายออกลูก ลูกเค้าไม่แข็งแรง แม่ก็มาบังคับให้เราออกเงินค่ารักษาช่วยครั้งละ 5000 เราให้เพราะสงสารหลาน แต่แม่กลับมาว่าเราเวลาเราทวงตังคืนจากพี่ว่า เงิน 5000 เป็นแค่ส่วนเล็กๆไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก เราเลยบอกว่าถ้าช่วยอะไรไม่ได้ก็เอาคืนมา มันไม่มีประโยชน์นี่ แม่ร้องไห้เลย ล่าสุดออกลูกคนที่สามในเวลาที่ไม่มีอันจะกิน เมียพี่ขับรถไปชนต้องผ่าออกด่วน มาขอเงินเรา 10,000 เราให้แค่ 5,000 เพราะเราไม่ไหวแล้ว คือไม่เข้าใจว่าผ่อนรถไม่ไหว แล้วจะปล่อยมีลูกทำไม เหมือนแกล้งเรา จนทุกวันนี้เราก็ยังไม่ได้เงินเราคืนจากพี่เลยสักบาท แม่ก็ว่าถ้าทวงก็เท่ากับไปหักกระดูกพี่
เรื่องการศึกษาต่อของเรา เราอยากเรียนต่อปริญญาตรีอีกสักใบ หรือไม่ก็เรียนต่อปริญญาโท แต่ก็คงไม่ใช่สาขาวิศวะที่เรียนจบมา เพราะไม่มีความถนัดทางด้านนี้ ที่ทนเรียนมาเพราะที่บ้านให้เรียน เคยขอซิ่ว พ่อแม่ให้ซิ่ว ลูกจบช้าไปปีนึงกลัวอายเค้า ก็เลยทนเรียนมา จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวเองชอบหรือถนัดทางไหน ทั้งที่พยายามค้นหาค้นคว้าตัวเองมาโดยตลอด แต่ดวยความล้าทางจิตใจ บางครั้งก็ไม่อยากจะคิดอะไรมาก เพราะปัญหาชีวิตก็มีหลายเรื่องเหลือเกิน เราเองก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนด้วย ไม่ค่อยมีสังคม เลยไม่มีคนแนะนำแนะแนวทางเท่าไหร่ ยิ่งพ่อแม่เราไม่ต้องพูดถึงเลย เค้าเป็นหลักเรื่องการเรียนการศึกษาไม่ได้ เพราะเค้าจบมาน้อยและไม่รู้บางเรื่องแท้จริง ก็เลยหนักใจเรื่องนี้ แต่อยากเรียนต่อมากๆ แต่คงต้องคิดให้รอบคอบว่าจะเรียนอะไรให้ได้ผลดีและได้เรียนในสิ่งที่ชอบสักที เพราะเรียนวิศวะมาก็ทรมานใจพอแล้ว
ก็ที่เล่ามาทั้งหมดคร่าวๆก็คือปัญหาที่เจอในชีวิตของเรา เราต้องต่อสู้กับมันทุกวันครับ ตอนนี้เริ่มมีความรู้สึกล้า เหนื่อย สับสน ไม่รู้จะเริ่มแก้ปัญหาไหนก่อนดี เพราะแต่ละอย่างที่เข้ามาล้วนเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสทั้งนั้น ทุกวันนี้หลังขายของ หรือกลับจากนอกบ้านมา วันๆแทบไม่อยากทำอะไร มันรู้สึกสิ้นหวังไปหมด พ่อแม่ก็ไม่ดี งานประจำก็ยังหาไม่ได้ ถูกพ่อแม่กดดันอีกมันเครียดไปหมด เรื่องจะเรียนต่อก็ควรจะต้องรีบหาตัวเองให้เจอเพราะอายุเริ่มมาก ตอนนี้รู้สึกอยากได้ที่ปรึกษา อยากได้คนที่เค้าจะช่วยเหลือเราได้จังเลยครับ เพราะที่บ้านเราคุยกับใครไม่ได้สักคน เหมือนอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ อยากคุยกับคนที่เค้าพอจะช่วยเหลือเราได้ เป็นนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ ก็ได้ อยากได้คำแนะนำครับ
