ตระเวนเดี่ยวเที่ยวเมืองอุตรดิตถ์ เมืองพะเยาต่อเมืองน่าน ตอนที่ 2


                            กลับมารีวิวกระทู้ท่องเที่ยวไทยตระเวนเดี่ยวเที่ยวเมืองอุตรดิตถ์   เมืองพะเยาต่อเมืองน่านกันต่อ   โดยในตอนนี้จะเป็นตอนที่ 2  ที่ผมจะเล่าประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวในวันที่ 4  ของทริปนี้ซึ่งเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอปัวและอำเภอท่าวังผาของจังหวัดน่าน    ผู้ชมหลายท่านคงเคยชมภาพสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอปัวมาจากหลาย ๆ กระทู้ในห้องบลูเพลนเน็ตกันแล้ว   เพราะเมืองปัวเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ท้องทุ่งนากับฉากหลังภูเขาที่สวยงาม    รวมทั้งบรรยากาศของวัดวาอารามทางเหนือที่มีงานศิลปกรรมงดงามแปลกตาไปจากภาคอื่น   จึงเป็นแรงดึงดูดสำคัญให้นักท่องเที่ยวต่างพยายามเดินทางแวะเวียนเข้าไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในอำเภอปัวกันเป็นมาก   ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นภาพสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอปัวจากเว็บพันทิปนี้แล้วก็เก็บเป็นลิสสำคัญที่ต้องเดินทางมาดูด้วยสายตาตนเองให้ได้   เรียกว่าต้องมนต์เสน่ห์ของเมืองปัวไปอีกคนนั่นเอง  ยังไง ๆ ผู้ชมที่อ่านกระทูนี้ก็ลองหาโอกาสไปต้องมนต์เสน่ห์เมืองปัวเหมือนกับผมดูสักครั้ง   แล้วจะได้รู้ว่าเมืองปัวน่าเที่ยวจริงหรือไม่   ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับกำหนดการตระเวนเที่ยวของผมในทริปนี้  จำนวน  8  วันก่อนนะครับ
                            วันแรก    :   เดินทางจากกรุงเทพุฯ - อุตรดิตถ์  และเที่ยวย่านเมืองลับแล
                            วันที่  2   :   เที่ยวอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ
                            วันที่  3   :   เที่ยวเก็บตกในเมืองอุตรดิตถ์  และนั่งรถต่อไปยังเมืองน่าน
                            วันที่  4   :   เที่ยวย่านอำเภอปัว  และอำเภอท่าวังผา
                            วันที่  5   :   เที่ยวชมทะเลหมอกภูลังกา  และเที่ยวย่านอำเภอเชียงคำ
                            วันที่  6   :   เที่ยวย่านเมืองพะเยา  และอำเภอดอกคำใต้
                            วันที่  7   :   เที่ยวย่านอำเภอเชียงม่วน  และเที่ยวยามค่ำคืนในเมืองน่าน
                            วันที่  8   :   เที่ยวเก็บตกในเมืองน่าน  และเดินทางกลับกรุงเทพฯ

                  วันที่  4   :   เที่ยวย่านอำเภอปัว  และอำเภอท่าวังผา

                             เช้านี้ผมเดินลงมาจากห้องพัก  เพื่อมาเสพวิวธรรมชาติหน้าโรงแรมที่พัก   ซึ่งจะมองเห็นเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านสลับกับบ้านเรือนผู้คนโดยมีฉากหลังเป็นภูเขาของดอยภูคา    เรียกว่าที่พักตั้งอยู่บนเนินเขาในจุดที่สูง  มองลงมาจึงเห็นวิวดีแจ่มมาก   
                                ที่แรกที่ผมแวะไปเยือนในอำเภอปัวก็คือ  พระธาตุเบ็งสกัด   ซึ่งเป็นพระเจดีย์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองวรนคร หรือเมืองปัว   อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กับที่พักมากเพียงแค่  200  เมตรก็ถึงแล้ว  
                                มาเยี่ยมชมวัดนี้แต่เช้า  ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยยวชมภายในวัดกันเลย   ทำให้ผมเดินสำรวจและถ่ายรูปวัดได้อย่างสบาย  ไม่ต้องกลัวว่าจะถ่ายรูปติดใครในเฟรม   ตามประวัติกล่าวว่า  เดิมจุดที่สร้างพระธาตุเบ็งสกัดซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดแห่งนี้เคยเป็นบ่อน้ำมาก่อน  เมื่อใช้ไม้แหย่ลงไปที่บ่อน้ำจะเกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นคือ ไม้นั้นจะขาดเป็นท่อน ๆ เหมือนมีอะไรมาตัดให้ขาด    พญาภูคาผู้ครองเมืองวรนครจึงได้ก่อสร้างพระธาตุองค์นี้ขึ้นโดยสร้างครอบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้  พร้อมกับสร้างวิหารทรงตะคุ่มหรือเรียกว่า  “ทรงเจี้ยแต้”  ไว้ด้วย    
                                 ด้วยเหตุนี้พระธาตุอง์นี้จึงได้ว่า  “เบ็งสกัด” ซึ่งแปลว่า  ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นที่จากบ่อดิน   ปาฏิหาริย์ขององค์พระธาตุนี้ยังปรากฏมีในตำนานเล่าขนานกันต่อมาว่า  เมื่อครั้งที่มีการจัดงานเฉลิมฉลององค์พระธาตุ  ได้บังเกิดมีแสงสว่างออกมาจากองค์พระธาตุ   มีรัศมีเหมือนพระจันทร์ทรงกลดและวนเวียนไปมารอบ ๆ พระธาตุ ทำให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณงาน    

                                องค์พระธาตุได้รับการบูรณะจากเจ้าผุ้ครองเมืองวรนครและเมืองน่านสืบต่ออีกหลายพระองค์  จนถึงปัจจุบัน   รูปแบบขององค์พระธาตุที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นรูปแบบศิลปะล้านนา   ส่วนวิหารของพระธาตุเป็นวิหารแบบไทลื้อ   ซึ่งวิหารลักษณะดังกล่าวนี้ได้มีการสร้างเป็นอย่างในเมืองปัว   เมืองน่าน  ตลอดถึงเมืองพะเยาอีกด้วย  
                                 พระพุทธรูปที่เป็นประธานของวัดประดิษฐานอยู่ในวิหารข้างพระธาตุเบ็งสกัด   เป็นพุทธศิลป์แบบพื้นเมืองของชาวน่าน
                                 วิวที่มองจากวัดพระธาตุเบ็งสกัด  จะเห็นท้องทุ่งนาของชาวบ้านในเขตตำบลวรนคร และภูเขาไกล ๆ ที่เป็นฉากหลังของเมืองปัวก็คือ ดอยภูคา
                                 ริมถนนใกล้บันไดทางขึ้นวัดพระธาตุเบ็งสกัดมีจุดเช็คอินให้นักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูป   ถ้าไม่มาถ่ายจุดนี้ถือว่ามาไม่ถึงเมืองปัว    นั่นคือกำแพงเมืองวรนคร   ซึ่งเป็นกำแพงก่ออิฐที่ทำขึ้นมาใหม่เลียนแบบกำแพงเมืองโบราณ    ผมเองก็ไม่พลาดที่จะจอดรถถ่ายรูปที่จุดเช็คอินนี้เหมือนกัน
                                 ต่อมาผมขี่รถไปยัง วัดปรางค์   วัดที่มีชื่อเสียงจากต้นไม้กระดิกได้ที่ชื่อ  ต้นดิกเดียม    วัดนี้อยู่ไม่ห่างจากวัดพระธาตุเบ็งสกัดมากนัก     
                                 มาวัดวันนี้ยังเงียบเหงามีนักท่องเที่ยวมาชมต้นดิกเดียมกันน้อยมาก   ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเป็นวันธรรมดาหรือเพราะต้นดิกเดียมต้นเก่าได้ล้มลงไปแล้ว    คนจึงแห่มาชมต้นไม้นี้น้อยลง   ต้นดิกเดียมที่เห็นในวัดตอนนี้รู้สึกจะเป็นต้นใหม่   ไม่ใช่ต้นเก่า   เพราะมีความสูงไม่มากนัก   ตั้งอยู่หน้าด้านวิหาร  
                                  ถ้าจอดรถเข้ามาในวัดก็ให้เดินเลยวิหารไปข้างหน้าจะเจอต้นดิกเดียม   ผมลองเอามือไปลูบและเกาลำต้นดิกเดียมตามที่เคยได้ยินมาว่าต้นไม้มันจะสั่นไหว  เหมือนมันจั๊กจี้   แต่พอลองทำหลายครั้งหลายหนก็ไม่เห็นต้นมันจะสั่นไหวแต่อย่างใด   ก็เลยนึกว่าสงสัยต้นใหม่มันจะไม่สั่นเหมือนต้นเก่าละมั้ง    เห็นนักท่องเที่ยวอีกคณะที่มาก็ลองทำเหมือนผม   ผลก็คือต้นไม้นั้นมันก็ยังไม่สั่นเหมือนเช่นเดิมภายในวิหารของวัดปรางค์มีพระพุทธรูปและภาพจิตรกรรมฝาผนังให้ชมกัน  แต่รู้สึกจะเป็นงานที่สร้างขึ้นมาใหม่
                                 เป้าหมายต่อไปที่ผมขี่รถไปชมก็คือ   วัดร้องแง   เป็นวัดในศิลปะไทลื้อที่งดงามอีกแห่งหนึ่งของอำเภอปัว   ตัววิหารของวัดยังคงได้รับการรักษาไว้ให้คงสภาพเดิมเป็นอย่างมาก   
                                 ในวันที่ผมไปชมวิหารของวัดนี้ก็ยังคงเห็นชาวบ้านต่างช่วยกันทาสีตกแต่งวิหารน้อยของวัดให้มีสีสันและลวดลายที่สดสวย   แปลว่าชาวบ้านที่นี่ถือว่าวิหารของวัดนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชุมชนเขา   พวกเขาจึงอนุรักษ์และหวงแหน  พยายามรักษาสมบัติทางวัฒนธรรมชิ้นนี้ให้ยังคงสมบูรณ์และสะท้อนคุณค่าในตัวของมันเองสืบต่อไป           
บานประตูของวิหารน้อยหลังทาสีและบูรณะเสร็จแล้ว   ดูใหม่สีสันสดและสวยงามมาก