รู้สึกเครียด สับสน ไร้เป้าหมายชีวิต ขาดกำลังใจ
เรื่องการงานเรา ปัจจุบันไม่ได้ทำงานประจำแล้ว เป็นคนว่างงาน ลาออกจากงานประจำมาได้จะเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ที่ออกมาก็เพราะว่ารู้สึกว่าเป็นการงานที่ทำไปแล้วไม่มีความเจริญก้าวหน้าอะไรเลย ทำงานที่ล่าสุดนี้มา 4 ปีกับ 2 เดือน ปัญหาเพื่อนร่วมงานต่างวัยที่เข้ากันไม่ค่อยจะได้ (เรา 20 กว่า พวกเค้า 40 กว่า) เป็นงาน it support คอยดูแลระบบคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ ช่วงแรกที่เราเข้ามาทำงาน เพื่อนร่วมงานเค้าไม่ยอมสอนงานหรือแนะนำอะไรเราเลยสักอย่าง บางครั้งคิดจะศึกษาเอง ก็ไปขอรหัสเข้าระบบจากพี่ๆในทีม แต่เค้าก็ไม่ให้ แล้วไม่บอกเหตุผลด้วยว่าไม่ให้เพราะอะไร แต่ในความคิดเราตอนนี้คิดว่า เค้ากลัวเราจะมาแย่งงานเค้าทำ แล้วพอเรารู้งานทั้งหมด เค้าก็จะถูกจ้างออกหรือไล่ออกจากงาน เพราะจ้างเราย่อมถูกกว่า เค้าก็เลยไม่สอนงานเรา สืบไปสืบมาก็เป็นแบบนั้น เพราะคนก่อนหน้าเราที่มาทำ ก็ทำกันไม่ถึง 4 เดือนก็ลาออกจากงานไปหมดทุกคน เพราะในทีมเป็นคนไม่ชอบสอนงานใคร เราก็เลยทำงานในส่วนที่เราพอจะทำได้มาตลอด 4 ปี ตลอดระยะเวลาขอตรงๆ เราไม่มีความสุขในการทำงานเลย เพราะคนในทีมทำงานแบบเอาตัวรอดมาก เอาเปรียบเราบ่อยมาก
แต่เราก็ทนทำ เพราะที่บ้านเรามีปัญหาหนี้สินที่แม่ก่อไว้เยอะ และแม่ก็ไปสัญญากับเจ้าหนี้ว่าถ้าลูกเรียนจบ จะใช้หนี้ทันที ก็เลยมาตกเป็นภาระของเรา ช่วงแรกๆที่ยังไม่ออกทำงาน โดนพ่อแม่ด่าว่ากดดันว่าขี้เกียจทำงาน จบมาตั้ง 1-2 เดือน ทำไมไม่ออกทำมาหากิน ทั้งๆที่เราก็หางานอยู่ เราก็เลยทนทำมาจนถึงเมื่อ 3 เดือนก่อน จึงตัดสินใจที่จะลาออกจากงานมา เพราะทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สุขภาพจิตเราเสียมากๆ กลัวจะเป็นมาก เลยออกมาว่างงานอยู่ปัจจุบัน ระหว่างนี้ก็เราก็หางานใหม่ทั้งเอกชนและสอบราชการ ขายของออนไลน์กับสอนพิเศษ พอมีรายได้ใช้จ่ายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไรเท่าตอนทำงานประจำ แต่พ่อแม่เราเค้าก็ยังทำแบบเดิม คือเที่ยวได้ไปหางานอะไรก็ได้มาทุ่มใส่เราให้เราไปสมัคร