ใกล้ ๆ กับวิหารของวัด   ด้านหน้าวัดยังมีอนุสาวรีย์เจ้าหลวงเทพพญาเลนที่ยกทัพมาต้านทานศัตรูที่มารุกรานเมืองวรนคร
ด้านข้างของอนุสาวรีย์เจ้าหลวงเทพพญาเลนเราจะเห็นท้องทุ่งนาของชาวบ้านซึ่งตอนนี้ต้นข้าวมีสีเหลืองแก่  พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว   โดยมีฉากหลังเป็นดอยภูคาอยู่ไม่ไกล
                                 วัดนี้โดดเด่นด้วยวิหารของวัดที่สร้างเป็นวิหารแบบไทลื้อที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของงานศิลปกรรมได้เหมือนเดิม   
                                 ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปและภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบไทลื้อที่ยังคงความเป็นของเก่าอยู่ค่อนข้างสมบูรณ์
ภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านหลังพระประธานภายในวิหารวาดเรื่องราวเกี่ยวกับนรกขุมต่าง ๆ ตามความเชื่อไตรภูมิของชาวไทลื้อ
                                 ผมมาชมวิหารหลังนี้หลังวันออกพรรษาไม่นานจึงยังคงเห็นตุงและดอกไม้พันที่ชาวบ้านนำมาถวายวัด  ห้อยแขวนอยู่ระหว่างเสาต่าง ๆ ภายในวิหารมากมาย
                                  วัดร้องแงจึงเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ผมคิดว่า  นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวอำเภอปัวไม่ควรพลาด ยิ่งถ้าคุณเป็นคนชอบดูงานศิลปกรรมด้วยแล้วยิ่งไม่ควรพลาดชม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่