อาทิเช่น เด็กปั๊ม คนแบกของขึ้นชั้นขายของ ฯลฯ คือประมาณว่ารอเราได้งานใหม่ไม่ไหว เค้าต้องใช้เงินใช้หนี้ เราเลยว่าไปว่า ชีวิตเราถูกบงการมาโดยพ่อแม่นานแระจนจะครึ่งชีวิตแระ อย่าได้บงการต่ออีกเลย ระหว่างก็ยอมรับว่าต้องอดทนกับคำพูดพ่อแม่ตัวเองและคนรอบข้างมากๆเรื่องงาน เพราะเค้าคิดว่าการทำงานประจำมันเชิดหน้าชูตาเค้าได้ด้วยส่วนนึง เวลาพ่อค้าแม่ค้าหรือคนรอบข้างถาม เค้าจะอวดโอ้คนอื่นได้ ถ้าเราว่างงาน เค้าจะเสียหน้ามาก จนตอนนี้จิตเราเริ่มวิตกมากๆ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกบ่นและทนคำบ่นไปได้นานแค่ไหน
ปัญหาต่อมาก็เรื่องพ่อแม่วัยทอง พ่ออายุ 56 แม่อายุ 55 เดี๋ยวนี้เราคุยกันกับเค้าไม่เกิน 5 นาที ต้องทะเลาะกันเสมอ เราก็เลยหลีกเลี่ยงที่จะไม่คุยด้วยเลย ไม่จำเป็นไม่คุยเลยจริงๆ ไม่อยากเสียสุขภาพจิตไปมากกว่านี้ วันๆที่เจอพ่อแม่ก็เวลากินข้าวเท่านั้น เวลาอื่นก็ขึ้นมาอยู่บนบ้านหนีความวุ่ยวาย เคยบอกให้พ่อแม่ไปพบจิตแพทย์ เค้าบอกว่าเค้าปกติดี ลูกว่าพ่อแม่เป็นโรคจิต บาปกรรมไม่ได้ผุดได้เกิดนะ เราก็เลยปลง คงต้องทนอยู่กับเค้าไปจนกว่าจะตายจาก ทุกวันนี้ยอมรับว่าบ้านเงียบมากๆ พ่อกลับมาบ้าน ลูกสองคนไม่ยอมคุยด้วยหนีขึ้นบ้านหมด เค้าก็เลยเดินไปหาย่าเราที่บ้านทุกวัน และกลับบ้านมาต้องมาทะเลาะกับลูกทุกวันที่ไปหาย่า บางครั้งย่าเอาของมาให้กิน มีเศษผมติดในอาหาร เราก็บอกพ่อว่ามีเศษผมนะ เค้าก็ว่าเราไปว่าแม่ของเค้าว่าไม่ดี ทั้งๆที่เราเองก็ไม่มีเจตนาอะไรแบบนั้น แค่หยิบเส้นผมออกก็จบ แต่พ่อไม่ยอมจบ เราเลยเดินหนี บางครั้งสั่งของทาง ปณ. มาขาย เรารอ ปณ มาส่งทั้งวันไม่มาสักที เราต้องไปธุระ เลยออกนอกบ้านไปทำธุระ ปณ มักจะมาส่งของช่วงเย็น 6 โมงเย็นกว่าๆเสมอ ย่ารับแทน พ่อก็มักจะว่าเราว่า ย่าเค้าเป็นผู้มีพระคุณนะ รับของแทนลูก ควรสำนึกและช่วยเหลือเค้าให้เงินเค้าใช้บ้าง เราเลยบอกว่า ถ้างั้นให้ ปณ ตีของกลับไปที่สำนักงาน เราจะไปรับของเองจะได้ไม่เป็นบุญคุณทดแทนใคร พ่อก็เงียบ
แล้วก็มีเรื่องราวอีกมากมายที่เค้าไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย ที่ต้องคุยกันทะเลาะกันแบบไม่มีความสุขในชีวิตในแต่ละวัน ทุกวันนี้เจอหน้าพ่อแม่เราไม่คุยด้วยครับ ไม่คุยเลยจริงๆ เว้นมีธุระ คือไม่ใช่เกลียดนะ แต่คือก็ไม่ชอบพวกเค้าอ่ะ และก็พยายามปล่อยวางแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเค้าก่อเรื่องให้เราคิดใหม่ทุกวัน จนทุกวันนี้เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า เพราะหลอนทุกครั้งเวลาได้ยินเสียงพ่อแม่ นอนไม่ค่อยหลับ บางครั้งก็ตื่นกลางดึกตลอด นอนตื่นไว ตี2-3 บางทีก็ตื่น ทุกวันอยู่ได้เพราะอดทนจริงๆ ถ้าได้งานใหม่ เราคิดว่าอาจจะไปทำงานไกลบ้านหน่อย แบบเช่าหออยู่คนเดียว เพราะทนไม่ค่อยจะไหวแล้ว
ปัญหาครอบครัว ที่คาราคาซังมานาน พ่อไม่ออกทำกินมาสิบกว่าปี ยืนหยัดจะทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ออกไปเป็นลูกจ้างใคร ในช่วงปี 2540-2550 แม่ต้องทำงานคนเดียว และเริ่มก่อหนี้สินมาจนปัจจุบัน หนี้กี่บาทจะขอไม่พูดถึง แต่บอกได้แค่ว่าค่อนข้างจะเกินกำลังเราในตอนนี้จริงๆ นี่เป็นส่วนนึงที่เราลังเลที่จะลาออกงานมาตลอดสี่ปี จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มสุญเสียไปเยอะมากแล้ว จิตก็เริ่มเสีย เลยออกมา หนี้ส่วนมากเป็นหนี้ในครอบครัว และหนี้ในส่วนของลูกติดผัวเก่าแม่ หรือพี่ชายต่างพ่อของเรา เค้าซื้อรถมาแล้วสามคัน คันแรกปล่อยขาด คันที่สองผ่อนยังไม่หมดโดนขโมยตามจับไม่ได้ ต้องผ่อนต่อให้หมด พอมาคันที่สามปัจจุบัน เป็นชื่อแม่เราซื้อให้พี่เอาไปขับ เพราะพี่ติดแบล๊คลิสต์ แม่เลยรับไปเต็มๆ ตอนแรกจะเอาชื่อเราไปซื้อ แต่ถูกเราด่าแรงๆใส่ไป แม่เลยให้ใช้ชื่อแม่ซื้อรถแทน พี่ชายเราเลวมากจริงๆในความคิดตอนนั้น นี่ปัจจุบันคันที่สามก็กำลังจะผ่อนไม่ไหว แม่จะทำการรีไฟแนนซ์อีกครั้ง ไปผ่อนรถคันนี้ต่อ
สาเหตุที่พี่ต้องซื้อรถ เพราะไปได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นเมีย เค้าบังคับให้ซื้อประดับศักดิ์ศรีลูกเค้า แต่ทางพ่อตาแม่ยายเค้าก็ไม่ช่วยให้ผ่อนเอง มาเดือดร้อนทางแม่เรา ถามว่าเกี่ยวข้องกับเรายังไง เพราะรถเป็นชื่อแม่ซื้อ เราเองก็เลยต้องซวยช่วยแม่ไปด้วยในบางครั้ง เวลาแม่จะเอาเงินจากเราแม่ก็จะโกหกว่าเอาไปทำอย่างอื่น ตอนแรกเราไม่รุตอนทำงานใหม่ๆ เรายังตามไม่ทัน แต่พอเรารู้ เราก็เลยไม่ค่อยให้เยอะแล้ว เพราะให้ไปเราก็ไม่ได้เอารถมาขับ และเวลาที่พี่ชายออกลูก ลูกเค้าไม่แข็งแรง แม่ก็มาบังคับให้เราออกเงินค่ารักษาช่วยครั้งละ 5000 เราให้เพราะสงสารหลาน แต่แม่กลับมาว่าเราเวลาเราทวงตังคืนจากพี่ว่า เงิน 5000 เป็นแค่ส่วนเล็กๆไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก เราเลยบอกว่าถ้าช่วยอะไรไม่ได้ก็เอาคืนมา มันไม่มีประโยชน์นี่ แม่ร้องไห้เลย ล่าสุดออกลูกคนที่สามในเวลาที่ไม่มีอันจะกิน เมียพี่ขับรถไปชนต้องผ่าออกด่วน มาขอเงินเรา 10,000 เราให้แค่ 5,000 เพราะเราไม่ไหวแล้ว คือไม่เข้าใจว่าผ่อนรถไม่ไหว แล้วจะปล่อยมีลูกทำไม เหมือนแกล้งเรา จนทุกวันนี้เราก็ยังไม่ได้เงินเราคืนจากพี่เลยสักบาท แม่ก็ว่าถ้าทวงก็เท่ากับไปหักกระดูกพี่
เรื่องการศึกษาต่อของเรา เราอยากเรียนต่อปริญญาตรีอีกสักใบ หรือไม่ก็เรียนต่อปริญญาโท แต่ก็คงไม่ใช่สาขาวิศวะที่เรียนจบมา เพราะไม่มีความถนัดทางด้านนี้ ที่ทนเรียนมาเพราะที่บ้านให้เรียน เคยขอซิ่ว พ่อแม่ให้ซิ่ว ลูกจบช้าไปปีนึงกลัวอายเค้า ก็เลยทนเรียนมา จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวเองชอบหรือถนัดทางไหน ทั้งที่พยายามค้นหาค้นคว้าตัวเองมาโดยตลอด แต่ดวยความล้าทางจิตใจ บางครั้งก็ไม่อยากจะคิดอะไรมาก เพราะปัญหาชีวิตก็มีหลายเรื่องเหลือเกิน เราเองก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนด้วย ไม่ค่อยมีสังคม เลยไม่มีคนแนะนำแนะแนวทางเท่าไหร่ ยิ่งพ่อแม่เราไม่ต้องพูดถึงเลย เค้าเป็นหลักเรื่องการเรียนการศึกษาไม่ได้ เพราะเค้าจบมาน้อยและไม่รู้บางเรื่องแท้จริง ก็เลยหนักใจเรื่องนี้ แต่อยากเรียนต่อมากๆ แต่คงต้องคิดให้รอบคอบว่าจะเรียนอะไรให้ได้ผลดีและได้เรียนในสิ่งที่ชอบสักที เพราะเรียนวิศวะมาก็ทรมานใจพอแล้ว
ก็ที่เล่ามาทั้งหมดคร่าวๆก็คือปัญหาที่เจอในชีวิตของเรา เราต้องต่อสู้กับมันทุกวันครับ ตอนนี้เริ่มมีความรู้สึกล้า เหนื่อย สับสน ไม่รู้จะเริ่มแก้ปัญหาไหนก่อนดี เพราะแต่ละอย่างที่เข้ามาล้วนเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสทั้งนั้น ทุกวันนี้หลังขายของ หรือกลับจากนอกบ้านมา วันๆแทบไม่อยากทำอะไร มันรู้สึกสิ้นหวังไปหมด พ่อแม่ก็ไม่ดี งานประจำก็ยังหาไม่ได้ ถูกพ่อแม่กดดันอีกมันเครียดไปหมด เรื่องจะเรียนต่อก็ควรจะต้องรีบหาตัวเองให้เจอเพราะอายุเริ่มมาก ตอนนี้รู้สึกอยากได้ที่ปรึกษา อยากได้คนที่เค้าจะช่วยเหลือเราได้จังเลยครับ เพราะที่บ้านเราคุยกับใครไม่ได้สักคน เหมือนอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ อยากคุยกับคนที่เค้าพอจะช่วยเหลือเราได้ เป็นนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ ก็ได้ อยากได้คำแนะนำครับ